โดย รองศาสตราจารย์ ดร.
วรพล พรหมิกบุตร
นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี
(๑) ภูมิหลังการต่อสู้ของประชาชน
ในระหว่างการเคลื่อนกำลังทหารออกกระทำการอันเป็นความผิดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๔๐ และกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๓
(การยึดอำนาจรัฐด้วยกำลัง)
กลุ่มประชาชนและแกนนำกลุ่มพลังมวลชนจำนวนหนึ่งเข้ามอบดอกไม้ให้กำลังใจทหารรวมทั้งแสดงจุดยืนสนับสนุนการรัฐประหารดังกล่าวเมื่อวันที่
๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานนัก
กลุ่มประชาชนและแกนนำกลุ่มพลังมวลชนรวมทั้งนักการเมืองจำนวนหนึ่งก็แสดงตน
ประกาศความคิดและจุดยืนต่อต้านการรัฐประหารดังกล่าว
แม้ว่ารัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี พ.ต.ท. ทักษิณ
ชินวัตรเป็นผู้นำจะตกอยู่ในภาวะเบี้ยล่างของผู้ใช้อาวุธและกฎหมายเผด็จการ
คุกคามอย่างปิดบังอำพรางไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ความเห็นและจุดยืนที่แตกต่างกันของประชาชนที่สนับสนุนและคัดค้านการรัฐ
ประหาร
๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ คือ
รูปธรรมของภาวะทางการเมืองที่นอกจากจะไม่มีอำนาจใดสามารถห้ามปรามได้แล้วยัง
เป็นฐานข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่รองรับอุบัติการณ์ต่อเนื่องอันเป็นพลวัตรการ
ต่อสู้ทางการเมืองของไทยที่มี
“พลังของประชาชน” ทั้งสองฝ่ายเป็นตัวแปรสำคัญตลอด ๖
ปีหลังการรัฐประหารดังกล่าว
พลังทางการเมืองของประชาชนฝ่ายแรกที่ปรากฎตัวสนับสนุนการรัฐประหาร
๒๕๔๙ เป็นพลังของประชาชนกลุ่มเดิมที่เคยเข้าร่วมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล
นักสื่อสารมวลชนเจ้าของสำนักพิมพ์ผู้จัดการและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตยในการเคลื่อนไหวที่มุ่งโค่นล้มตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรและรัฐบาลพรรคไทยรักไทยมาตั้งแต่ก่อนวันรัฐประหาร
ขณะที่พลังของประชาชนฝ่ายหลังที่ปรากฎตัวคัดค้านต่อต้านการรัฐปรหารดังกล่าว
เริ่มต้นปรากฎตัวเป็นกลุ่มอิสระย่อย
ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ มีการประสานการทำงานรวมตัวกันเป็น “แนวร่วม” ที่มีลำดับขั้นตอนตามสถานการณ์การต่อสู้ทางการเมืองจนเป็น “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) ในปี
พ.ศ. ๒๕๕๑
พลังทางการเมืองของประชาชนสองฝ่ายข้างต้นปรากฎเป็นตัวแปรสำคัญอยู่ในกระแส
การต่อสู้ทางการเมืองของไทยระหว่างปี
๒๕๕๐ จนถึงปัจจุบันเสมอมา
การปรากฎตัวของกลุ่มพลังประชาชนที่มีจุดยืนทางการเมืองแตกต่างกันข้างต้น
เป็นรูปธรรมที่สะท้อนความแตกต่างหลากหลายทางความคิดที่เป็นธรรมชาติทางสังคม
วิทยาการเมือง
และเป็นสภาพที่หลักการตามระบอบประชาธิปไตยมิได้ปฏิเสธหรือมุ่งทำลาย
ซึ่งแตกต่างไปจากหลักการของการเมืองตามระบอบเผด็จการที่มุ่งปิดปากหรือทำลาย
ล้างจุดยืนความเห็นที่แตกต่างไปจากผู้มีอำนาจด้วยวิธีการต่าง
ๆ ทั้งทางกฎหมาย ทางการเมือง และด้วยกำลังบังคับ
การต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มพลังประชาชนสองฝ่ายข้างต้นดำเนินต่อเนื่องมา
เป็นเวลาราว
๖ ปีโดยเห็นได้ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับจนถึงปีปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๖) ว่า
