วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
หลังจากที่บทความ ไกลกังวล-คลายกังวล-ไร้กังวล http://vattavan.com/detail.php?cont_id=444 ผ่านสายตาท่านผู้อ่านไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน มีผู้ใหญ่ที่ผมเคารพมาก โทรมาบอกว่ารู้สึกชื่นใจทุกครั้ง เมื่อได้อ่านบทความของผมที่เขียนเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ... ขอให้เขียนอีก!
ต้องกราบเรียนกับท่านผู้อ่าน ที่เพิ่งมาอ่านบทความของผมในเว็บ www.vattavan.com ให้ทราบก่อนว่า ผมเคยเขียนบทความ เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ดังที่สุดครั้งหนึ่ง เหตุที่เขียนเพราะด้วยเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า
คนในบ้านเมืองของเรานั้น มีจำนวนมากมาย ต่างคนต่างประสบการณ์ แต่เขาเหล่านั้น เคยเห็นพระเจ้าแผ่นดินของเขาครั้งแรกในชีวิต เมื่อไหร่กัน?
เมื่อมีข้อสงสัยอย่างนั้น ผมจึงตั้งคำถามง่ายๆ ว่าเห็นในหลวงครั้งแรกเมื่อไหร่?
ผู้ใหญ่ที่เคารพทั้ง 4 ท่าน คือ
1. พลโท ปุ่น วงษ์วิเศษ (รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี) ท่านเป็นนายทหารราชองครักษ์ที่มีผู้เคารพนับถือมาก เคยแสดงฝีมือบริหาร อ.จ.ส. หรือองค์การจัดซื้อสินค้าหลังสงคราม จนเป็นที่ชื่นชมของผู้คนในยุคนั้น
ไม่น่าเชื่อว่า ท่านเคยเห็นในหลวง ร.6 และ ร.7 แต่กว่าท่านจะเห็นในหลวงองค์ปัจจุบัน ก็เป็นวันที่ท่านเข้าไปเฝ้าถวายรายงานในตำแหน่งราชองครักษ์ ในสวนจิตรลดา
2. คุณสรศัลย์ แพ่งสภา นัก เขียนสารคดีคนสำคัญของประเทศไทย ท่านเป็นสถาปนิก แต่มีงานเขียนออกมาหลายเล่ม ทั้งใช้ชื่อจริงและนามปากกา และรู้จักกันมากก็คือ “ฒ.ผู้เฒ่า”
ท่านเห็นพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรก เมื่อเป็นนิสิตจุฬาฯ เมื่อพระองค์เสด็จเยี่ยมคณะสถาปัตย์ และเคยเข้าไปถวายแบบก่อสร้างในพระบรมหาราชวังด้วย
3. คุณสุชาดา ชมเสวี ท่านผู้นี้จบจากคณะสถาปัตยกรรม เป็นนักออกแบบมือฉมัง สร้างฉากละครมาตั้งแต่ครั้งศาลาเฉลิมไทยยังเป็นโรงละคร นอกจากนั้นยังสวยจนคนลือ
ทุก วันนี้แม้อยู่ในวัย 90 ปีแล้ว ท่านยังทำงานออกแบบในฐานะสถาปนิกอิสระ เป็นผู้ที่คุณลักษณะพิเศษที่ใครอยู่ใกล้ๆ ก็มีความสุข ท่านเป็นคุณแม่ของคุณฐาปบุตร ชมเสวี อดีตอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน
พูดแล้วไม่น่าเชื่อว่าอยู่กรุงเทพแท้ๆ แต่ท่านไม่เคยเห็นพระเจ้าอยู่หัว จนกระทั่งอายุตัวเองได้ 33 ปี มีลูกโตแล้วสองคน
4. คุณนพพร บุณยฤทธ์ อดีต บรรณาธิการสยามรัฐ และชาวกรุง คู่บารมีของ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชอดีตนายกรัฐมนตรี สุขภาพยังดีเยี่ยม เข้าสู่วงการหนังสือพิมพ์ตั้งแต่อายุ 18 ปี เป็นนักเขียนเรื่องสั้นฝีมือเยี่ยม ได้รับรางวัลโบว์สีฟ้า
ท่านเห็นในหลวง ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนที่บ้านสมเด็จ
คำตอบของผู้ใหญ่ทั้งสี่ท่าน ต่อคำถามง่ายๆของผม ทำให้ผู้ถามเองรู้สึกแปลกใจ ที่ส่วนใหญ่ทั้งสี่ท่าน กว่าจะได้เห็นในหลวง ก็มีอายุมากแล้ว
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะในสมัยก่อน โอกาสที่ชาวบ้านจะได้เห็นพระองค์ท่านนั้นยาก แต่ตัวผมนั้นออกจะโชคดี เพราะบ้านอยู่ใกล้พระบรมหาราชวัง ซึ่งเป็นที่ประทับและที่เสด็จออกพบปะกับไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์
ไม่ใช่แค่นั้น บ้านผมยังอยู่ใกล้โรงหนังเฉลิมกรุง ที่เสด็จมาทอดพระเนตรภาพยนตร์ จึงมีโอกาสชื่นชมพระบารมีตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ
สัมภาษณ์เสร็จแล้ว นำกลับมาเขียนเป็นบทความ ใช้ชื่อ ว่า เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมเอ่ย ท่านเห็นในหลวงครั้งแรกเมื่อไหร่?
