แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

จาตุรนต์:ยกฟ้อง2แพะคดีเผาห้าง ตอกย้ำเร่งนิรโทษ

ที่มา Thai E-News

 





คำถามสืบเนื่องจากการยกฟ้องนปช. กรณีเซ็นทรัลเวิรลด์

อ่านคำพิพากษายกฟ้องนปช. 2 คนข้อหาเผาเซ็นทรัลเวิรลด์แล้วมีข้อสังเกตเป็นคำถามบางประการคื

1.ระบบยุติธรรมมีปัญหาหรือไม่ที่่ให้ผู้บริสุทธิ์ต้องติดคุกอยู่นานทั้งๆที่ไม่ได้ทำความผิด

2.เมื่อหลักฐานอ่อนขนาดนั้น ทำไมจึงยังสั่งฟ้องแต่ต้น

3.ทำไมผู้ต้องหาไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดี

4.ยังมีผู้ที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับนปช. 2 คนนี้อีกกี่คนและสังคมไทยจะเยียวยาเขาอย่างไร

5.นอกจากคดีนี้ซึ่งยกฟ้องแล้ว ดูเหมือนไม่มีคดีอื่นที่พิสูจน์ว่าคนเสื้อแดงเผาอาคารต่างๆในกรุงเทพฯ ทำไมปชป.และพวกจึงยังใช้เรื่องเผาบ้านเผาเมืองเป็นอาวุธทำร้ายทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างได้ผลอยู่เสมอและจะทำได้ผลไปอีกนานเท่าไหร

6.เมื่อมีคำพิพากษาออกมาอย่างนี้แล้ว มุมมองของคนในสังคมที่มีต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนไปหรือไม่และใช้เวลาอีกนานเท่าใด

เพิ่งได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่ทำเรื่องนิรโทษกรรมอยู่บอกว่าพอศาลยกฟ้อง 2 นปช.มีคนจำนวนหนึ่งสรุปว่า"เห็นไหม ใช้วิธีสู้คดีไปก็สามารถชนะคดีได้ ไม่ต้องไปใช้วิธีนิรโทษหรอก"ผมไม่นึกว่าจะมีคนสรุปแแบบนี้ก็ได้แต่แสดงความแปลกใจ 

นั่งคิดมาในรถจนถึงบ้านว่าทำไมหนอถึงคิดกันไปอย่างนั้นได้ ผมกลับรู้สึกว่าคำตัดสินยกฟ้องนี้น่าจะยิ่งตอกย้ำว่าควรนิรโทษชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก 

คดีที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองจำนวนมากเกิดขึ้นในสภาพการณ์ที่การเมืองแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย คงจำกันได้ว่าหลังเหตุการณ์วันที่ 10 เมย.53ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากแล้วนั้น รัฐบาลในขณะนั้นอยู่ในสภาพที่ "ถ้าประชาชนไม่ผิด ตัวเองก็ผิดร้ายแรง" จึงได้โหมเรื่องชายชุดดำพร้อมกับการกล่าวหาอย่างเป็นระบบว่าพวกที่ชุมนุมเป็นพวกผู้ก่อการร้ายและล้มเจ้าซึ่งเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมาก การกล่าวหานี้เองทำให้เจ้าหน้าที่จำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าพวกเขากำลังจัดการกับศัตรูของชาติ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนทั้งหลายก็ทำงานภายใต้บรรยาการศทำนองเดียวกันนี้เอง การดำเนินคดีจำนวนไม่น้อยจึงเป็นไปในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาอย่างที่เกิดกับ 2 นปช.นั่นเอง ไม่นับการไม่ให้ประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยจำนวนมากซึ่งต่อไปก็อาจจะพบว่าสุดท้ายแล้วไม่ถูกลงโทษหรือลงโทษเพียงสถานเบาแต่ก็ต้องระกำลำบากกันไปคนละนานๆ

ฝ่ายที่คัดค้านการนิรโทษมักอ้างว่าไม่ควรไปนิรโทษพวกเผาบ้านเผาเมือง แต่สุดท้ายแล้วใครคือพวกที่เผาบ้านเผาเมือง และมีผู้ที่เผาบ้านเผาเมืองที่กำลังถูกดำเนินคดีและจะถูกลงโทษกี่คนกันแน่ การนิรโทษที่กำลังรณรงค์กันอยู่คือการนิรโทษผู้ที่เผาบ้านเมืองจริงๆหรือ 