ประชาชนจำนวนมากขึ้นเห็นด้วยกับจุดยืนของกลุ่มพลังมวลชนฝ่ายที่คัดค้านการ
รัฐประหาร
ในขณะที่ประชาชนที่ยังคงสนับสนุนการรัฐประหารดังกล่าวลดจำนวนลงเหลือน้อยลง
ความสำเร็จของพลังประชาชนกลุ่มต่าง
ๆ
ที่ผนึกกำลังกันเป็นแนวร่วมนปช.ในการต่อสู้กับเครือข่ายกลุ่มอำนาจที่มาจากการรัฐประหาร
๒๕๔๙ รวมทั้งการสืบทอดอำนาจแบบ “เผด็จการซ่อนรูป”
ของคณะรัฐประหารดังกล่าวเป็นความสำเร็จบนพื้นฐานของความสามารถในการดำรงรักษาภาวะ “เอกภาพบนพื้นฐานความแตกต่างหลากหลาย” ตลอดช่วงเวลาราว
๖ ปีที่ผ่านมา
พลังประชาธิปไตยของประชาชน
(ผ่านการทำงานของกลุ่มพลังมวลชนต่าง ๆ ที่เป็นแนวร่วมข้างต้น)
ประสบความสำเร็จในการแสดงให้ทุกฝ่ายเห็นถึงความสามารถในการยืนหยัดต่อสู้
ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยสันติวิธีตอบโต้กับความรุนแรงของอำนาจรัฐไม่เป็นธรรม
ที่ใช้กำลังทหารและอาวุธสงครามเข้าทำร้ายร่างกายและทำลายชีวิตของประชาชนที่
ใช้สิทธิทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญในการชุมนุมคัดค้านอำนาจรัฐ
นอกจากนั้นกลุ่มพลังประชาธิปไตยประชาชนที่เป็นแนวร่วมนปช.ยังประสบความ
สำเร็จในการแถลงจุดยืน
“เตือน” แกนนำกลุ่มอำนาจเผด็จการและผู้นำกองทัพว่าประชาชนในปัจจุบันมีความพร้อมและมีศักยภาพในการรวมตัวต่อต้านการรัฐประหารทุกเวลา
ความสำเร็จของพลังประชาธิปไตยภาคประชาชนดังกล่าวเป็นความสำเร็จในการจำกัด
เขตอำนาจการทำงานของอาวุธสงครามและกองทัพให้อยู่ภายในขอบเขตของอำนาจหน้าที่
ตามกฎหมาย
รวมทั้งการปรามบรรดาผู้นำกองทัพรุ่นปัจจุบันและในอนาคตว่าประชาชนมือเปล่าใน
การเมืองไทยปัจจุบันมีความสามารถและพร้อมจะต่อสู้กับกองทัพที่อาจคิดกระทำ
การรัฐประหารยึดอำนาจด้วยกำลังจากรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง
ของประชาชน
ความสำเร็จดังกล่าวนี้เป็นความสำเร็จของแนวร่วมประชาธิปไตยของประชาชนในการ
ต่อสู้กับ
“อำนาจปืน” ที่ไม่เป็นธรรม
(๒) การต่อสู้และความท้าทาย ๒๕๕๖
ขบวนการประชาชนในการเมืองไทยตั้งแต่ปี
พ.ศ. ๒๕๔๘
(การก่อหวอดจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีเป้าหมายต่อ
ต้านรัฐบาลพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องถึงการต่อต้านพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อ
ไทยในเวลาถัดมาตามลำดับ)
และขบวนการประชาชนในปี พ.ศ. ๒๕๕๐
(การก่อหวอดจัดตั้งกลุ่มพลังมวลชนต่อต้านการรัฐประหาร ๒๕๔๙
ต่อเนื่องเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ)
เป็นขบวนการที่ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปี
พ.ศ. ๒๕๕๖
โดยมีทั้งจุดมุ่งหมายและผลสัมฤทธิ์ทางปฏิบัติเป็นการสร้างและขยายเครือข่าย
แนวร่วมกลุ่มพลังทางการเมืองที่เชื่อมโยงประชาชนวงกว้างในขอบเขตทั่วประเทศ
เข้ากับการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกลุ่มอำนาจหลักสองกลุ่ม
คือ กลุ่มอำนาจคณาธิปไตยดั้งเดิมที่นิยมการต่อสู้แบบขัดแย้งทำลายล้างกลุ่มอำนาจทุนใหม่ซึ่ง
สามารถผสมผสานการร่วมงานระหว่างนักการเมืองส่วนภูมิภาคกับนักคิดกระแสปฏิรูป
ทางการเมืองได้มากกว่ากลุ่มอำนาจคณาธิปไตยดั้งเดิมที่อาศัยอาวุธในกองทัพและ
การแต่งตั้งบุคคลากรระดับสูงในระบบราชการประจำเป็นเครื่องมือสำคัญ
การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกลุ่มอำนาจหลักทั้งสองในการรณรงค์เลือกตั้งทั่ว
ไป
พ.ศ. ๒๕๕๔