หลังจากนั้น ผมได้ส่งบทความนี้ ลงเว็บผู้จัดการ www.manager online และแล้วปรากฏการณ์ที่ไม่คาดคิด ได้ก็เกิดขึ้น
มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาดูบทความนี้ จนยอดทะลุกว่า 1 หมื่นคน/คลิก ซึ่งจำนวนมากขนาดนั้น เป็นเรื่องที่ออกจะประหลาด เพราะเป็นยุค พ.ศ.2540 ต้นๆ สื่ออินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายมากนัก
นอกจากเว็บไซด์ “ผู้จัดการ” แล้ว หนังสือพิมพ์อื่นแทบจะไม่มีฉบับไหน ที่มีเว็บของตน คู่ขนานไปกับฉบับกระดาษที่พิมพ์จำหน่าย อย่างทุกวันนี้
ดังนั้น เว็บไซด์ผู้จัดการจึงเป็นผู้นำร่องในเรื่องนี้ และยังคงเป็นผู้นำในยอดผู้อ่าน เหนือกว่าหนังสือพิมพ์นิตยสารที่มีอยู่ในประเทศไทย แม้เว็บหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่าง “ไทยรัฐ” ยังวิ่งตามหลังผู้จัดการ ในระยะที่ห่างกันลิบ
ตอนนั้นบทความคอลัมน์นิสต์ทั่วๆไป ถ้ามีผู้อ่านเกินหลักพันคน/คลิก ก็นับว่า “หรู” แล้ว แต่บทความของผม กลับทะลุยอดหนึ่งหมื่นไปเยอะ เลยเป็นที่ฮือฮากัน
ตัวคนเขียนเอง ก็ตื่นเต้นเป็นอันมาก!
ความน่าอัศจรรย์ของบทความ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมเอ่ย ท่านเห็นในหลวงครั้งแรกเมื่อไหร่? นั่นคือ
มีผู้เข้ามาคอมเม้นท์มากกว่า 100 ท่าน และผลต่อเนื่องมากกว่านั้นคือ หนังสือพิมพ์ไทยในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา นำบทความนี้ ไปลงตีพิมพ์หน้า 1
ใช่แต่แค่นั้น นะครับ
สมาคมคนไทยในประเทศต่างๆ ยังได้ขออนุญาตนำบทความนี้ ไปพิมพ์แจกจ่ายกันในระหว่างคนไทยในต่างแดน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงในหลวงผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ซึ่งเป็น
ร่มโพธิ์ร่มไทร ให้ทั้งคนไทยและคนต่างด้าวท้าวต่างแดน ที่ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และได้รับความสุขถ้วนหน้ากัน
เมื่อ หยุดเขียนที่ค่ายผู้จัดการ ผมได้เปิดเว็บไซด์ของตัวเอง และได้นำบทความที่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง มาเป็นคอลัมน์เปิดตัว เสมือนเป็นการ “เจิม” เว็บไซด์ เพื่อความเป็นศิริมงคล ซึ่งมีผู้สนใจเข้าอ่านมากกว่า 8 พัน คน/คลิก
ท่านที่ยังไม่เคยอ่าน ลองเข้าไปดูใน เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมเอ่ย ท่านเห็นในหลวงครั้งแรกเมื่อไหร่?
