ที่มา
ประชาไท
Sun, 2013-12-29 10:40
ความต่างอย่างสำคัญระหว่างผู้ศึกษาปรัชญา(และทฤษฎี)การเมืองกับผู้ศึกษา
ปรัชญาโดยทั่วไปก็คือ
ในขณะที่ฝ่ายหลังอาจทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อทำความเข้าใจปมปัญหาทางนามธรรมที่
จับต้องได้ยาก ฝ่ายแรกกลับให้ความสำคัญกับแนวคิดที่มิเพียงซับซ้อน ลึกซึ้ง
หากยังต้องมีปฏิสัมพันธ์สามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจบริบท
สภาพสังคมที่แวดล้อมแนวคิดเหล่านั้นได้ด้วย
ปรัชญาและทฤษฎีการเมืองจึงเป็นศาสตร์ที่แม้อาจวางอยู่บนแนวคิดนามธรรมจับ
ต้องได้ยาก
แต่ก็ยังมุ่งให้ผู้ศึกษาสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆในสังคมได้อย่างแหลมคม
ทรงพลัง ด้วยเหตุนี้ บทความของ ศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์เรื่อง “มวลมหาประชาชน”
ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์มติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา
[1]
จึงเป็นบทความที่น่าสนใจสำหรับผู้ศึกษาปรัชญาและทฤษฎีการเมืองเป็นอย่างยิ่ง
เพราะนอกจากจะเป็นบทความที่นำเอาแนวคิดทฤษฎีมาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการ
เมืองร่วมสมัยได้อย่างหลักแหลม แยบคายแล้ว
ยังตอกย้ำถึงพันธกิจของการศึกษาปรัชญาและทฤษฎีการเมือง
พันธกิจซึ่งคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการไขปริศนาและสร้างความกระจ่าง
ต่อปรากฏการณ์ต่างๆทางสังคมทั้งที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตและที่กำลังเกิดขึ้น
ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าหลักใหญ่ใจความสำคัญของบทความเรื่อง
“มวลมหาประชาชน”
นี้ก็คือการทำความเข้าใจแบบแผนการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ามวล
มหาประชาชน โดย อ.นิธิได้ชี้ให้เห็นว่าที่สุดแล้ว
มวลมหาประชาชนอันเป็นผลรวม(แบบหยาบๆ)
ของมวลชนผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์และชนชั้นกระฎุมพีเมืองกรุงผู้หงุดหงิด
กับปัญหาคอรัปชั่นและเกลียดชังอดีตนายกทักษิณ ชิณวัตรนั้น
หาใช่อะไรเลยนอกจากการรวมตัวตามแบบซึ่งในทางทฤษฎีเรียกกันว่ามวลชน หรือ
Mass ที่มีลักษณะสำคัญคือการเป็นอณูหรือก็คือ:
“ประชาชนทั่วไปที่หลุดพ้นไปจากพันธะทั้งหลายที่เคยมีมา
เช่นเครือญาติ, ชุมชน, ท้องถิ่น, ศาสนา, พรรคการเมือง, และแม้แต่ชนชั้น...
กลายเป็น...อณูที่ไม่ได้คิดอะไรนอกจากแข่งขันกันในตลาด เพื่อเอาชีวิตรอด
มีตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
และด้วยเหตุดังนั้นจึงเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวในส่วนลึกของจิตใจ
เพราะหาความหมายของชีวิตไม่เจอ”[2]
โดย อ.นิธิยังชี้ให้เห็นว่าในกรณีของไทยนั้น
การเกิดขึ้นของอณูดังกล่าวจะสอดคล้องต้องกันกับกระแสของการแสดงออกถึงความจง
รักภักดีอย่างล้นเกินต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์คือพันธะเดียวที่ยังเหลืออยู่-และดังนั้นจึงอาจ
สร้างความมั่นคงทางจิตใจให้กับ-ชีวิตของอณูเหล่านี้
[3]
ในแง่นี้ มวลมหาประชาชน-จากสายตาของ
อ.นิธิ-จึงไม่ต่างอะไรกับมวลชนซึ่งเป็นฐานให้กับการเคลื่อนไหวแบบเผด็จการ
เบ็ดเสร็จเฉกเช่นเดียวกับลัทธินาซีในเยอรมันหรือเผด็จการฟาสซิสต์ในอิตาลี
ที่ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่นทางอารมณ์