และผลของการเคลื่อนไหวขบวนการประชาชนของกลุ่มพลังทั้งสองฝ่ายในช่วงปี
พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕
แสดงให้เห็นสภาวะพัฒนาการทางการเมืองที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่โดยรวมของ
ประเทศปฏิเสธภาวะความชอบธรรมของกลุ่มอำนาจคณาธิปไตยดั้งเดิมในขอบเขตภาพรวม
ทั่วประเทศอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคะแนนเสียงของประชาชนที่ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้
แทนราษฎรทั่วประเทศเมื่อเดือนกรกฎาคม
๒๕๕๔
เปรียบเทียบกับผลของการเคลื่อนไหวชุมนุมประชาชนโดยองค์กรเครือข่าย
คณาธิปไตยดั้งเดิมที่ใช้สนามม้านางเลิ้งเป็นศูนย์บัญชาการในปลายปี
พ.ศ. ๒๕๕๕
ผลการเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงเทพมหานครฯ
เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๖
จะถูกนำไปใช้ในการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกลุ่มอำนาจทั้งสองฝ่ายต่อไป
แต่ชัยชนะจากผลการนับคะแนนของอดีตผู้ว่าการกรุงเทพมหานครฯ
(พรรคประชาธิปัตย์)
ในวันดังกล่าวไม่สามารถกลบทับขัดขวางการร้องเรียนให้ผลคะแนนดังกล่าวตกไปจาก
สาเหตุเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของผู้สมัครและแกนนำพรรคการเมือง
ที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงเทพมหานครครั้งดัง
กล่าว
นอกจากนั้นยังไม่มีผลในทางการปิดคดีและไม่ควรจะมีผลต่อไปในการบิดเบือนความ
จริงทางคดี
ไม่ว่าในทางเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้ถูกกล่าวหาตามกระบวนการยุติธรรมหลาย
เรื่องที่มีผู้แจ้งความหรือกล่าวหานักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ
พรรคการเมืองและผู้บริหารกรุงเทพมหานครฯในช่วง
๔ ปีที่ผ่านมา
ความพ่ายแพ้ในผลคะแนนเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้งผู้ว่า
การกรุงเทพมหานครฯที่ยังน้อยกว่าคะแนนเสียงของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์อยู่
ราว
๑ แสน ๕ หมื่นคะแนนเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๖
แต่มากกว่าคะแนนเสียงเลือกตั้งของตนครั้งก่อนในสนามผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร
ราว
๕-๖
แสนคะแนนก็จะถูกใช้ประโยชน์ทางข่าวสารข้อมูลเพื่อชี้ให้เห็นความเข้มแข็ง
เพิ่มขึ้นของพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้งกรุงเทพฯ
จากจำนวนรวมผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งราว ๒ ล้าน ๕ แสนคน
ขณะที่การเลือกตั้งในสนามผู้ว่าการกรุงเทพมหานครฯครั้งก่อนมีจำนวนประชาชนมา
ใช้สิทธิน้อยกว่านี้เป็นอันมาก
แต่ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์สามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้ด้วยคะแนนเสียง
มากกว่าพรรคเพื่อไทยที่เป็นคู่แข่งสำคัญถึงราว
๓ แสนคะแนน เป็นต้น
ผลของการต่อสู้ทางการเมืองด้วยการใช้ข้อมูลรูปธรรมจากผลการเลือกตั้งผู้ว่า
การกรุงเทพมหานครฯ
จะผนึกเข้ากับการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กลุ่มอำนาจคณาธิปไตยดั้งเดิมมุ่ง
มั่นในการลดทอนหรือแม้แต่บั่นทอนบ่อนทำลายเอกภาพความเข้มแข็งทางการเมืองของ
เครือข่ายขบวนการประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยให้ได้ก่อนปี
พ.ศ. ๒๕๕๘