หลังจากที่เปิดเว็บ www.vattavan.com ผมได้เขียนเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว ลงในคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 ชื่อบทความ
“เมื่อลมฝนบนฟ้ามาแล้ว ร่มโพธิ์แก้วจะพาพฤกษาสดใส” http://vattavan.com/detail.php?cont_id=188
มีผู้อ่านถึง 11,162 คน/คลิก (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยหกสิบสองคน/คลิก)
ท่านคลิกเข้าไปดูในคลังบทความ ซึ่งเว็บนี้ได้บันทึกคอลัมน์เก่าไว้อย่างครบถ้วน พร้อมทั้งรายละอียดของจำนวนผู้เข้าชม ท่านผู้อ่านอาจใช้ประโยชน์ในการอ้างอิงได้
บทความที่ผมเขียน ตั้งแต่อยู่ในค่ายผู้จัดการ แสดงพระเมตตาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้รับความนิยมจากผู้อ่านจำนวนหมื่นหรือเฉียดหมื่น เช่น
“พระมหากรุณา ดับมหาวาตภัย (เรื่องจริงเหนือนิยาย ของ รศ.ดร.คุณหญิง อารมณ์ ฉนวนจิตร) http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9470000021143
“ในหลวงทรงไม่ปล่อยให้คนไทย Walk alone” (มุมมองจากเพลง You’ll Never Walk alone ของทีมลิเวอร์พูล) http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9480000075341
ยังมีอีกหลายบทความ ที่น่าอ่าน ผมตั้งใจจะรวมเป็นเล่มใหญ่ และจะจัดพิมพ์เอง เพื่อเป็นอนุสรณ์ในฐานะข้าแผ่นดินคนหนึ่ง ที่มีโอกาสดีได้ร่ำเรียนในโรงเรียนของพระองค์
นอกจากนั้น เมื่ออายุได้เพียง 14 ปี ผมมีโอกาสเล่นดนตรีแจ๊สที่สถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิต และเล่นดนตรีแจ๊สสำหรับการลีลาศ ในงานปีใหม่ที่สวนอัมพร ซึ่งทรงจัดขึ้นเพื่อพระราชทานเลี้ยงปีใหม่สำหรับข้าราชบริพาร และเคยเล่าในคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” แล้ว
ระหว่างที่รับราชการที่ภาคเหนือ ผมยังมีโอกาสร้องเพลงถวายบน“ผาดำ” ดอยภูพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2517 ซึ่งเป็นความภูมิใจอย่างยิ่ง ทั้งยังได้รับการสัมภาษณ์ ร่วมกับศิลปินดังๆอีกหลายท่าน ในหนังสือพลอยแกมเพชร เล่มพิเศษ ครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 72 พระชันษา
ที่นำเรื่องในหลวง มาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังในวันนี้ เพราะได้ข่าวอันเป็นมงคล ที่ ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดี คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งประทับอยู่ ณ วังไกลกังวล
อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า
ทั้ง สองพระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรงดีขึ้น เนื่องจากทรงโปรดทะเลมาก และอากาศดี ทำให้ทรงพระเกษมสำราญ ส่งผลให้พระพลานามัยดีขึ้น"ในหลวง-พระราชินี" ทรงพระเกษมสำราญ พระพลานามัยแข็งแรงดีขึ้น คนไทยคงดีใจโดยทั่วกัน!
ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังได้ข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพอพระราชหฤทัย ที่ แม้จะมีเหตุการณ์ชุมนุมในกรุงเทพ ที่ผู้คนหวาดกลัวจะเกิดความรุนแรง แถมยังการข่มขู่ด้วยการของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ว่าจะลงถนนใช้ตีนเดินขบวนนำประชาชนแต่ฝ่ายตำรวจ กลับสามารถดูแลบ้านเมืองได้เรียบร้อย
นักการเมืองฝ่ายค้าน กลับ “ฝ่อ” ไปเอง แบบไม่มีน้ำยาอะไรเลย! ผมคิดว่า ตำรวจทั้งนายและพล ต้องดีใจที่ทำให้พระเจ้าแผ่นดินของพวกเขา ทรงพอพระราชหฤทัย อันเป็นการสนองพระคุณพระผ่านเกล้าชาวไทยของเรา
จะได้ทรง ไกลกังวล-คลายกังวล-ไร้กังวล!!!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
ถึงวันนี้ บ้านเมืองของเรา ดูจะเรียบร้อยดี กำลังตำรวจควบคุมสถานการณ์ได้เด็ดขาด แต่ยังคงมีม็อบชุมนุมกันกะหรอมกะแหรม อยู่ที่สวนลุมพินี ซึ่งเดิมจะเลิกรากันแล้ว
แต่...