กรณี 2 นปช.เป็นตัวอย่างได้อย่างดีว่าผู้ที่ถูกกล่าวว่าเผาบ้านเผาเมืองและต้องติดคุกติดตะรางอยู่หลายปีทั้งๆที่เขาไม่ได้เป็นผู้เผาอะไรกับเขาด้วยเลยหากมีการนิรโทษไปก่อนหน่้านี้พวกเขาคงไม่ต้องติดคุกฟรีกันอย่างนี้ 

แล้วกับผู้ที่ต้องเป็นเหยื่อของความขัดแย้งในสังคม เหยื่อของการที่รัฐมุ่งทำลายล้างประชาชนเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและเหยื่อของการที่สังคมอ่อนแอไม่สามารถรักษากฎหมายให้ยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียมกันอีกมากมายเล่า เราจะไม่หาทางเยียยาหรือคืนความเป็นธรรมให้กับเขาหรือ

ผมมีคำตอบต่อคำถามเหล่านี้มานานแล้วว่าควรต้องมีการนิรโทษโดยเร็ว ยิ่งดูจากกรณี 2 นปช.นี้แล้วยิ่งต้องสรุปว่าการนิรโทษประชาชนเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จริงๆ

************
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:อ่านคำพิพากษา ศาลยกฟ้อง 2 นปช. เผาเซ็นทรัลเวิลด์ ชี้หลักฐานอ่อน


ที่ห้องพิจารณา 405 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง  วันที่ 25 มี.ค.56 เวลา 09.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษาวางเพลิงเผาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด คดีหมายเลขดำ ด. 2478/2553  ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสายชล แพบัว อายุ 31 ปี ชาว จ. ชัยนาท การ์ด นปช. และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 29 ปี เป็นจำเลยที่ 1-2  ในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ โรงเรือนที่เก็บสินค้า เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

โดยอัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 1 ก.ย.53 บรรยายพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวก ร่วมกันชุมนุมและมั่วสุมกัน บริเวณสี่แยกราชประสงค์ กทม. ซึ่งอยู่ในระยะเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และได้เข้าไปในบริเวณอาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ใช้กำลังทำลายบานกระจก ผนังอาคารบานกระจกประตู อาคารเซ็นทาวเวอร์ อาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณห้างสรรพสินค้าดังกล่าว จนแตกเสียหายเป็นการกีดขวางการจราจร ขัดขวางต่อการประกอบกิจการของห้าง ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหายและเกรงกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันเข้าไปภายในบริเวณอาคารเซ็นทาวเวอร์ และอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ที่เป็นทรัพย์โรงเรือนที่เก็บสินค้าของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ จนทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ ลุกลามเผาอาคารเซ็นทาวเวอร์ และไฟไหม้เผาทรัพย์สินต่างๆของผู้เสียหาย ที่มี 270 ราย รวมค่าเสียหาย 8,890,578,649.61 บาท และเป็นเหตุให้ นายกิติพงษ์ หรือกิตติพงษ์ สมสุข ที่อยู่ภายในอาคารดังกล่าวถึงแก่ความตาย  เหตุเกิดที่แขวง- เขตปทุมวัน กทม. ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา  33,83,91,217,218,224 และ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 4,5,9,11,18 และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ลงวันที่ 7 เม.ย.53 และประกาศศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เรื่องห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุม ลงวันที่ 8 เม.ย.53 ชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ    

