วันที่ 23 สิงหาคม 2556 (go6TV) แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ได้แถลงการณ์เมื่อเวลา 20.20 น. สรุปว่า แกนนำยังมีคดีต่างๆอยู่ในศาล
หากพันธมิตรออกมาชุมนุมนั้น จะต้องชุมนนุมเพื่อชัยชนะ
เปลี่ยนแปลงประเทศเท่านั้น หากชุมนุมเพื่อไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์
แล้วรัฐบาลสามารถยุบสภา และเลือกตั้ง กลับมาเป็นรัฐบาลใหม่
ดังนั้น นายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงได้เสนอแสวงหาแนวร่วม โดยเสนอให้
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ลาออก มาหยุดความชอบธรรม
และเดิมพันหมดหน้าตักด้วยการเดินนำมวลมหาประชาชน
เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ ต้องเปลี่ยนแปลงระดับใหญ่เท่านั้น
จึงจะหยุดวิกฤตระบอบทักษิณได้
หากประชาธิปัตย์ไม่ลาออก ก็คือต้องการแค่สลับขั้วการเมือง โค่นล้มรัฐบาล
ให้คนอื่นเสียสละให้พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ตนได้รับอำนาจรัฐเท่านั้น
จะให้พันธมิตรฯ เสียสละออกมานำการชุมนุม เพียงแค่โค่นล้มรัฐบาล จึงไม่คุ้มค่าที่พันธมิตรฯจะร่วมมือด้วย
ดังนั้น "พันธมิตรฯ รุ่น 1-2" จึงมีมติเอกฉันท์ ยุติบทบาทแกนนำอย่างถาวร
แถลงการณ์ฉบับที่
5/2556
พันธมิตรประชาขนเพื่อประชาธิปไตย
เรื่อง
"แถลงการณ์ฉบับสุดท้าย"
ตามที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่
4/2556 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะยังไม่นำมวลชนเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้
สืบเนื่องจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน
และประชาชน ได้ถูกกลั่นแกล้งโดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ
และเพิ่มผู้ต้องหาจำนวนถึง 96 คน
อย่างอยุติธรรมในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ที่ต้องการสร้างพันธนาการให้กับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แม้ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ
นิติธรรม แต่ศาลอาญาก็ได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อ. 973/2556
ให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2556 ว่า
"ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆ
อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
หรืออาจก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อความเสียหายหรือความสงบเรียบร้อย
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ
เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล"
และศาลอาญาได้แถลงย้ำคำสั่งดังกล่าวอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่
30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ย่อมแสดงให้เห็นว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน
และประชาชนอีกจำนวนมากได้ถูกลิดรอนสิทธิจากคำสั่งดังกล่าวอย่างชัดเจน
หาก
แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมโดยทำตามเงื่อนไขภายใต้คำสั่ง
ศาลอย่างครบถ้วนก็จะเป็นเรื่องยากที่จะกำหนดยุทธวิธีในการชุมนุมให้ได้รับ
ชัยชนะได้
ในทางตรงกันข้ามหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะฝ่าฝืนคำสั่งศาล
ในช่วงเวลานี้เพื่อให้ได้รับชัยชนะทางยุทธวิธีในการชุมนุม
ก็จำเป็นที่การเสียสละนั้นจะต้องได้รับผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่จะสามารถเปลี่ยน
แปลงประเทศได้อย่างแท้จริงเท่านั้น
และการเสียสละของแกนนำก็ไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นมาตรการส่งเสริมการขายภาพ
ลักษณ์หรือสร้างคะแนนนิยมให้กับพรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรที่จะ
พ่ายแพ้ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้กับฝ่ายรัฐบาลในทุกกรณี
เมื่อ
วิเคราะห์แล้วเห็นว่าหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการชุมนุม
คัดค้านปัญหาของประเทศรายประเด็นให้ได้ผลสำเร็จ
ก็อาจคัดค้านได้อีกเพียงเรื่องเดียว
ภายหลังจากนั้นเมื่อศาลมีคำสั่งให้ถอนการประกันตัว
ก็จะมีปัญหาชาติในเรื่องอื่นๆที่สำคัญตามมาอีกไม่สิ้นสุด
ดังนั้นการเสียสละของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยการชุมนุมใน
ปัญหารายประเด็นจึงย่อมไม่คุ้มค่ากับผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับใน
ขณะนี้
ใน
ทำนองเดียวกันหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการชุมนุมเพื่อขับ
ไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยเคลื่อนไหวให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในระหว่างการชุมนุมก็อาจถูกถอนประกันตัวจนไม่สามารถนำชุมนุมให้ได้รับชัยชนะ