ไอ้ เถนอัปรีย์-กาลีบ้านกาลีเมือง “รักษ์ รักพงษ์” ที่เคยหนีกระเซอะกระเซิง ตอนตำรวจปฏิบัติการดีดไข่ม็อบไอ้เสธอ้าย หยุดดูท่าทีอยู่หลายวัน ได้ตัดสินใจกลับมาอ้อนตีน อ้อนตะบองตำรวจอีกแล้วครับ
คราวนี้ ไอ้เถนเดียรถีย์ “รักษ์ รักพงษ์” ศัตรูแผ่นดินตัวเอ้ นำ “กองทัพผีบุญ” ของ มัน มาเป็นสปอนเซอร์ จัดหาเรื่องอาหารผักหญ้า เลี้ยงดูผู้มาร่วมชุมนุม ทั้งนี้ เพื่อจะเลี้ยงกระแสการชุมนุมเอาไว้ก่อน คอการเมืองเขาพูดกันว่า
ทีไอ้เถนอัปรีย์ทำอย่าง ก็เพื่อรอ...
“วันสิ้นคิด”...ของพรรคประชาธิปัตย์!
ความหมายของ “วันสิ้นคิด” ที่พูดถึง คือวันที่ ส.ส.ของพรรคอัปรีย์จะ ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาฯทรงเกียรติ แล้วออก มาลงชุมนุมข้างถนน โดยจะเดินนำ ผู้สนับสนุนพรรค ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด ผสมโรงกับกลุ่มสวนลุมฯ รวมทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยอื่นๆ เช่น กลุ่มหน้ากากหมา ของ นายพลวะแสบ แดกกุญเชียง ตามคำแนะนำของกุนซือใหญ่
“สนธิ ลิ้มทองกุล”
ครั้งหนึ่งผู้นำค่ายโพกผ้าเหลืองอย่างสนธิ เคยได้รับความเคารพนับถือจากคนในพรรคประชาธิปัตย์ จนเปรียบเสมือน “เสด็จเตี่ย” ของพลพรรคกาลี
ถึงขั้นหัวหน้าพรรคจากอ็อกซฟอร์ด นายมาร์ค หัวปลอก ร่วมกับสมุน ต้องไปยืน กอกระดุม เหมือนถวายความจงรักภักดี “เสด็จเตี่ย” อย่างหมดหัวใจ และแสดงออกทางสีหน้าปลาบปลื้ม ชื่นชมแบบสุดขั้ว อย่างภาพที่เห็นในงานมงคลของ
“คุณพ่อ สนธิ”
ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ ได้กุมอำนาจรัฐ เพราะแรงสนับสนุนของกลุ่มพันธมิตร ผนวกกับแรงส่งของกลุ่มทหารระยำ ที่ลากกันไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
แต่...
เมื่อได้อำนาจแล้ว กลับพรรคดักดานนี้ กลับอกตัญญูไม่สนใจใยดี “เสด็จเตี่ย” ที่อุตส่าห์หนุนพวกตน วิ่งราวเข้าไปเป็นรัฐบาลจนได้
ดังนั้น ผู้คนเขาไม่ประหลาดที่ไอ้พวกพรรคกาลีนี้ จะทำให้คุณสนธิและพันธมิตรขัดเคือง เพราะรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง จึงออกมาบริภาษ ขุดลึกไปถึงสันดานของคนในพรรคนี้ อย่างรุนแรง จนผู้คนฮือฮากัน
ผู้นำค่ายโพกผ้าเหลือง ที่เคยเป็นเสมือน “เสด็จเตี่ย” ของพรรคเก่าแก่ ออกมาพูดอย่างนี้ครับ
"ผมรำคาญพวกสาวกพรรคประชาธิปัตย์
คือมันโง่ได้ใจ
โง่จนอธิบายไม่ถูก
โง่ตรงไหนรู้ไหม
โง่ตรงที่ว่าตนเองผิด แต่ไม่เคยเห็นความผิดตนเอง
แล้วไปเที่ยว ‘ใส่ร้ายป้ายสี’ คนอื่นเขา
นี่คือ ‘สันดาน’ ที่แท้จริงของพรรค...ประชาธิปัตย์"
จึงขอถ่ายทอดคำพูด ที่น่าสนใจนี้ มาสู่ท่านผู้อ่าน เพื่อทราบทั่วกัน
ต้อง เรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ผมเองเป็นคอหนังบู๊ เพราะรักการต่อสู้ ชอบความดุเดือดเผ็ดมัน สนใจการตะลุมบอนกันในทุกรูปแบบ เพราะมันเป็นเครื่องกระตุ้นให้ตัวเอง รู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ กับเหตุการณ์และความรุนแรงทุกครั้ง คงเพราะเป็นคนไทยแท้ ตามสำนวนที่ว่า...