โจทก์นำสืบว่า ระหว่างมี.ค.-พ.ค.53 กลุ่ม นปช.ได้จัดชุมนุมทางการเมืองที่แยกราชประสงค์เขตปทุมวัน กทม. ซึ่ง มีผลทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าไปซื้อสินค้าและบริการภายในห้างสรรพสินค้าเซน และเซ็นรัลเวิร์ดที่ได้ปิดบริการชั่วคราวแต่ยังจัดให้มีการรักษาความปลอดภัย 24 ชม.เพื่อดูแลความเรียบร้อยรวมทั้งป้องกันเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลได้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่กทม.และปริมณฑล โดยห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยหลังจากที่แกนนำประกาศยุติการชุมนุมแล้วได้มีกลุ่มคนร้ายใช้ไม้และเหล็ก ทุบกระจกเข้าไปในห้างเซน และใช้ขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่บรรจุน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟแล้วโยนเข้า ไปในบริเวณชั้น 1 ของห้างซึ่งเป็นแผนกเครื่องสำอางน้ำหอมและเสื้อผ้าทำให้เพลิงไหม้อย่างรวด เร็ว ทำให้ รปภ.ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ เป็นเหตุให้นายกิติพงษ์ หรือกิตติพงษ์ สมสุข ถึงแก่ความตาย ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์พบว่าสำลักควันและขาดอากาศหายใจ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มี รปภ.ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์และถ่ายภาพจำเลยที่ 1 ขณะถือถังดับเพลิงสีเขียวของห้างไว้ได้ เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 19 พ.ค. เบิกความ เห็นจำเลยกับกลุ่มคนร้าย 5-6 คน ใช้ไม้ทุบกระจกเข้ามาภายให้ห้างซึ่งตนเกิดความหวาดกลัวจึงได้หลบไปอยู่ชั้น 3 ระหว่างนั้นได้ถ่ายภาพจำเลยไว้ด้วย ขณะที่ พงส.ชนะสงคราม ได้ขอหมายศาล จับกุมจำเลยที่ 1 ได้ที่สนามหลวงหลังเกิดเหตุ ซึ่งได้พูดคุยกับจับเลยที่ 1 แล้วไม่ได้ขัดขืนการจับกุมและยอมให้การแต่โดยดีว่าเป็นคนเดียวกันกับบุคคล ตามหมายจับของศาล ขณะที่ พงส.สน.ปทุมวันเบิกความว่า หลัง ตร.สน.ชนะสงครามส่งตัวจำเลยมาให้ ซึ่งในพยานซึ่งเป็น รปภ.ชี้ตัวได้ถูกต้องถึง 2 ครั้ง ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 รับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุแต่ไม่ใช้ผู้กระทำผิด ส่วน พงส.ดีเอสไอ เบิกความ หลังจากที่ได้รับคดีนี้มาเป็นคดีพิเศษ จำเลยที่ 1 ได้ให้การใหม่ว่า ขณะเกิดเหตุขายซีดีอยู่ที่ห้างอิมพีเรียลเวิร์ล อ่านและเขียนหนังสือไม่ได้ เขียนได้เฉพาะชื่อตนเอง
ศาลเห็นว่าแม้โจทก์มีพยานเป็น รปภ.ซึ่งเป็นผู้ถ่ายภาพของจำเลยที่ 1 ได้ในที่เกิดเหตุ แต่ก็อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 30 เมตร และเห็นเพียงว่าจำเลยที่ 1 ถือถังดับเพลิง ซึ่งไม่ใช่อุปกรณ์ที่จะใช้ในการวางเพลิง แม้จะอนุมานไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 จะเข้าไปช่วยดับเพลิงหรือไม่ ประกอบกับพยานโจทก์ปากนี้ก็ไม่สามารถตอบคำถามทนายจำเลยได้ว่าเห็นจำเลยที่ 1 เป็นผู้วางเพลิงหรือไม่ นอกจากนี้โจทก์ยังไม่มีพยานปากอื่นที่จะมาเบิกความชี้ชัดถึงพฤติการณ์จำเลย ที่ 1 ในการวางเพลิงหรือสนับสนุนการวางเพลิงแต่อย่างใด นอกจากภาพถ่ายเพียงใบเดียวที่แสดงให้เห็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่มีใครเห็นว่าจำเลยที่ 1 จะทำอย่างไรต่อไป พยานโจทก์จึงยังมีเหตุสงสัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่ร่วมทำผิดในคดีนี้หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งควยามส่งสัยให้จำเลย

ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์มีพนักงานห้างเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุเห็นคนร้ายประมาณ 40-50 คน มีชาย 4-5 คน เดินนำหน้าใช้หนังสติ๊กยิงใส่เป็นระยะพนักงานจึงหลบหาที่กำบัง และเห็นชายชุดดำลายพรางสวมหมวกปีก ใช้ระเบิดโยนใส่มีคนเจ็บ 9 คน  ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายภายในห้างได้จำนวน 9 คน มีจำเลยที่ 2 รวมอยู่ด้วย จึงพาไปคุมตัวที่ลานจอดรถ  อย่างไรก็ตามคำเบิกความของพยานโจทก์กลุ่มนี้ที่สามารถจดจำรูปพรรณสัณฐาน จำเลยที่ 2 ได้ตรงกันหมด ยกเว้นเพียงสีเสื้อที่ไม่ตรงกับภาพที่ปรากฎทั้งที่ระหว่างพยานต้องคอยหลบลูก หินที่กลุ่มคนร้ายยิงเข้าใส่ อีกทั้งพยานอยู่ห่างไปกว่า 30 เมตร นั้นน่าส่งสัยว่าจะสามารถจำคนร้ายได้จริงหรือไม่ นอกจากนี้โจทก์ยังไม่นำเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมจำเลยที่ 2 มาเบิกความถึงการจับกุมจับจำเลยว่าจับกุมได้ที่ชั้นไหน มีวัสดุหรืออุปกรณ์ หรือมีร่องรอยหลักฐานตามตัวในการวางเพลิงหรือไม่อย่างไร พยานโจทก์ที่นำสืบมานั้นยังมีเหตุสงสัยว่าจำเลยที่ 2 จะกระทำผิดตามฟ้องจริงหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ โรงเรือนที่เก็บสินค้า เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ส่วนที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะให้การปฎิเสธในภายหลังว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่จากคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุม ซึ่งให้การไม่นานหลังเกิดเหตุ ว่าเข้าไปในห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุเนื่องจากได้รับคำสั่งจากหัวหน้าการ์ด นปช.ให้เข้าไประงับเหตุ ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ห้ามชุมนุม ประกอบกับพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงเชื่อว่าคำให้การไม่ใช้การให้ร้ายจำเลยเพื่อให้รับโทษ ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ในภายหลังจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเวลา 1 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกเป็นเวลา 9 เดือน

ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นเนื่องจากพนักงานอัยการได้เคยยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ในอีกคดีหนึ่งของศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในความผิด ฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาเล้วเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อเดือน ธ.ค.54 ซึ่งพฤติการณ์ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุคดีนั้นเกี่ยวพันกับคดีนี้ ถือเป็นความผิดกรรมเดียว จึงไม่สามารถนำคดีมาฟ้องให้ศาลลงโทษได้อีก พิพากษายกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้วได้อธิบายให้จำเลยฟังว่า จำเลยถูกคุมขังมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ซึ่งเกินกว่าระยะเวลาที่ศาลลงโทษจำคุกแล้ว และศาลไม่ได้มีคำสั่งขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ จึงจะออกหมายปล่อยจำเลยจากเรือนจำภายในวันนี้ ขณะที่ศาลชี้แจงด้วยคดีนี้ถือว่ายังไม่สิ้นสุด โดยอัยการโจทก์ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้

ภายหลังนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ที่มาร่วมฟังคำพิพากษา กล่าวว่า เมื่อศาลยกฟ้องคดีนี้แล้วว่า จำเลยไม่ผิดที่ถูกกล่าวหาว่าเผาบ้านเผาเมืองแล้ว ที่ผ่านมาที่พรรคประชาธิปัตย์ เคยนำรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ อดีตผู้สมัครผู้ว่า ฯ กทม. ไปโฆษณาโจมตีช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า กลุ่ม นปช. เผาบ้านเผาเมือง แล้วเมื่อ กกต. ต้องรับรองผลการเลือกตั้งของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ก็ต้องวินิจฉัยว่ากรณีดังกล่าวเป็นความผิดหรือไม่

ขณะที่ น.พ.เหวง โตจิราการ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. กล่าวด้วยว่า เมื่อศาลยกฟ้องจำเลยทั้งสองแล้วโดยที่ผ่านมาจำเลยถูกคุมขังในเรือนจำมานาน เกินกว่าโทษที่ศาลให้จำคุก รัฐบาลก็ควรเร่งให้การเยียวยา ขณะที่ตนขอฝากไปยังพี่น้องว่า หากต่อไปนี้ได้ยินหรือได้ฟังกลุ่มประชาธิปัตย์กล่าววหาว่าเราเผาบ้านเผา เมืองอีก ทั้งที่ศาลยกฟ้องแล้ว ขอให้ไปแจ้งความจับตัวดำเนินคดีเลย 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น