ได้
แม้ต่อให้การชุมนุมขับไล่รัฐบาลไปได้สำเร็จ
ก็อาจจบลงด้วยการยุบสภาที่พรรคเพื่อไทยก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก
หรือแม้หากมีการสลับขั้วทางการเมือง หรือ การรัฐประหาร
โดยปราศจากเป้าหมายในการปฏิรูปประเทศไทย
หลังจากนั้นปัญหาวิกฤติของชาติก็ยังอยู่เหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นการทุจริต
คอร์รัปชั่น
การแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง
และหากมีการเลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณก็จะได้รับชัยชนะกลับมา
เป็นรัฐบาลยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลโดยปราศจากความมุ่งมั่นของผู้ที่หวังจะ
เข้าสู่อำนาจในอนาคตที่จะปฏิรูปประเทศไทย
ปราศจากการเสียสละอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและ
ประชาชนแล้ว
ย่อมไม่คุ้มค่าต่อประเทศชาติที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะนำ
การชุมนุม
ดัง
นั้นท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่มีความสลับซับซ้อนพัฒนาไปมากขึ้น
ที่ไม่สามารถยุติปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการคัดค้านปัญหารายประเด็น
และการแก้ไขปัญหาระบอบทักษิณก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น
ปัญหาของประเทศชาติจึงถูกยกระดับไปเป็นระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้ง
ที่ทำให้การเมืองล้มเหลว
ดังนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเห็นว่าหากมีความจำเป็นก็
พร้อมจะเสียสละนำการชุมนุมแต่การชุมนุมนั้นจะต้องได้รับผลคุ้มค่าต่อประเทศ
ชาติเท่านั้น
จึงกำหนดความคุ้มค่าของการชุมนุมที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอยู่ที่
"การชุมนุมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองที่ล้มเหลวในปัจจุบัน
และปฏิรูปประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเท่านั้น"
อย่าง
ไรก็ตามนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลในระบอบทักษิณก็มุ่งเน้นที่จะแก้ไขกฎหมายเพื่อ
นิรโทษกรรมให้กับตัวเองและพวกพ้อง
แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภาอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองส่วน
ใหญ่ฝ่ายรัฐบาล
โดยมีเป้าหมายในการที่จะครอบงำในการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตาม
รัฐธรรมนูญมิให้สามารถตรวจสอบตัวเองได้เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วใน
ระหว่างช่วงปี
พ.ศ. 2544 - พ.ศ. 2548 อันเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติมาจนถึงวันนี้
เราขอประณามนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่กระทำตัวเป็นทาสในระบอบทักษิณไม่มี
สำนึกประโยชน์ของชาติ
และสร้างวิกฤติให้แก่ประเทศชาติไม่มีวันจบสิ้น
ดัง
นั้นนายสนธิ ลิ้มทองกุล
ในนามตัวแทนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
จึงได้แสวงหาแนวร่วมเพื่อแก้ไขวิกฤติชาติให้ได้อย่างคุ้มค่าต่อผลประโยชน์
ของประเทศชาติ
โดยได้เสนอทางออกให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์เสียสละลาออกมา
เพื่อหยุดความชอบธรรมในจำนวนคณิตศาสตร์ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบอบ
เผด็จการรัฐสภา
และสร้างกระแสเดิมพันหมดหน้าตักนำมวลมหาประชาชนทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อ
หยุดระบบการเมืองที่ล้มเหลว
เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง
และการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน 65
ล้านคน
โดยไม่เข้าร่วมกับการเมืองในระบบนี้อีกไม่ว่าจะมีการยุบสภาหรือไม่ก็ตามจน
กว่าจะได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมายการปฏิรูปประเทศไทย
หากเป็นเช่นนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่ิอประชาธิปไตยก็พร้อมเสียสละและจะ
ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองครั้งนี้
เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าความเสี่ยงเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของประเทศ
ชาติที่จะได้รับ
เพราะหากการชุมนุมของมวลมหาประชาชนเกิดขึ้นเมื่อใดโอกาสที่จะมีการปฏิรูปการ
เมืองครั้งนี้สำเร็จก็ย่อมมีสูง
ซึ่งผลที่ได้คือมีโอกาสหยุดปัญหารายประเด็นในปัจจุบันได้
และมีโอกาสหยุดการเมืองระบอบทักษิณในภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้ด้วย
ทั้งนี้ในยามที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ยังไม่ตื่นรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง
ยังหลงอยู่ในวังวนของสงครามขั้วอำนาจของพรรคการเมืองต่างๆ
ลำพังการนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยย่อมไม่มีพลังพอที่จะนำการชุมนุมเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยได้ในเวลานี้
คงเหลือแต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่มีศักยภาพพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น
มวลชนที่มีฐานคะแนนถึง 12 ล้านเสียง นักปราศรัย นักกฎหมาย ฐานะการเงิน
สถานีโทรทัศน์ ฯลฯ
อีกทั้งผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์มิได้มีพันธนาการด้วยคำสั่งศาลเหมือนกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปัตย์จึงย่อมอยู่ในฐานะที่จะนำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้หากยอมเสียสละเพื่อเอาชาติเป็นตัวตั้ง
แต่
เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธไม่เสียสละลาออกจากระบบการเมืองล้มเหลวเพื่อออก
มาร่วมสู้กับประชาชน
ก็แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังคงหวังเพียงแค่ทำลายความน่าเชื่อถือ
ฝ่ายรัฐบาล
หรือ หวังสลับขั้วทางการเมืองในวันข้างหน้า หรือ
หวังโค่นล้มรัฐบาลโดยสนับสนุนมวลชนกลุ่มอื่นให้เสียสละแทนตัวเอง
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพรรคการเมืองทุกพรรคในสภาผู้แทนราษฎรกำลังสมรู้ร่วมคิด
รู้เห็นเป็นใจกันเพื่อรักษาระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งแบบนี้เอาไว้
เพียงเพื่อรออำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองในปัจจุบันหรือในวันข้างหน้าเท่า
นั้น
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เชื่อได้ว่ามีการปฏิรูปประเทศไทยภายใต้ทิศทางการ
นำของพรรคประชาธิปัตย์
เราได้วิเคราะห์เห็นแล้วว่าแนวทางดังกล่าวที่พรรคการเมืองทุกพรรคกำลังเดิน
หน้าอยู่นั้นจะนำไปสู่ความชอบธรรมของระบอบทักษิณที่จะได้รับชัยชนะในระบบ
รัฐสภามากขึ้น
และจะกระชับอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนยากที่จะเยียวยาได้
การ
ที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเสียสละในการนำชุมนุมย่อมไม่คุ้ม
ค่าต่อประเทศหากมุ่งแต่เพียงคัดค้านปัญหารายประเด็น
หรือโค่นล้มระบอบทักษิณโดยปราศจากการปฏิรูปประเทศ
ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เสียสละที่จะนำการชุมนุมเพื่อการเปลี่ยน
แปลงปฏิรูปประเทศอันเป็นประเด็นซึ่งคุ้มค่าที่พันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตยจะร่วมมือด้วย
ดังนั้นจึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมี
ฐานะการนำมวลชนได้จริงในสถานการณ์และเงื่อนไขในปัจจุบันนี้
อย่าง
ไรก็ตามในสถานการณ์ปัจจุบัน
ทำให้มีกลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งที่มีความห่วงใยบ้านเมืองซึ่งสนใจแต่เฉพาะการ
ชุมนุมคัดค้านปัญหาบ้านเมืองรายประเด็น
หรือบางกลุ่มอาจสนใจที่จะเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณแต่เพียงอย่าง
เดียวที่พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนอยู่
ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตามที่
กล่าวมาข้างต้น
ในขณะแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็มิอาจสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ
กลุ่มมวลชนอื่นใดโดยปราศจากความรับผิดชอบในความคาดหวังต่อทั้งชัยชนะต่อ
ประเทศชาติและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมชุมนุมได้
ดังนั้นการดำรงอยู่ของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็อาจเป็น
อุปสรรคในการเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มอื่นที่อาจไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้
ดังนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งรุ่น
1 และ รุ่น 2 จึงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ยุติบทบาทจากฐานะแกนนำ เพื่อเปิดโอกาสให้
แกนนำ นักปราศรัย ศิลปิน พิธีกร ประชาชน ฯลฯ
ได้ตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกับกลุ่มใดก็ได้อย่างอิสระเสรี
และเปิดโอกาสให้เกิดขบวนการใหม่ในสังคมไทย โดยไม่ต้องรอแถลงการณ์หรือมติใดๆจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีก
การ
ยุติบทบาทครั้งนี้ถือเป็นยุทธวิธีเดียวเท่านั้น
ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบัน หรือผู้ที่มีโอกาสจะมีอำนาจในอนาคต
รวมถึง
ทหารภายใต้จอมทัพไทยและศาลที่กระทำการภายใต้พระปรมาภิไธย
ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในบ้านเมือง รวมถึงประชาชนทั่วไป
ได้ตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของตนเองและเลือกเดินทางของตัวเอง