“เจ็กตื่นไฟ...ไทยตื่นศพ”
จึงอยากให้ไอ้พวกพรรคดักดาน อย่างประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งสร้างความขยะแขยงให้กับประชาชน ด้วยพฤติกรรมสุดกักขฬะ เถื่อน ถ่อย ‘ถุล ใน รัฐสภา จงทำตามคำแนะนำ “เสด็จเตี่ย” ของพวกมึง ด้วยการลาออกจากความเป็นสมาชิกสภา แล้วลงสู่การ “สู้รบบนถนน” ด้วยการประกาศชุมนุมไพร่พลทันที
จะได้เป็นการยืนยัน ให้พี่น้องชาวไทย รู้ชัดไปเลยว่า
“ประชาธิปัตย์นั้น แท้ที่จริง เป็นแค่ขี้ข้า...สนธิ”
จะยกกันมาเป็น “ล้าน” หรือหลายๆล้าน แล้วเอาอีนัง “ชะนี” วัยทอง จากเมืองคอน แผดเสียงให้โหยหวลข่มขวัญ นำหน้าทัพมาก่อน ก็ยังได้
ไม่มีปัญหา!
กองกำลังตำรวจ ของ “พระเจ้าแผ่นดิน” รับมือได้แน่!!
แน่จริง มึงบุกเข้ามาซีวะ...ไอ้พวกเวร!!!
....................
ท้ายบท
ต้องเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า มีความผิดปกติเกิดขึ้น
ในเรื่องจำนวนผู้เข้าชม เพราะเมื่อวันจันทร์ ที่ 19 ส.ค.2556 เวลาประมาณ
10.45 น เว็บไซด์ได้ปรับจำนวนผู้ชม ไปที่ตัวเลข 7,530 ทุกคอลัมน์
(รวมทั้งคอลัมน์เก่าในคลังด้วย) โดยไม่ทราบสาเหตุ กำลังตรวจแก้ไขอยู่ครับจึงเรียนมาเพื่อทราบความผิดปกติ ท่านผู้อ่านจะได้ไม่แปลกใจ
อนึ่ง คอลัมน์ประจำสัปดาห์ก่อน คอลัมน์ประจำสัปดาห์ Holier than thou...อย่านึกว่า เอ็งเหนือคน!!! http://vattavan.com/detail.php?cont_id=445
มีดังต่อไปนี้ครับ
ความคิดเห็นที่ 1
ต้อง ให้พลพรรคประชาวิบัติเข้ามาอ่านบทความของท่านวาทฯดูที ว่าจะสำเหนียกอะไรได้บ้าง การสำคัญตนว่าเหนือกว่าผู้อื่นเป็นเพียงสิ่งเลวทรามเล็กๆของคนพรรคนี้ เพราะเท่าที่เห็นการกระทำที่แล้วมา ไม่เคยก้าวข้ามพ้นตัวเองสักครา...อาเมน
โดยคุณ วาดฝัน ตะวันถือดี 125.24.4.XXX
ความคิดเห็นที่ 2
เรื่องจริยธรรม ไอ้คนพรรค์นี้มันอบาทว์มาก แย่งลูกเมียชาวบ้าน แล้วไม่ใช่สมาชิกตัวเล็กตัวน้อย ไอ้พวกเป้งๆ ทั้งนั้น
โดยคุณ ชวน ชอบไช ดีแต่เปลือก 125.25.138.XXX
ความคิดเห็นที่ 3
เอาอีกครับ พี่ เรื่องเลวๆยังมีอีกเยอะ จัดให้หนักไปเลย
โดยคุณ มันจริงๆ 180.180.154.XXX
ความคิดเห็นที่ 4 คอลัมน์ FOR A SONG ในมติชนวันอาทิตย์บอกว่า "ในหัวใจ หากอัตตาโตก็กินที่เมตตาหมด" มาอ่านของวาทตะวันแล้วเห็นว่าเข้าชุดกันเลย ขอบคุณ
โดยคุณ รจนา 125.24.221.XXX
ความคิดเห็นที่ 5
อาจารย์ ครับ ดูเหตุการณ์ในอียิปต์แล้วบอกได้แต่ว่าต่อไปถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นใน ประเทศไทยอีกก็อย่าหวังไปยื่นจดหมายเปิดผนึกที่สหประชาชาติหรือสถานฑูตมหา อำนาจต่างๆเลยครับ ไม่มีใครสนใจที่จะช่วยหรอก ลุยกันด้วยพวกเราเองนี่แหละครับ จนป่านนี้ยังแทบไม่ได้ยินเสียงเลขาธิการสหประชาชาติออกมาช่วยแก้ปัญหาเลย
โดยคุณ chuang 203.146.214.XXX
(***คอลัมน์ประจำสัปดาห์ ออนไลน์ “วาทตะวัน” เล่าเรื่อง “พระเจ้าอยู่หัว” ของเรา วันเสาร์ ที่ 24 สิงหาคม 2556)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น