(คำต่อคำ) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ถึงความจำเป็นในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ
พ.ศ. ...
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพ ดิฉันนางสาวยิงลักษณ์
ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีกิตติรัตน์
ได้นำเสนอหลักการและเหตุผล
ตลอดจนรายละเอียดร่างพระราชบัญญัติการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อ
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศไปแล้วนั้น
ดิฉันใคร่ขอเวลาของสภา
เวลาอันมีค่าของสภาในการที่จะได้อธิบายถึงความตั้งใจของทางรัฐบาล
ที่จะพัฒนาประเทศให้ความเจริญก้าวหน้า
แล้วก็รวมถึงการพัฒนาให้ลูกหลานของเรานั้นมีอนาคตที่สดใส
ภายใต้โครงการการลงทุนเพื่ออนาคตไทย 2020 ในวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท
กราบเรียนท่านสมาชิกที่เคารพค่ะ
รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องเสนอการลงทุนขนาดใหญ่ของโครงการพื้นฐานซึ่งเป็นไปตามแถลงนโยบาย
ซึ่งดิฉันได้มีการแถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 นี้
และเป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ค่ะ
ก่อนอื่นดิฉันขออนุญาต เริ่มด้วยการเล่าถึงปัจจัยทางการเมืองภายหลังเกิดการปฎิวัติรัฐประหารขึ้นในปี
2549 ว่า หลังจากปัจจัยทางการเมืองที่มีปัญหา ก่อให้เกิดความขัดแย้งนั้น
ประเทศไม่ได้เป็นประชาธิปไตย
ก็ส่งผลทำให้หลายประเทศนั้นเราไม่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ สิ่งที่ส่งผลกระทบก็คือเศรษฐกิจที่ถดถอยลง
เมื่อเราเทียบขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศนั้น เราก็จะเห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา
เกือบหนึ่งทศวรรษ การลงทุนต่างๆ
ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศนั้นไม่ได้ถูกลงทุน
ไม่ได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องและที่สำคัญต้นทุนในการขนส่งของประเทศนั้นสูงถึง 15% ทำให้ขีดความสามารถของเราในการที่จะแข่งขันกับนานาประเทศนั้นมีต้นทุนที่สูงขึ้นภาระในการขนส่งทั้งหมด
ก็จะเน้นหนักในการใช้การขนส่งทางถนนส่วนใหญ่ ก็มีผลทำให้ปัญหาความแออัด การจราจร
ส่งผลถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนบนท้องถนนด้วย
ถ้าเราไปดูในเรื่องของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การจัดลำดับของ WEFในปี 2555 – 2556 นั้น ขีดความสามารถของประเทศไทย
ในด้านโครงสร้างพื้นฐานนั้นลดลงจากอันดับที่ 42 มาเป็นอันดับที่ 49 ซึ่งถือว่า ล้าหลังกว่าประเทศสิงค์โปร
และมาเลเซียด้วยซ้ำ
ด้วยแนวคิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนี้ อย่างแรกต้องเป็นการลงทุนที่ตอบโจทก์วางยุทธศาสตร์อนาคตของประเทศในระยะยาว
และจะทำให้แผนการลงทุนต่างๆ นั้นมีแผนการทำงานที่ชัดเจนมากขึ้น
รวมถึงแนวคิดในการลงทุนนี้ต้องเป็นการมองระบบของการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่ง ทางน้ำ
ทางอากาศ ให้มีความสัมพันธ์กันและให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ด้วยแนวคิดในการลงทุนนี้ ดิฉันขออนุญาตนำเรียนเสนอในแนวคิดเป็นแต่ละเรื่องดังนี้นะค่ะ
1.
เรื่องแรก แนวคิดในการลงทุนเพื่อตอบโจทก์ Connectivity หรือการเชื่อมโยง AECเพื่อให้ประเทศไทยของเรานั้น ได้เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยง
ศูนย์กลางลงทุนสู่ภูมิภาคอาเซียน
เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน
การเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นส่วนสำคัญ
ซึ่งถือว่าหากมีการเชื่อมโยงด้วยโครงสร้างพื้นฐาน เราจะเชื่อมโยงฐานเศรษฐกิจเดิม บวกกับการต่อยอดฐานเศรษฐกิจใหม่
ซึ่งเป็นจากฐานประชากรทั้งหมดของประชาคมอาเซียน 600 ล้านคน
นั้นหมายถึงการที่เราจะได้มีการสร้างเสริมรายได้ใหม่ๆ และองค์ความรู้ รวมถึงประชากรที่จะเข้ามาร่วมทำค้าขาย
และก็ลงทุนกับประเทศไทยมากขึ้น โดยมีการเน้นการพัฒนาระบบรางเป็น 2 ส่วนด้วยกันค่ะ
ส่วนแรกคือระบบ
รถไฟรางคู่ ซึ่งรถไฟรางคู่นี้จะเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านในระยะแรก
และสามารถที่จะลดต้นทุนขนส่งในสินค้าประเภทหลัก
ส่วนที่
2 คือ รถไฟความเร็วสูง รถไฟความเร็วสูงนี้
เราก็จะเน้นในเรื่องของการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าที่มีมูลค่าสูง สินค้าที่เน่าเสียง่าย
ที่ต้องใช้ระยะเวลารวดเร็วในการขนส่ง
รวมถึงการเดินทางของพี่น้องประชาชนที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น การพัฒนาการเข้าออกของประเทศ
แน่นอนจุด Connectivity
ก็ต้องมีการพัฒนาด่านเข้าออกของประเทศที่ให้มีความมั่นคง ปลอดภัย ทันสมัย
และรองรับการเติบโตเศรษฐกิจตามแนวชายแดน
ซึ่งวันนี้จำนวนอัตราการเติบโตเศรษฐกิจแนวชายแดนนั้นสูงขึ้น
เราก็อยากเห็นการพัฒนาเศรษฐกิจแนวชายแดนนั้นเป็นการค้าที่มีความสมบูรณ์และ
ให้เกิดความร่วมมืออย่างไร้พรมแดนของประชาคมอาเซียนในอนาคตที่เกิดขึ้นจริง
2.