ความรู้สึกซึ่งไม่พอใจ-จนพร้อมจะล้มล้าง-กลไก
สถาบันที่คอยค้ำจุนระเบียบการเมืองปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา
กฎหมายหรือกระทั่งรัฐธรรมนูญซึ่งเอื้อให้ความฉ้อฉล(ตามสายตาของพวกเขา)ดำรง
อยู่ได้
[4]
ชัดเจนว่าข้อวิเคราะห์ของอ.นิธิข้างต้นเป็นข้อวิเคราะห์ภายใต้อิทธิพล
จากกรอบทฤษฎีของฮานน่า อาเร็นดท์ (Hannah Arendt)
หนึ่งในนักทฤษฎีการเมืองคนสำคัญเมื่อศตวรรษที่แล้ว
โดยเฉพาะการแสดงให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างมวลชนกับการเคลื่อนไหวแบบเผด็จ
การเบ็ดเสร็จ ทั้งนี้ ในส่วนที่สามของหนังสือเรื่อง
กำเนิดเผด็จการเบ็ดเสร็จ หรือ
The Origins of Totalitarianism ซึ่ง
ตีพิมพ์ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดไม่กี่ปี
อาเร็นดท์ได้ชี้ให้เห็นว่าการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จนั้นไม่มีทางเกิด
ขึ้นมาได้หากขาดปัจจัยรองรับสำคัญอย่างการสนับสนุนจากมวลชนซึ่งเป็นกลุ่มคน
ที่อาเร็นดท์มองว่าปราศจากสำนึกถึงผลประโยชน์ร่วมทางชนชั้น
ขาดความสนใจทางการเมืองอย่างจริงจัง
ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองกระทั่งอาจไม่เคยไปเลือกตั้งด้วยซ้ำ
[5]
มวลชนสำหรับอาเร็นดท์จึงเป็นการรวมกลุ่มที่ไม่ได้วางอยู่บนการใช้เหตุผล
ครุ่นคิดหรือวางแผนเพื่อต่อรองผลประโยชน์ต่างๆ
แต่จะเป็นการรวมกลุ่มที่หล่อเลี้ยงตัวเองด้วยความเชื่อมั่นทางอารมณ์ตลอดจน
ความเกลียดชังทางการเมืองเท่านั้น
[6]
แต่มวลชนมิได้ดำรงอยู่ในสุญญากาศ
แม้มวลชนอาจเป็นหัวใจสำคัญของการเคลื่อนไหวแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ
แต่การก่อเกิดขึ้นของมวลชนย่อมต้องถูกกำกับจากเงื่อนไขทางสังคมโดยไม่อาจ
หลีกเลี่ยงไปได้ ในแง่นี้
อาเร็นดท์จึงชี้ให้เห็นต่อมาว่าการก่อตัวดังกล่าวของมวลชนนั้น
เอาเข้าจริงแล้วคือผลลัพธ์จากความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยรัฐสภา
พรรคการเมืองและสายสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นที่ไม่สามารถเชื่อมต่อ ประสาน
ถ่ายทอดและสร้างผลประโยชน์ร่วมกับผู้คนจำนวนมากจนผลักไสให้พวกเขาเหล่านั้น
กลายเป็นอณูอันล่องลอย
ไม่สามารถยึดโยงตัวเองเข้ากับกลุ่มก้อนทางการเมืองในระบบปกติ
ทำให้กลายเป็นมวลชนผู้อัดแน่นไปด้วยความเกลียดชังต่อระเบียบการเมืองชุดเดิม
และไม่ได้มีเป้าหมายอื่นใดนอกจากการทำลายล้างระเบียบดังกล่าวให้สิ้นซากลงไป
ในท้ายที่สุด
[7]
นั่นจึงไม่แปลก
ที่อาเร็นดท์จะย้ำให้เห็นว่าการรวมกลุ่มแบบมวลชนนั้นหลักๆแล้วจะเป็นการรวม
กลุ่มของเหล่าชนชั้นกระฎุมพีในเมืองใหญ่ผู้ถูกผลักให้หลุดออกจากสายสัมพันธ์
ทางชนชั้นที่คอยเชื่อมโยงและเป็นตัวแทนพวกเขา(รวมทั้งผลประโยชน์ของพวก
เขา)ในระบบการเมืองตามปกติ
เพราะกระฎุมพีเหล่านี้คือกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสังคมเมืองที่เต็ม
ไปด้วยการชิงดีชิงเด่น พึ่งพาได้แต่ตนเอง
ไว้ใจใครไม่ได้และมักพบว่าตนเองคือผู้แพ้จากโลกของการแข่งขันอันโหดร้ายจน
หมดสิ้นความหวัง
ไร้ซึ่งความภาคภูมิใจต่อตนเองและกลายเป็นพาหะแห่งความคั่งแค้นต่อระบบ
ระเบียบทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่สามัญสำนึกและการใช้เหตุผลขั้นพื้นฐานของตน
[8]