ซึ่งจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่หากยังไม่สามารถล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ได้ด้วยวิธีการใด
รูปธรรมของความเห็นที่แตกต่างปลีกย่อยรวมทั้งจุดบกพร่องของบุคคลากรตาม
ธรรมชาติของขบวนการจัดตั้งภาคประชาชน
(ซึ่งขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชนทุกฝ่ายมีอยู่ภายในตนเอง)
ยังจะถูกใช้ประโยชน์จากกลุ่มที่ขัดขวางต่อต้านการพัฒนาประชาธิปไตยในการขยาย
ความ
ต่อเติม ตอกย้ำ
รวมทั้งการสนับสนุนทางอ้อมให้เกิดภาวะปริแยกขัดแย้งกันมากขึ้นต่อไปดภายใน
เครือข่ายขบวนการภาคประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกับที่เครือข่ายขบวนการประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งยังคงสภาพอยู่ระหว่างการ
ทบทวนปรับปรุงยุทธศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของตนเพื่อฟื้นฟูความเข้มแข็ง
และการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกลุ่มทุนในเครือข่ายอำนาจคณาธิปไตยดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม
การสนับสนุนที่ล่อแหลมต่อการกระทำผิดกฎหมายจะถูกจับตามองยิ่งขึ้นจากสาธารณชนและพรรคร่วมรัฐบาล
ตัวอย่างของปรากฎการณ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติทางการเมืองของขบวนการประชาชนที่สามารถพัฒนาความเข้มแข็งของตนได้
ได้แก่ ความต้องการสถานะความสำคัญส่วนบุคคลในเครือข่ายขบวนการ
ประชาชน ซึ่งบรรดาแกนนำและบุคคลต่าง ๆ
ที่แวดล้อมเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเคลื่อนไหวขบวนการประชาชนที่รับรู้ความ
สำเร็จของขบวนการนั้นแล้วในแต่ละระดับอาจพยายามเรียกร้องหรือแข่งขันกัน
เพื่อให้ได้รับการยอมรับความสำคัญในองค์กร
(หากเป็นการแข่งขันที่เกินเลยเข้าสู่ความขัดแย้งแก่งแย่งภายในจะไม่เป็นคุณ
ทั้งต่อบุคคลและองค์กร)
ปรากฎการณ์ที่เป็นภาวะปัญหาตามธรรมชาติเชิงองค์กรของขบวนการประชาชนดังกล่าว
นี้เมื่อปรากฎรูปธรรมขึ้นแล้วผู้เกี่ยวข้องมีทางเลือกดำเนินการที่เป็นไปได้
ทั้งสองทาง
คือ
(๑) ความพยายามอย่างระมัดระวังเพื่อการเยียวยาแก้ไขให้ขบวนการทางการเมืองนั้นสามารถรักษาความเข้มแข็งของขบวนการประชาชนโดยส่วนรวมของตน
ในขณะที่อีกทางหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นคู่ขนานกัน คือ
(๒) รูปธรรมของปรากฎการณ์เดียวกันอาจถูกนำไปใช้เชิงลบในการตอกย้ำขยายยผลให้กลายเป็นเงื่อนไขสาเหตุการทำลายความเข้มแข็งหรือเอกภาพของขบวนการดังกล่าวในลำดับต่อไป
ใน
การเมืองไทย พ.ศ. ๒๕๕๖
ขบวนการประชาชนในเครือข่ายที่ต่อต้านอำนาจคณาธิปไตยดั้งเดิมเริ่มเผชิญหน้า
กับปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น
เช่น จากกรณีการให้สัมภาษณ์ตอบโต้กันผ่านสื่อมวลชนที่เป็น “วิวาทะ”
ระหว่างแกนนำมวลชนเสื้อแดงจังหวัดอุดรธานีกับประธาน นปช. ส่วนกลาง
สภาพการณ์ที่เป็นรากฐานของวิวาทะนั้นความจริงได้ปรากฎและกล่าวถึงกันมาก่อน
แล้วในภูมิหลังและฉากหลังของเวทีการชุมนุมทางการเมืองต่าง
ๆ ของภาคประชาชนในช่วงปี ๒๕๕๕
แต่ไม่ได้รับการสนใจแก้ไขอย่างจริงจังเพราะผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายเห็นว่า
เป็นเรื่องเล็กและใช้วาทกรรมกลบทับว่า
“เดี๋ยวถึงเวลาก็ร่วมกันสู้ต่อไป”
การแก้ไขปัญหาดังกล่าวในทางบวกและรักษาความเข้มแข็งของขบวนการประชาธิปไตย
ของประชาชนโดยส่วนรวมไว้ให้ได้เป็นความท้าทายสำหรับขบวนการ
นปช.
