ที่มา Thai E-News
ชำนาญ จันทร์เรือง
จากการที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์
ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกมาให้ความเห็นในการอภิปรายเกี่ยวกับการดำเนินการ
ของศาลรัฐธรรมนูญในคดีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี
ในการจัดรายการ "ชิมไปบ่นไป" ว่าคำวินิจฉัยที่ถูกต้อง
ต้องมีคำวินิจฉัยที่มีความจริงยุติก่อน และค่อยตามด้วยข้อกฎหมาย
แต่ที่ผ่านมากลับนำเอาข้อกฎหมายขึ้นมาวินิจฉัยก่อน
แล้วค่อยมาถกเถียงในเรื่องข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
จนทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่านายวสันต์ออกมายอมรับผิดว่าตัดสินคดี
นี้ผิดพลาด
ซึ่งต่อมาโฆษกศาลรัฐธรรมนูญได้ออกมาชี้แจงว่าไม่ได้ออกมายอมรับว่าตัดสินผิด
พลาดเพียงแต่ลำดับขั้นตอนการเขียนคำวินิจฉัยไม่ถูกต้องเท่านั้นเอง
แต่ที่แน่ๆใครอ่านคำวินิจฉัยที่อ้างพจนานุกรมนั้นคงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่
ออกเป็นแน่
เพราะทีตุลาการไปสอนหนังสือแล้วรับค่าตอบแทนบอกว่าไม่ใช่การรับจ้างแต่เป็น
การไปให้ความรู้
แต่ทีสอนให้ทำกับข้าวทางโทรทัศน์ซึ่งก็เป็นการให้ความรู้เช่นกันกลับเป็นการ
รับจ้างเล่นกันถึงต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว
ซึ่งการออกมาปฏิเสธนี้ก็ไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมายของผมแต่อย่างใด
เพราะเท่าที่ผมทราบยังไม่เคยได้ยินว่าศาลซึ่งไม่ว่าศาลไหนจะออกมายอมรับว่า
ตนเองตัดสินผิดพลาด ถึงแม้จะรู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองก็ตาม
แต่ที่แน่ๆคงต้องรอให้ไก่ออกลูกเป็นตัวเสียก่อนนั่นแหล่ะครับจึงจะได้เห็น
ว่าศาลออกมายอมรับว่าตนเองตัดสินผิด ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ เพราะศาลก็คือคน
มีชีวิตจิตใจ มีรัก โลภ โกรธ หลง ความรู้ ประสบการณ์ ทัศนคติ ที่แตกต่างกัน
ฯลฯ
ในต่างประเทศจึงมีคณะกรรมการที่ออกมาวิจารณ์คำพิพากษาของศาลที่เรียกว่า
Judicial Review Commission ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฏหมาย
แม้ว่าจะไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำพิพากษาได้ก็ตาม
แต่ก็มีผลต่อการสร้างองค์ความรู้ใหม่เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติและผลต่อ
การพิจารณาคดีใหม่เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
แต่บ้านเรายังไม่มีคณะกรรมการเช่นที่ว่านั้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากประเด็นข้างต้นแล้วนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์
ประธานศาลรัฐธรรมนูญยังให้ความเห็นต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลัง
ประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมา ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวบ้านเมืองกำลังวุ่นวาย
กลุ่มพันธมิตรฯ ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล และกลุ่ม นปช. บุกบ้านพักของ
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ หากขณะนั้นบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
รัฐบาลและฝ่ายค้านจับมือกัน บ้านเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้นั้น
เชื่อว่าตุลาการเสียงข้างมากคงจะใช้ดุลพินิจไม่สั่งยุบพรรค
เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ แต่ขณะนั้นบ้านเมืองวุ่นวาย
หาทางออกไม่เจอ ศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องวินิจฉัยเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
แต่ก็แปลกดีพอถึงคราวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กลับปล่อยให้คู่กรณีชกกันจนครบ
ยกแล้วบอกว่าน้ำหนักเกิน
นอกจากนั้นยังให้ความเห็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องร่างแก้ไขรัฐ
ธรรมนูญ มาตรา 291 เป็นไปตามมาตรา 68 หรือไม่นั้นว่า
กว่าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะลงมติรับคำร้องใช้เวลาถกเถียงกันนานถึง 2