โดยไม่จำเป็นต้องประเมินถึงการใช้ทฤษฎีของอาเร็นดท์เพื่ออธิบาย
ปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยของอ.นิธิ(ซึ่งทำได้ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว)
ลำพังแค่ข้อเสนอข้างต้นของอาเร็นดท์เองก็นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดโดย
เฉพาะการชี้ให้เห็นถึงพลังทางการเมืองอันมหาศาลของมวลชน จริงอยู่
แม้คำอธิบายถึงการดำรงอยู่ของมวลชนอาจไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ น่าตื่นเต้น
เพราะนักปรัชญา/ทฤษฎีจำนวนไม่น้อยต่างก็เคยอธิบายถึงการดำรงอยู่ของมวลชนมา
ก่อนแล้ว
หากแต่คำอธิบายทางทฤษฎีเหล่านั้นมักเพิกเฉยต่อพลังทางการเมืองของมวลชนราว
กับว่ามวลชนเป็นเพียงแค่ฝูงชนอันโง่เขลาที่ปราศจากการครุ่นคิดด้วยปัญญา
ไร้รากทางวัฒนธรรมและเสพย์ติดสินค้าบันเทิงอันปราศจากแก่นสารจนเป็นได้แค่
เพียงเหยื่ออันโอชะที่รอคอยการกดขี่ขูดรีดจากชนชั้นปกครองและระบอบทุนนิยม
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
[9] ด้วยเหตุนี้ คำอธิบายของอาเร็นดท์ที่ชี้ให้เห็น
ถึงผลลัพธ์จากความกระตือรือร้นทางการเมืองอันทรงพลังของมวลชนอย่างการ
เคลื่อนไหวแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จจึงเป็นคำอธิบายที่นักทฤษฎีการเมือง
นักรัฐศาสตร์ตลอดจนผู้สนใจวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมืองไม่อาจเพิกเฉย
มองข้ามไปได้ โดยเฉพาะบทบาทของความเกลียดชัง(Terror)
ที่สำหรับอาเร็นดท์แล้ว
คือแรงผลักสำคัญต่อการรวมกลุ่มและแสดงออกอันคลุ้มคลั่งของมวลชน ในแง่นี้
นอกจากการรวมกลุ่มของมวลชน
อีกเงื่อนไขหนึ่งที่คอยรองรับการก่อตัวของเผด็จการเบ็ดเสร็จจึงเป็นอย่าง
อื่นไปไม่ได้นอกจากความเกลียดชังซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น
ปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกของมวลชนอย่างสม่ำเสมอ
[10]
นั่นจึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จจะตั้ง
อยู่บนการสร้างศัตรูร่วมในจินตนาการทุกครั้ง
สำหรับอาเร็นดท์แล้วประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าศัตรูร่วมดังกล่าวมีตัวตน
ดำรงอยู่จริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการกระตุ้น
ปลุกเร้าความรู้สึกเกลียดชังของมวลชนให้พร้อมออกมาต่อสู้ ทำลายล้าง
“เป้าหมาย” เหล่านั้นให้สิ้นซากต่างหาก
[11]
(แม้ในหลายๆครั้งศัตรูที่กล่าวมานี้อาจเป็นเพียงแค่จินตนาการหาได้ต้องตรง
กับความเป็นจริงแต่อย่างใด)
ทั้งกำเนิดของลัทธินาซีซึ่งด้านหนึ่งอาศัยพลพวงจากความเกลียดชังชาวยิวของคน
เยอรมันในขณะนั้น หรือการครองอำนาจของโจเซฟ
สตาลินที่ใช้ความกลัวจากการปั้นแต่งให้ผู้คนที่มีทัศนะแตกต่างจากตนกลายเป็น
ศัตรูของพรรคและต้องถูก “จัดการ” ให้หมดสิ้น ในแง่นี้
การทำความเข้าใจถึงการดำรงอยู่ของมวลมหาประชาชนจึงมิเพียงแต่ต้องทำความเข้า
ใจลักษณะเชิงสังคมวิทยาของผู้เข้าร่วม
หากแต่ยังต้องชี้ให้เห็นถึงความเกลียดชังในฐานะแรงผลักที่คอยปลุกเร้าและ
หล่อเลี้ยงการดำรงอยู่ของพวกเขาเหล่านี้
ซึ่งอาจารย์นิธิก็ไม่พลาดที่จะชี้ให้เห็นประเด็นดังกล่าว(แม้อาจไม่ได้กล่าว
อย่างตรงไปตรงมานัก)ดังเนื้อหาในบทความที่ว่า:
“จำนวนมากของผู้ที่ร่วมใน "มวลมหาประชาชน"
ของคุณสุเทพ...ไม่ได้เข้าร่วมเพราะวาทศิลป์ของคุณสุเทพ...