และเครือข่ายอำนาจทุนใหม่รวมทั้งพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องในการเมืองไทย
พ.ศ.
๒๕๕๖
ทั้งยังเป็นความจำเป็นที่ต้องดำเนินการให้สำเร็จทันท่วงทีมากกว่าทางเลือกใน
ทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแบบเดิมด้วยแนวทางหรือวิธีการแบบ
“ซุกขยะไว้ใต้พรม”
การเมืองไทย พ.ศ. ๒๕๕๖
สามารถคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับบทบาทนอกกฎหมายของกองทัพในการรัฐประหารได้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลา
๒-๓ ปีที่ผ่านมา
แต่การต่อสู้ของแนวร่วมประชาธิปไตยของประชาชนในอีกแนวปะทะหนึ่ง (หรือ “แนวรบ”) จะยังดำเนินต่อไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือไม่มีอำนาจใดสามารถห้ามปรามได้ นั่นคือ
การต่อสู้กับองค์อำนาจรัฐประหารที่คณะรัฐประหารได้บรรจุไว้ภายในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
๒๕๕๐ เกือบทุกองค์กรที่ไม่ใช่สภาผู้แทนราษฎร การต่อสู้ในแนวปะทะนี้เป็นทั้งการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองในรัฐสภา
และการต่อสู้ของแนวร่วมประชาธิปไตยของประชาชนกับการใช้อำนาจไม่เป็นธรรมที่อ้างอิงกฎหมาย
(กล่าวคือ เป็นการต่อสู้กับ “อำนาจกฎหมาย” ที่ไม่เป็นธรรม)
ซึ่งมีจุดศูนย์กลางย่อยอยู่ในองค์กรตามรัฐธรรมนูญต่าง ๆ
ที่ใช้วิธีสรรหาแต่งตั้งอย่างเป็นขบวนการอำนาจนิยมภายหลังการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน
๒๕๔๙
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช.
ยังคงมีความสำคัญและจำเป็นในฐานะที่เป็นองค์กรประสานการทำงาน
ของกลุ่มพลังประชาธิปไตยของประชาชนวงกว้างทั่วประเทศที่มีความแตกต่างหลาก
หลายให้มีเอกภาพร่วมกันในการต่อสู้ทางการเมืองด้วยสันติวิธีตามกฎหมายในการ
ต่อต้านการใช้
“กฎหมาย” ที่ไม่เป็นธรรมหลัง
การรัฐประหาร ๒๕๔๙
แม้ว่ารูปธรรมทางการเมืองของประชาชนในช่วงปลายปีพ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงต้นปี ๒๕๕๖
จะปรากฎความเห็นแตกต่างโต้แย้งกันระหว่างแกนนำมวลชนบางกลุ่ม
แต่ความแตกต่างขัดแย้งดังกล่าวสามารถแก้ไขคลี่คลายได้ไม่ยากนัก
และเป็นเพียงความแตกต่างในระดับแกนนำที่ไม่กระทบถึงฐานอุดมการและความต้อง
การร่วมของประชาชนที่เป็นเจ้าของแนวร่วมทั้งหมดในการเรียกร้องประชาธิปไตย
และต่อสู้ทางการเมืองด้วยสันติวิธีเพื่อบรรลุถึงหลักการ
“ประชาธิปไตยที่อำนาจแท้จริงเป็นของประชาชน
ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งเป็นหลักการตามคำประกาศของแนวร่วม นปช.
พลังมวลชนของประชาชนในแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)
ยังตระหนักในการต่อสู้ทางการเมืองที่เป็นภาระทางประวัติศาสตร์อย่างต่อ
เนื่องในการสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็งเพิ่มขื้นนอกเหนือไปจาก
ความเข้มแข็งในการต่อสู้แบบมือเปล่ากับอาวุธเผด็จการที่ประชาชนตั้งแต่ราก
หญ้าถึงชนชั้นกลางในแนวร่วม
นปช. ได้พิสูจน์ให้ทุกฝ่ายเห็นเป็นประจักษ์มาแล้วในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓
การต่อสู้ในลำดับถัดไปของแนวร่วมประชาธิปไตยของประชาชนจะเป็นการต่อสู้กับ
การใช้อำนาจที่มองไม่เห็นมากขึ้นกว่าการต่อสู้กับอาวุธและกระสุนจริงของกอง
ทัพที่มองเห็นได้โดยง่ายด้วยตาเปล่า
อำนาจที่มองไม่เห็นเหล่านั้นแฝงอยู่ภายในบรรดาบุคคลและกลไกขององค์กรที่
สามารถใช้อำนาจขององค์กรการเมืองต่าง
ๆ โดยอ้างอิงกฎหมายอย่างผิดพลาดบกพร่อง (ตัวอย่างเช่น
กรณีความผิดพลาดบกพร่องในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งผู้เป็นประธาน
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันเองถึงกับกล่าวบรรยายในที่ประชุมแห่งหนึ่ง
ซึ่งสื่อมวลชนนำไปเผยแพร่เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมายอมรับว่าศาลรัฐ
ธรรมนูญชุดที่ตนเป็นประธานได้ทำคำวินิจฉัยบกพร่องมาแล้วหลายเรื่อง
ตั้งแต่การวินิจฉัยคดี “ชิมไปบ่นไป”
จนถึงการวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคการเมืองอื่นในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้น)
การเมืองไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๖
นอกจากจะมีข้อบ่งชี้ถึงความสำเร็จของอุดมการประชาธิปไตยของประชาชนที่หยั่ง
รากลึกลงไปในระบอบการเมืองของไทยมากขึ้นโดยรวมทั่วประเทศแล้วในขณะเดียวกัน
ยังมีข้อบ่งชี้ถึงอุปสรรคและความท้าทายที่พลังประชาธิปไตยของประชาชนจำเป็น
ต้องพิจารณาควบคู่กันไป นั่นคือ
การเตรียมความพร้อมสำหรับการรักษาภาวะเอกภาพของแนวร่วมบนความแตกต่างหลาก
หลายของสมาชิกระดับแกนนำ
เอกภาพดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนกระบวนการต่อสู้ทางการเมือง
ด้วยสันติวิธีต่อไปในช่วงปี
พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ซึ่งภาระงานส่วนใหญ่ของแนวร่วมประชาชนจะเป็นการต่อสู้
ท้วงติง
และถ่วงดุลกับกลุ่มผู้ใช้อำนาจในองค์กรการเมืองต่าง ๆ
ที่มิได้ใช้อำนาจอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาตามกฎหมาย
การต่อสู้ทางการเมืองนั้นจะมีทั้งในแนวปะทะที่เป็นกรณีพิพาทอันมาจากเรื่อง
ร้องเรียนหรือคดีความที่มีผู้ยื่นให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญต่าง
ๆ พิจารณาเอาผืดทางการเมืองเป็นสนามต่อสู้
และการต่อสู้ในแนวปะทะระดับมหภาคภาพรวมที่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐
หลายประเด็นเป็นจุดศูนย์กลางของการต่อสู้ระหว่างฝ่ายที่ต้องการแก้ไขกับฝ่าย
ที่ต้องการดำรงรักษา
ความเห็นและข้อเสนอแนะ
การพัฒนาทางการเมืองของไทยในปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยแนวร่วมและความร่วมมือ
เคลื่อนไหวจากกลุ่มพลังประชาธิปไตยขององค์กรประชาชนสอดคล้องกับการทำงานของ
พรรคการเมืองที่มีฐานอุดมการปฏิรูปในแนวนโยบายของตน