มากกว่าที่จะคาดหวังหรือรอมติการนำมวลชนโดยแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตยให้เป็นตัวแปรหรือเป็นเครื่องมือที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายที่
แท้จริงของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ใน
ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะเป็นอดีตรัฐบาลที่สร้างเงื่อนไขให้กับ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนเป็นเหตุอันสำคัญยิ่งที่ทำให้พันธมิตร
ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่สามารถนำมวลชนได้เหมือนเช่นเดิม
และในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านในปัจจุบันไม่เสียสละลาออกมานำการต่อสู้แบบ
หมดหน้าตักร่วมกับประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองทั้งๆที่แกนนำพันธมิตร
ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศไปแล้วว่าพร้อมที่จะเสียสละเข้าร่วมการใน
การปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้
ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงยังคงเป็นปัญหาส่วนหนึ่งของประเทศและเป็นอุปสรรค
ต่อการปฏิรูปประเทศไทยด้วย
พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องรับผิดชอบในผลที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อบ้านเมืองต่อไป
ด้วยเช่นกัน
เรา
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าแม้แกนนำจะได้ยุติบทบาทไปแล้ว
แต่ทุกคนก็ยังคงเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม
และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังคงอยู่เช่นเดิม
อุดมการณ์ความเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังอยู่ในสายเลือดและ
จิตใจของทุกคนเหมือนเดิม
และเรายังคงมีภาระหน้าที่ในการต่อสู้คดีความ
เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ที่สูญเสีย บาดเจ็บ และเสียชีวิต
ตลอดจนแสวงหาความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ถูกดำเนินคดีในระหว่างการชุมนุมต่อไป
โดยในระหว่างนี้เราได้ขอให้สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี
เว็บไซต์แมเนเจอร์
สื่อสิ่งพิมพ์ และวิทยุในเครือ เอเอสทีวี-ผู้จัดการ
ยังคงเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมเพื่อนำไปสู่การให้ปัญญากับประชาชนและการ
ปฏิรูปประเทศ
โดยแกนนำที่ยุติบทบาทไปก็จะยังคงทำหน้าที่ให้ปัญญากับประชาชนตามหน้าที่และ
บทบาทของแต่ละคนเพื่อเป้าหมายในการนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง
เท่านั้น
จนกว่าสถานการณ์จะถึงพร้อมที่ประชาชนทุกกลุ่มได้ตื่นรู้และตั้งสติได้ว่าต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่
หรือเมื่อสถานการณ์ที่ผู้มีอำนาจหรือผู้ที่มีโอกาสจะเข้าสู่อำนาจในกาลข้างหน้า
เสียสละอำนาจและผลประโยชน์ในปัจจุบันหรือในอนาคตเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย
65 ล้านคน เมื่อถึงเวลาดังกล่าวแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่แม้จะยุติบทบาทไปแล้ว
ก็พร้อมจะกลับมารวมตัวกันใหม่เพื่อทบทวนบทบาทของตัวเองในการเคลื่อนไหวมวลชนอีกครั้งหากในเวลานั้นพี่น้องประชาชนยังคงต้องการพวกเรา
แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่วันที่
11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 พร้อมผู้ประสานงาน และมีการแต่งตั้งแกนนำรุ่นที่ 2
ต่อมาวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551 อีกทั้งยังมีมีการแต่งตั้งแกนนำรุ่นที่ 2
เพิ่มเติมในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 และวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555
เราขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ไว้วางใจพวกเราตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา
และขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ได้เข้าร่วมชุมนุมแบบต่อเนื่องปักหลักพักค้าง
3 ช่วงเวลา เป็นจำนวนเวลาถึง 384 วัน 384 คืน
จนได้รับผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของการชุมนุมทุกครั้ง จึงนับเป็นการชุมนุมโดยสงบ
อหิงสา และปราศจากอาวุธของภาคประชาชนครั้งประวัติศาสตร์ที่ยาวนานที่สุดในโลก
เรา
ขอยืนยันว่าจะยังคงแน่วแน่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของวีรชนและพี่น้องประชาชนที่
เสียสละไม่เคยเปลี่ยน
และขอให้มั่นใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นยุทธวิธีที่จะได้รับการพิสูจน์ว่า
เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน
ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันที่ 23
สิงหาคม พ.ศ. 2556
ณ ห้องส่งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น