หากร่วมเพราะเป็นความเชื่อมั่น (conviction) ทางอารมณ์และความรู้สึก
นั่นคือเป็นการตอบสนองต่อสภาวะอันไม่น่าพอใจที่ตนได้ประสบมาในชีวิตของสังคม
อณูที่ไร้ความผูกพันใดๆ ซ้ำเป็นสภาวะที่ตนมองไม่เห็นทางออกอีกด้วย
คุณยิ่งลักษณ์, พรรคเพื่อไทย หรือคุณทักษิณ
เป็นเหยื่อรูปธรรมของความเชื่อมั่นทางอารมณ์และความรู้สึกนั้น
สักวันหนึ่งข้างหน้า เหยื่อรูปธรรมจะเปลี่ยนเป็นคนอื่นได้หรือไม่
ผมมั่นใจว่าเปลี่ยนได้ อาจเป็นกองทัพ, สถาบันต่างๆ เช่นตุลาการ, หรือศาสนา
หรืออะไรอื่นได้อีกหลายอย่าง...เพราะการเมืองมวลชนเชิงเผด็จการเบ็ดเสร็จย่อมต้องสร้างศัตรูขึ้นเป็นเป้าแห่งความเกลียดชังเสมอ” [12]
อย่างไรก็ตาม
แม้การนำทฤษฎีของอาเร็นดท์มาใช้อธิบายการดำรงอยู่ของมวลมหาชนข้างต้น
อาจเต็มไปด้วยความแม่นยำ น่าชื่นชม
แต่การใช้ทฤษฎีดังกล่าวก็กลับสร้างความลักลั่นในระดับทฤษฎีอย่างไม่อาจหลีก
เลี่ยงไปได้ เพราะมวลมหาประชาชนตามคำอธิบายของ อ.นิธินั้น
หากกล่าวอย่างถึงที่สุดก็คือการรวมกลุ่มซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ชนชั้นกระฎุม
พีเมืองกรุงเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วกลับคือ “เสียงข้างน้อย”
เมื่อเทียบกับจำนวนของพลเมืองไทยทั้งสังคม มวลมหาประชาชนตามคำอธิบายของ
อ.นิธิจึงเป็นขบวนการเคลื่อนไหวของเสียงข้างน้อย
หากเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จก็ย่อมจะต้องเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จโดยเสียงข้าง
น้อยดังที่ อ.นิธิได้เขียนว่า
“การกล่าวว่าม็อบคุณสุเทพคือ เผด็จการของเสียงข้างน้อย
ถูกเป๊ะตรงเป้าเลย และน่าจะถูกใจม็อบด้วย
ก็เคลื่อนไหวทั้งหมดมาก็เพราะต้องการเป็นเผด็จการของเสียงข้างน้อย
เหมือนเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ เผด็จการของอารยันบริสุทธิ์
เผด็จการของคนดี...เผด็จการเบ็ดเสร็จที่ไหนๆ
ก็ทำลายหลักการเสียงข้างมากของประชาธิปไตยทั้งนั้น
เสียงข้างมากที่ถือว่าทุกคนเท่าเทียมกันทางการเมืองนั่นแหละคือ ตัวปัญหา
เพราะทุกคนไม่ควรเท่าเทียมกันทางการเมือง ในเมื่อมีการศึกษาต่างกัน
ถือหุ้นในประเทศไม่เท่ากัน และเห็นแก่ส่วนรวมไม่เท่ากัน
คนที่ยอมกลืนตัวให้หายไปใน "มวลมหาประชาชน"
จะเท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งมัวแต่ห่วงใยกับประโยชน์ของตนเองและลูกเมียได้
อย่างไร”
แน่นอน หากพิจารณาจากประสบการณ์ทางการเมืองที่แต่ละคนคุ้นชิน
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า
มวลมหาประชาชนดังกล่าว-หากคือการรวมกลุ่มที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นชนชั้นกระฎุมพี
ดังที่ อ.นิธิวิเคราะห์-คือการเคลื่อนไหวของเสียงข้างน้อย กระนั้น
เมื่อพิจารณาการรวมกลุ่มตรงนี้ผ่านแว่นตาทางทฤษฎีที่มีชื่อว่า “มวลชน”
คำอธิบายของ อ.นิธิก็กลับเกิดปัญหาในระดับทฤษฎีขึ้นมาโดยทันที
เพราะถ้ามวลชนคือกรอบทฤษฎีที่
อ.นิธิใช้วิเคราะห์การรวมกลุ่มของมวลมหาประชาชน
และถ้ามวลมหาประชาชนคือเสียงข้างน้อยของสังคม นั่นก็เท่ากับ
อ.นิธิกำลังกล่าวว่ามวลชนคือเสียงข้างน้อยของสังคมตามไปด้วย
ซึ่งผู้ศึกษาทางด้านปรัชญาหรือทฤษฎีการเมืองคงต้องรู้สึกแปลกแปร่งเป็นแน่
ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงพัฒนาการทางความคิดของโลกตะวันตก(ซึ่งให้กำเนิดแนวคิด
เรื่องมวลชน) ด้วยแล้ว ก็จะพบว่า “มวลชน” นั้นมิเพียงแต่ไม่สอดคล้องกับ
“เสียงข้างน้อย” หากแต่ยังมีสถานะเคียงคู่กระทั่งเป็นคำที่ใช้แทน
“เสียงข้างมาก” มากกว่า
อันที่จริงการกล่าวถึงมวลชนในโลกตะวันตกยังมีนัยยะส่อถึงภัยคุมคามต่อการ
ดำรงอยู่ของเสียงข้างน้อยด้วยซ้ำ
[13]
แม้แต่ อาเร็นดท์ในทฤษฎีที่ อ.นิธิใช้เองก็ยังไม่กล้าที่จะสรุปแบบ