ชั่วโมงกว่า ตอนแรกถ้าไม่รับ สบาย ถ้ารับ เป็นเรื่อง แต่ก็กัดฟันรับไว้ก่อน
เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง ไต่สวนและไม่มีไรก็จบ (ที่มาของข่าวทั้งหมดจาก ลิงก์)
จากประเด็นยุบพรรคกับประเด็นรับคำร้องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291
ทำให้เกิดคำถามว่าตกลงแล้วศาลรัฐธรรมนูญใช้หลักเกณฑ์หรือหลักกฎหมายใดมา
พิจารณากันแน่
เพราะปกติแล้วศาลมีหน้าที่พิจารณาคดีตามที่กฎหมายกำหนดหรือบัญญัติไว้
หากไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้อย่างชัดเจนก็ให้นำกฎหมายที่เทียบเคียงใด้มาใช้
หากไม่มีเลยก็ใช้หลักกฎหมายทั่วไปเข้ามาจับ ผมไม่เห็นมีตรงไหนเลยที่บอกว่า
“ศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องวินิจฉัยเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย” หรือ
“หากขณะนั้นบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
...เชื่อว่าตุลาการเสียงข้างมากคงจะใช้ดุลพินิจไม่สั่งยุบพรรค”
แล้วมาตรฐานอยู่ตรงไหน ความถูกความผิดอยู่ตรงไหน
หรือว่าประเทศเราปกครองด้วยศาลหรือผู้พิพากษาตุลาการ(Ruled by
Judges)ไปแล้ว
ส่วนประเด็นที่ว่า “ตอนแรกถ้าไม่รับ สบาย ถ้ารับ เป็นเรื่อง
แต่ก็กัดฟันรับไว้ก่อน เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง ไต่สวนแล้วไม่มีไรก็จบ”
นั้นยิ่งฟังยิ่งทำให้เห็นถึงการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง
เพราะแสดงให้เห็นว่า “จะรับก็ได้ ไม่รับก็ได้”
ทั้งๆที่เป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน หลักกฎหมายเดียวกัน มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่า
“ไต่สวนแล้วไม่มีไรก็จบ” เสียอีกแน่ะ
แล้วข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นน่ะมันจบจริงหรือเปล่า ความวุ่นวายตามมาเป็นโขยง
ไม่ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯที่ยังค้างเติ่งอยู่รอวาระ 3
เป็นจะเกือบปีอยู่แล้วทั้งๆรัฐธรรมนูญกำหนดให้ลงมติวาระ 3 เมื่อพ้นกำหนด 15
วันจากวาระ 2
มิหนำซ้ำยังวางยาไว้อีกว่าหากจะแก้ไขทั้งฉบับให้ไปลงประชามติเสียก่อน
ทั้งๆที่ดูจากคำวินิจฉัยส่วนตนมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่เสนอความเห็นนี้
ไม่รู้ว่าไปบรรจุอยู่ในคำวินิจฉัยกลางได้อย่างไร เล่นเอาปั่นป่วนกันไปหมด
บ้านเมืองที่ดีมีอารยธรรมนั้นปกครองด้วยหลักนิติรัฐซึ่งบรรดาการกระทำทั้ง
หลายขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารจะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของ
รัฐฝ่ายนิติบัญญัติ
บรรดากฎหมายทั้งหลายที่องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติได้ตราขึ้นจะต้องชอบด้วย
รัฐธรรมนูญ และ
การควบคุมไม่ให้การกระทำขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารขัดต่อกฎหมายก็ดี
การควบคุมไม่ให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญก็ดี
จะต้องเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการซึ่งมีความเป็นอิสระจาก
องค์กรของรัฐฝ่ายบริหารและองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ
มิใช่ฝ่ายตุลาการจะไปบริหารเสียเองหรือบัญญัติสิ่งที่ไม่มีให้เกิดขึ้นหรือ
ตีความนอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยอ้างเหตุผลที่ไม่มีในกฎหมายเช่น
“เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง” หรือ “กัดฟันรับไว้” เป็นต้น
อำนาจตุลาการเป็นอำนาจหนึ่งในสามของการจำแนกการใช้อำนาจอธิปไตย
ไม่ได้อยู่เหนืออำนาจบริหารหรือนิติบัญญัติ
มิหนำซ้ำเมื่อดูถึงที่มาแล้วยังยึดโยงกับประชาชนน้อยกว่าอีกสองอำนาจนั้น
เสียด้วยซ้ำไป
แต่ผลจากคำวินิจฉัยนั้นไปกดทับเหนืออำนาจบริหารและนิติบัญญัติจนไม่กล้าทำ
อะไร ทำให้บ้านเมืองสะดุดหยุดอยู่ และเชื่อว่าหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป
อนาคตประเทศไทยก็คงเป็นอันที่สิ้นหวังอย่างแน่นอน
-----------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 20 มีนาคม 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น