สังคมไทยปัจจุบันมีองค์ประกอบของแนวร่วมดังกล่าวก่อตัวเข้มแข็งขึ้นแล้วจาก
การต่อสู้ทางการเมืองติดต่อกันกว่า
๖ ปีภายหลังการรัฐประหาร ๒๕๔๙ รากฐานความเข้มแข็ง
ของแนวร่วมประชาชนกับระบบพรรคการเมืองดังกล่าวควรได้รับการดูแลเอาใจใส่
เพื่อดำรงรักษาและพัฒนาศักยภาพเพิ่มพูนต่อไปแม้จะตกอยู่ท่ามกลางการขัดขวาง
บ่อนทำลายจากกลุ่มอื่น
หรือแม้แต่จากการโต้แย้งแข่งขันภายใน
การต่อสู้ระหว่างอุดมการประชาธิปไตยกับคณาธิปไตยในการเมืองไทย
พ.ศ. ๒๕๕๖ เคลื่อนเข้าสู่สนามการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างประชาชนกับบรรดาตัวแทนกลุ่มอำนาจรัฐประหาร
๒๕๔๙ ในองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐
เป็นสนามสำคัญมากกว่าสนามการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับการใช้ความรุนแรงของแกนนำพรรคและผู้นำกองทัพสายอำนาจนิยมในสังคมการเมืองของไทย
ข้อเสนอแนะต่อบรรดาตัวแทนกลุ่มอำนาจคณาธิปไตยในที่นี้
ได้แก่ การใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ของบุคคลในองค์กรตรวจสอบทางการเมืองต่าง ๆ
จะต้องมีความเคร่งครัดตรงตามหลักนิติธรรมที่แท้จริง
เนื่องจากประชาชนหรือองค์กรภาคประชาชนจะใช้สิทธิในการตรวจสอบทางการเมืองและกฎหมายต่อการใช้อำนาจขององค์กรเหล่านั้นเช่นกัน
ข้อเสนอแนะต่อแนวร่วมประชาธิปไตยในที่นี้มีหลายส่วนเกี่ยวโยงถึงกัน
ได้แก่
(๑)
ประชาชนและแกนนำกลุ่มประชาชนที่เป็นฐานรากของพลังประชาธิปไตยซึ่งโดย
ธรรมชาติมีความแตกต่างหลากหลายกระจายตัวทั่วประเทศควรดำเนินงานอย่างมีเอกภาพเดียวกันภายใต้หลักการที่ได้ประกาศเป็นหลักการร่วมของ
“แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” หรือ
นปช.
ซึ่งเป็นองค์กรแนวร่วมของทุกกลุ่มสำหรับใช้ประโยชน์และรับผลของการใช้ประโยชน์ร่วมกัน
(๒)
องค์กรศูนย์กลางการประสานการทำงานของแนวร่วมประชาชนดังกล่าวควรผ่อนคลายภาวะ
การรวมศูนย์บทบาทและกระจายทั้งภาระงานและสถานะความสำคัญโดยฉลี่ยไปยังองค์กร
แนวร่วมที่แตกต่างหลากหลายทั่วประเทศมากขึ้นภายใต้เงื่อนไขการทำงานที่ยึด
หลักการร่วมของ
นปช. ข้างต้นโดยไม่เบี่ยงเบน
(๓)
แกนนำองค์กรศูนย์กลางแนวร่วม นปช.
ควรดำเนินงานเคลื่อนไหวมวลชนอย่างมีเอกภาพเดียวกับพรรคการเมืองที่มีจุดยืน
หลักการและแนวนโยบายการเมืองของพรรคสอดคล้องกับนปช.ในทางปฏิบัติ
(๔)
พรรคการเมืองที่มีจุดยืนและแนวนโยบายการเมืองตรงกันกับแนวร่วม นปช.
ควรรักษาภาวะเอกภาพการทำงานในตำแหน่งหน้าที่ทางกฎหมายและการเมืองของตนตาม
รัฐธรรมนูญโดยสามารถประสานจุดมุ่งหมายการทำงานในระบบพรรคให้สอดคล้องกับความ
ต้องการของประชาชนทั้งที่เป็นแนวร่วมนปช.และประชาชนส่วนอื่นได้ในขณะเดียว
กัน
ผู้เขียนเชื่อว่าความเห็นและข้อเสนอทั้งต่อฝ่ายคณาธิปไตยและประชาธิปไตยข้าง
ต้นนี้เป็นสิ่งที่แต่ละฝ่ายพยายามดำเนินการอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้าง
ต่อเนื่องบ้างขาดหายบ้าง
ผู้เขียนเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจริงจังมากขึ้นจะเป็นอีก
ส่วนหนึ่งของพลังในการคลี่คลายแก้ไขปัญหาวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองของไทย
ต่อไป
มีนาคม ๒๕๕๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น