อ.นิธิว่ามวลชนคือเสียงข้างน้อย
ใกล้เคียงที่สุดก็แค่กล่าวว่ามวลชนซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวเชิง
เผด็จการเบ็ดเสร็จนั้นหาได้นำมาสู่การจัดตั้งรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จที่สามารถ
กำกับครอบงำผู้คนได้ทั้งสังคม
[14]
(หรือพูดง่ายๆคือมวลชนไม่เท่ากับคนทั้งสังคม
แต่การไม่เท่ากับคนทั้งสังคมย่อมมิได้ทำให้มวลชนเท่ากับเสียงข้างน้อยเป็น
แน่) ดังนั้นหากพิจารณาจากสายตาทางทฤษฎี
แม้การวิเคราะห์ทำความเข้าใจมวลมหาประชาชนของ อ.นิธิ
อาจเป็นการวิเคราะห์ที่แหลมคม ทรงพลัง แต่พร้อมๆกันนั้น
การวิเคราะห์ดังกล่าวก็กลับเต็มไปด้วยความพิลึกพิลั่นโลดโผนพิสดารไม่น้อยที
เดียว
กระนั้น การกล่าวข้างต้นนี้ย่อมมิได้มีเป้าประสงค์ที่จะโจมตี อ.นิธิ
ว่าใช้ทฤษฎีผิดหรือมองไม่เห็นความลักลั่นจากการใช้ทฤษฎีของตน
เพราะข้อจำกัดประการหนึ่งที่ผู้ศึกษาปรัชญาและทฤษฎีการเมืองสมควรตระหนักก็
คือ
ทุกๆทฤษฎี-ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่-ต่างก็วางอยู่บนประสบการณ์ทางสังคมและการ
เมืองภายใต้บริบท พื้นที่และห้วงเวลาที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงเสมอ
ไม่เว้นแม้แต่ทฤษฎีของอาเร็นดท์ซึ่งตั้งอยู่บนประสบการณ์ทางการเมืองภายใต้
บริบทของยุโรปช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่แล้วที่อาจสัมพันธ์กับพัฒนาการทาง
ภูมิปัญญาของโลกตะวันตกเท่านั้น
[15]
การนำทฤษฎีมาอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆทางสังคมจึงย่อมต้องได้รับการปรับแต่งไม่
มากก็น้อย หาไม่แล้ว
ทฤษฎีก็คงเป็นได้แค่บทเรียนทางสังคมที่สรุปจากบริบทและห้วงเวลาหนึ่งๆโดยไม่
อาจก้าวข้ามไปสร้างความกระจ่างให้กับปรากฏการณ์ทางสังคมในบริบทอื่นๆได้เลย
ในแง่นี้ ความน่าสนใจในการวิเคราะห์ทำความเข้าใจมวลมหาประชาชนของ อ.นิธิ
จึงมีได้เพียงแค่วางอยู่บนการนำทฤษฎีตะวันตกมาปรับใช้วิเคราะห์ปรากฏการณ์
ทางการเมืองไทยอย่างมีประสิทธิภาพ
หากแต่ยังอาจสร้างบทสนทนาทางทฤษฎีเพื่อสร้างความเป็นไปได้ให้ทฤษฎีดังกล่าว
สามารถปรับระดับ ก้าวข้ามเพดานที่เคยจำกัดขอบเขตของตัวมันเองตามไปด้วย
โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง “มวลชน” ที่แม้ในโลกตะวันตกอาจมีนัยหมายถึง
“เสียงข้างมาก” แต่เมื่อได้รับการปรับแต่งเพื่ออธิบายสังคมการเมืองไทยแล้ว
มวลชน(แบบไทยๆ)ก็อาจไม่ใช่อะไรเลยนอกจากการรวมกลุ่มของชนชั้นกระฎุมพี
เมืองกรุงเอง
ว่าไปแล้ว
ความพยายามในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นกระฎุมพีเมืองกรุงกับการ
เคลื่อนไหวแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จในไทยนั้น
ก็หาใช่การค้นพบที่แปลกใหม่แต่อย่างใด เพราะอย่างน้อยที่สุด เบเนดิก
แอนเดอร์สัน(Benedict Anderson)
นักรัฐศาสตร์ชื่อดังก็เคยชี้ให้เห็นเงื่อนปมความสัมพันธ์ดังกล่าวในบท
ความ-ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงปัจจัยที่นำมาสู่เหตุการณ์ “ฆาตกรรมแห่งชาติ”
เมื่อวันที่ 6 ตุลา 2519-เรื่อง “บ้านเมืองของเราลงแดง:
แง่มุมทางสังคมและวัฒนธรรมของรัฐประหาร 6 ตุลาคม” โดย
อ.แอนเดอร์สันได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างชนชั้นใหม่
อย่างกระฎุมพีกับการก่อความรุนแรงในเหตุการณ์ 6
ตุลาทั้งในรูปของผู้กระทำการ(ผ่านสายสัมพันธ์กับกลุ่มกระทิงแดง
ลูกเสือชาวบ้านตลอดไปจนถึงข้าราชการท้องถิ่น) และในรูปของเสียงโห่ร้อง
สนับสนุนให้เกิดการปราบปรามขบวนการนักศึกษาในครั้งนั้น
[16]
ทั้งนี้
อ.แอนเดอร์สันได้วิเคราะห์ว่าการที่ชนชั้นกระฎุมพีสนับสนุนกระทั่งลุกขึ้นมา
ก่อความรุนแรงในเหตุการณ์ดังกล่าวคือผลโดยตรงของความความเกลียดชังในหมู่พวก
เขาซึ่งก่อตัวอยู่บนอาการวิตกจริต
ไม่มั่นใจกับอนาคตที่จะมาถึงโดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความโกลาหลทาง
เศรษฐกิจและการเมืองไม่ว่าจะเป็นภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในพ.ศ. 2517
เสรีภาพอันล้นเกินของกลุ่มนักศึกษาหลังเหตุการณ์ 14
ตุลาหรือการรุกคืบของลัทธิคอมมิวนิสต์
จนทำให้ชนชั้นใหม่นี้-ซึ่งโดยตัวมันเองเป็นอณูอันล่องลอย
ไม่อาจเชื่อมต่อเข้ากับความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นในอดีต-ต้องหันกลับไปยึด
โยงตนเองเข้ากับสถาบันกษัตริย์ในฐานะพันธะเดียวที่ช่วยปลอบประโลมและสร้าง
ความมั่นคงทางใจให้กับพวกเขาพร้อมๆกับเร่งเร้าความเคียดแค้นชิงชังที่มีต่อ
ขบวนการนักศึกษาซึ่ง-ในสายตาของกระฎุมพีเหล่านี้แล้ว- คือผู้ทรยศ
ไม่จงรักภักดีกระทั่งเป็นข้าศึกที่ควรต้องถูกชะล้างให้หมดสิ้นไป
ดังย่อหน้าที่ว่า:
“ถึงตรงนี้ก็คงเป็นที่เข้าใจได้ชัดขึ้นว่า
เพียงไม่นานหลังจากมีการตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยเสรีนิยม
มีการยกเลิกระบบเซ็นเซอร์ การตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็เริ่มขึ้น
ไม่ใช่เพราะว่ากลุ่มผู้ปกครองโกรธแค้นนักศึกษา นักพูดหัวรุนแรงเท่านั้น
แต่เป็นเพราะกระบวนการอันต่อเนื่องของวิกฤติสังคมไทยทั้งหมด
เริ่มตกผลึกรอบๆสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์
การสิ้นสุดของเศรษฐกิจบูมที่มีมายาว
ความหงุดหงิดอย่างคาดไม่ถึงที่เกิดจากการขยายการศึกษาอย่างรวดเร็ว
ความขัดแย้งระหว่างวัย
และความวิตกที่เกิดการการถอนตัวทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา
รวมทั้งผู้นำทหารที่หมดความน่าเชื่อถือ
วิกฤติต่างๆที่ผูกโยงกันอยู่นี้เป็นประสบการณ์ที่หนักหน่วง
สำหรับพวกกระฎุมพีใหม่
พวกชนชั้นใหม่นี้นั้นถือว่าสถาบันกษัตริย์เป็นทั้งหลักชัยและเกราะคุ้มกัน
ทางจิตใจ
รากลึกทางประวัติศาสตร์และความมั่นคงของสถาบันดูจะเป็นของขลังกั้นยันความ
ไร้ระเบียบและความพินาศให้ และไม่ว่าจะมีความเลวร้ายของชีวิต
หรือการที่ต้องพึ่งพิงทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจต่อชาวต่างชาติจะเป็นเช่น
ไรก็ตาม สมาชิกของชนชั้นนี้ก็รู้สึกว่าความเป็นชาตินิยมของตัวตนนั้น
ประกันได้ด้วยความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์
ซึ่งถือว่าเป็นองค์รวมของมรดกชาติ ดังนั้น
การโจมตีใดๆต่อสิทธิอันชอบธรรมของราชบัลลังก์ ไม่ว่าจะเป็นโดยอ้อมก็ตาม
จะเป็นที่รู้สึกได้เลยว่าคุกคามต่อเกราะคุ้มกันนั้น”[17]
น่าสนใจว่าขณะที่มวลชนโดยทั่วไป(หรืออย่างน้อยในโลกตะวันตก)
อาจสัมพันธ์กับกลุ่มคนผู้ผูกขาดเสียงข้างมาก
มวลชนแบบไทยๆกลับคือชนชั้นกระฎุมพีเมืองกรุงผู้เต็มไปด้วยความเกลียดชังซึ่ง
แม้อาจไม่ได้เป็นเสียงข้างมากของสังคม
แต่ก็ครอบครองพื้นที่สื่อสารมวลชนที่คอยขยายระดับความดังให้กับเสียงของพวก
เขาจนจำนวนอันน้อยนิด(เมื่อเทียบกับผู้คนทั้งประเทศ)หาได้เป็นอุปสรรคต่อ
พลังและการเคลื่อนไหวแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จของพวกตนแต่อย่างใด
ไม่ว่าจะในเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม-หากเราเชื่อตามข้อสรุปของ
อ.แอนเดอร์สัน-หรือในรูปของมวลมหาประชาชนในครั้งนี้ จริงอยู่
แม้ยุคสมัยที่แตกต่างอาจทำให้รายละเอียดของทั้งสองเหตุการณ์ไม่เหมือนกัน
แต่ความเกลียดชังที่รายล้อมควบคู่ไปกับความภักดีอย่างล้นเกินต่อสถาบันพระ
มหากษัตริย์
ก็อาจไม่ได้ทำให้บทบาทของชนชั้นกระฎุมพีมีความแตกต่างจากเมื่อปี พ.ศ.2519
มากนัก คำถามสำคัญก็คือ ตลอดระยะเวลาเกือบสี่ทศวรรษหลังเหตุการณ์นองเลือด 6
ตุลาคม 2519
ชนชั้นกระฎุมพีรวมทั้งสังคมไทยโดยรวมไม่เคยเรียนรู้ถึงความโหดร้ายของตนเลย
หรือ?
เหตุใดชนชั้นกระฎุมพีไทยถึงยังไม่สามารถก้าวข้ามความเกลียดชังซึ่งเคยหลอก
หลอนตนเมื่อเกือบสี่ทศวรรษที่แล้วไปได้? บางที
คำตอบอาจมาจากข้อเท็จจริงอันโหดร้ายที่ว่าพลังจากความเกลียดชังดังกล่าวไม่
เคยเลยที่จะประสบพบเจอกับความพ่ายแพ้ ตรงกันข้ามกับลัทธินาซี
ฟาสซิสต์ที่ต่างก็พ่ายแพ้ในสงครามโลกจนถูกทำลายล้างอย่างราบคาบ
พลังของเผด็จการเบ็ดเสร็จซึ่งขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชังกลับยังคงดำรงอยู่
แฝงฝังและเป็นเนื้อเดียวกับวัฒนธรรมทางการเมืองของชนชั้นกระฎุมพีไทยมาโดย
ตลอด
[18] ไม่
ว่าจะเป็นความเกลียดชังต่อลัทธิคอมมิวนิสต์
พ่อค้ายาเสพย์ติดหรือระบอบทักษิณในปัจจุบัน
และคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากความเกลียดชังดังกล่าวอาจดำรงอยู่ต่อไปถ้าการ
เคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนในครั้งนี้ประสบกับ “ชัยชนะ”
หรือนี่คือราคาที่สังคมไทยต้องจ่ายสำหรับการทำให้เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กลายเป็นเพียงบาดแผลทางประวัติศาสตร์เท่านั้น...
[5] Hannah Arendt,
The Origins of Totalitarianism (New York: A Harvest Book, 1968), pp 311-2
[9] ดู Jose Ortega y Gasset,
The Revolt of the masses (New York: w.w. Norton & Company, Inc, 1964) และ
Dialectic of Enlightenment: Philosophical Fragment .
Edmund Jephcott (Translated), Gunzelin Schmid Noerr (Edited)(Stanford:
Stanford University Press, 2002), Ch.3 อนึ่ง
ทัศนะที่มองมวลชนว่าเป็นเพียงกลุ่มคนที่ปราศจากพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคม
และมักตกเป็นเหยื่อของชนชั้นปกครองตลอดจนระบอบทุนนิยมนั้นยังเป็นทัศนะที่
ทรงพลังมาจนถึงทุกวันนี้
ไม่เว้นแม้แต่ทฤษฎีหลังสมัยใหม่ที่แม้อาจพยายามชี้ให้เห็นพลังของมวลชน
แต่ก็ยังมิวายพิจารณาว่าพลังดังกล่าวคือความเงียบ
ความเฉยชาที่สื่อและสัญลักษณ์ต่างๆไม่สามารถทำหน้าที่ดูดกลืน
ถ่ายทอดและแสดงตนเป็นตัวแทนของมวลชนได้ โปรดดู Jean Baudrillard,
In The Shadow of The Silent Majorities , Paul Foss, John Johnston, Paul Patton and Andrew Berardini(Translated)(Los Angelis: Semiotext(e), 2007)
[10] Arendt, “On the Nature of Totalitarianism: an Essay in Understanding”, in
Essays in Understanding 1930-1954: Formation, Exile, and Totalitarianism , pp 341-4.
[12] นิธิ
เอียวศรีวงศ์, “มวลมหาประชาชน”.
และแทบจะเป็นเรื่องตลกร้ายที่เดียวที่บุคคลซึ่งอาจยืนยันความถูกต้องจากการ
ใช้ทฤษฎีของอาเร็นดท์ดังกล่าวก็คือ อ.อรรถจักร
สัตยานุรักษ์ผู้ออกตัวอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของ อ.นิธิ
ดังเนื้อหาในบทความที่ต้องการจะโต้ อ.นิธิในเรื่องนี้ ซึ่ง
อ.อรรถจักรเองยังยอมรับถึงปฏิสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกระหว่างมวลมหาประชาชน
กับความเกลียดชังทั้งที่ถูกสร้างโดยระบอบทักษิณและที่มีต่อตัวระบอบทักษิณ
เอง ปัญหาเดียวที่ดูเหมือน อ.อรรถจักร มีต่อข้อวิเคราะห์ของ
อ.นิธิก็คือการไม่เห็นด้วยที่
อ.นิธิมองว่ามวลมหาประชาชนเป็นการรวมตัวของอณูที่ปราศจากความคิด ตรงกันข้าม
อ.อรรถจักรกลับมองว่า
ความรู้สึกหวาดกลัวต่อระบอบทักษิณต่างหากที่ทำให้มวลมหาประชาชนต้องคิดและ
ลุกขึ้นมาแสดงตัวตนบนท้องถนน ( ดู
อรรถจักร สัตยานุรักษ์, “มวลมหาประชาชนไม่ได้เป็นอณูในสุญญากาศ” เข้า
ใช้เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2556) แน่นอน ข้อวิจารณ์ของ
อ.อรรถจักรตรงนี้ย่อมเป็นข้อวิจารณ์ที่น่าสนใจไม่น้อย
โดยเฉพาะการชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างอารมณ์ความรู้สึกกับ
การคิด ซึ่งคงน่าสนใจเป็นอย่างมากหากว่า
อ.อรรถจักรจะไม่กล่าวอ้างไปถึงฐานทฤษฎีของอาเร็นดท์
เพราะสำหรับอาเร็นดท์แล้ว
อารมณ์ความรู้สึกกับการคิดเป็นคุณลักษณะทางจิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
กล่าวคือในขณะที่อารมณ์ความรู้สึกอาจตอกย้ำถึงชีวิตและการเป็นส่วนหนึ่งที่
สัมพันธ์กับครรลองของสังคมและโลก
การคิดกลับเป็นกิจกรรมที่ผู้คิดต้องแยกตัวออกจากโลกและกิจกรรมต่างๆในชีวิต
ประจำวัน
เพื่ออยู่(และสนทนา)กับตนเองเพียงลำพังโดยทิ้งโลกซึ่งคุ้นเคยอยู่ตรงหน้าเอา
ไว้เบื้องหลัง ดู Arendt,
The Life of the Mind(New York: Harcourt, 1978), 1:197-9.
[13] ทัศนะ
ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในกลุ่มผู้ชื่นชม “วัฒนธรรมชั้นสูง” (High
Culture) อย่างแวดวงวรรณคดีศึกษาและวรรณกรรมวิจารณ์ในช่วงต้นศตวรรษก่อน
ที่มองว่าการเติบโตของมวลชนนั้นหาใช่อะไรเลยนอกจากสัญญาณทางวัฒนธรรมที่
บ่งบอกว่ารสนิยมอันสูงส่งแบบชนชั้นนำ(ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยของสังคม)
กำลังถูกคุกคามจากรสนิยมอันต่ำช้า
สามานย์ของคนทั่วไป(หรือก็คือกลุ่มคนส่วนมากของสังคม) ดู F.R. Leavis,
“ Mass Civilization and Minority Culture
” , In
Popular Culture : A Reader , Raiford Guins, Omayara Zaragaza Cruz (Edited)(London: Sage Publications, 2005),pp 33-8
[14] Arendt,
The Origins of Totalitarianism , p 310
[15] ดูรายละเอียดได้ใน Dana Villa, “Totalitarianism, Modernity and the Tradition”, in
Politics, Philosophy, Terror: Essays on the Thought of Hannah Arendt (Princeton: Princeton University Press, 1999) , ch.8
[16] เบเนดิก แอนเดอร์สัน, “บ้านเมืองของเราลงแดง: แง่มุมทางสังคมและวัฒนธรรมของรัฐประหาร 6 ตุลาคม”, ใน
จาก 14 ถึง 6 ตุลา ,
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์(บรรณาธิการ)(กรุงเทพฯ:
มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2551), หน้า 99-164.
[17] เพิ่งอ้าง, หน้า 135 การเน้นข้อความเป็นของผู้เขียน
[18] ตัวอย่าง
อันน่าเศร้าที่ช่วยสะท้อนประเด็นดังกล่าวได้อย่างชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้น
สถานะทางประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เอง
ดังข้อมูลจากงานวิจัยของ อ.ธงชัย วินิจจะกุล
ที่ชี้ให้เห็นว่านอกจากไม่ค่อยได้รับการตระหนัก จดจำจากสังคมเท่าที่ควรแล้ว
การกระทำอันโหดร้าย
ป่าเถื่อนในเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่เคยถูกประเมินว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาด
ไม่สมควรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้กระทำความรุนแรงในเหตุการณ์วันนั้นเองที่แม้อาจเก็บตัว
เงียบ
ไม่ออกมาแก้ต่างการกระทำของตนแต่ก็เป็นความเงียบที่ยังคงเป็นชัยชนะอยู่วัน
ยังค่ำ ดู ธงชัย วินิจจะกุล, “6 ตุลาในความทรงจำของฝ่ายขวา 2519-2549:
จากชัยชนะสู่ความเงียบ(แต่ยังชนะอยู่ดี)”, ใน
ความรุนแรงซ่อน/หาสังคมไทย , ชัยวัฒน์ สถาอานันท์(บรรณาธิการ)(กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2553), หน้า 407-512.