การคำนึงถึงแนวคิดนี้
ได้มองถึงการกระจายความเจริญและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนคนไทย
ด้วยการมองการยกระดับชีวิตของประชาชนที่เพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับพี่
น้องประชาชน
นอกเหนือจากการเดินทางในท้องถนน ก็จะมีทางเลือกอื่นไม่ว่าจะเป็นทางเรือ
หรือทางรถไฟ ซึ่งตรงนี้ก็จะทำให้พี่น้องประชาชน สะดวกขึ้น
เข้าถึงสถานที่ต่างๆ
ได้อย่างทั่วถึง
และมีส่วนในเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายและลดระยะเวลาในการเดินทางพร้อมกับความ
ปลอดภัยในการเดินทางด้วยเช่นกัน
การกระจายความเจริญ ซึ่งวันนี้เราเน้นอยากจะเห็นการกระจายความเจริญ
ซึ่งกระจายจากหัวเมืองไปยังชานเมือง โดยเฉพาะในส่วนของภูมิภาค
นั้นก็หมายถึงว่าการที่จะทำให้การลดความแออัดของเมืองกรุง
และสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ ในระดับภูมิภาคขึ้น
และเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคกับภูมิภาค จะเป็นการทำให้คนในเมืองกรุงนั้น
มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นลดการแออัด
แต่ขณะเดียวกันเราจะมีส่วนในการเติมเต็มความเจริญให้กับพี่น้องประชาชนใน
ชนบทเช่นกัน
เมื่อมีการเติมเต็มในส่วนนี้ แก้ปัญหาการเจริญ
จากความเจริญจากหัวเมืองกระจายเพิ่มในส่วนของชานเมืองนั้นก็จะเป็นไปตาม
ยุทธศาสตร์ของประเทศว่าด้วยการลดความเหลื่อมล้ำและกระจายรายได้ของ
ประชากรอย่างเสมอภาค
ส่วนที่
3 ก็คือ แนวคิดในการสร้างความแข็งแรงของเศรษฐกิจของประเทศสู่ความยั่งยืน
การสร้างความแข็งแรงก็มีความจำเป็นที่จะต้องเชื่อมห่วงโซ่การผลิตเข้าด้วย
กัน
ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และการส่งออก
ซึ่งจะเห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเรามีอุตสาหกรรมต้นน้ำ
มีแหล่งเศรษฐกิจที่เราจะต้องพัฒนาเพิ่มขึ้น
ยังไม่ถูกเชื่อมโยงไปสู่แหล่งส่งออกแน่นอน
ต้นทุนค่าใช้จ่ายของพี่น้องเกษตรกรก็จะใช้เวลานานและใช้ต้นทุนที่สูงขึ้น
หากเรามีการเชื่อมโยงตั้งแต่ส่วนของห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ
นั้นหมายถึงเราเชื่อมโยงตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ สินค้าต่างๆ
ไปยังส่วนกลางน้ำก็คืออุตสาหกรรมการผลิตหรือการแปรรูปและไปยังปลายน้ำ ก็คือ
ศูนย์กลางกระจายสินค้า
และการส่งออกอย่างเชื่อมต่อกันนั้นก็จะทำให้ระยะเวลาต่างๆ
นั้นรวดเร็วขึ้นลดต้นทุนในการขนส่ง โดยรวม และที่สำคัญ ถ้าเป็นอาหาร
อาหารก็จะสูงขึ้นลดการสูญเสีย
ซึ่งวันนี้พี่น้องเกษตรใช้เวลาการขนส่งสินค้าที่ต้นน้ำ ไปยังปลายน้ำนั้น
ก็จะมีการสูญเสียมาก
ถ้าลดในส่วนนี้ก็จะเท่ากับลดต้นทุนของพี่น้องเกษตรชาวไทย และความรวดเร็ว
อาหารก็จะสดขึ้นผู้บริโภคก็จะได้รับอาหารที่ดีขึ้น และราคายุติธรรม
รวมถึงการลดต้นทุนในการขนส่งในภาคอุตสาหกรรมโดยรวมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการ
เกษตร
ส่วนที่
4 ก็คือ หลักแนวคิดในการเชื่อมเมืองสู่การท่องเที่ยว
ประเทศไทยได้ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนานาประเทศ
จากที่ผ่านมานั้นการเชื่อมโยงแหล่งท่องเทียวกรุงเทพมหานคร
ไปยังจุดท่องเที่ยวเมืองใหญ่
แต่เรายังไม่ได้เชื่อมโยงจุดท่องเที่ยวเมืองใหญ่นั้นไปยังจังหวัดใกล้เคียง
ซึ่งวันนี้จะพบว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เชิงวัฒนธรรมอีกมากมาย
ที่ไม่สามารถจะถึงดูดนักท่องเที่ยวได้
เนื่องจากการพัฒนาการคมนาคมขนส่งโดยหลักการนี้เราจะเชื่อมเมืองต่อเมืองของ
การท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้สะดวกขึ้น
รวดเร็วขึ้น และไปยังเมืองอื่นๆ ใกล้เคียงจะทำให้รายได้ชุมชนบริเวณนั้น
มีรายได้มากขึ้น และที่สำคัญนักท่องเทียวจะอยู่กับเรานานขึ้น
และรายได้โดยรวมของประเทศจากการท่องเที่ยวและการบริการสินค้าอุปโภคบริโภค
ต่างๆ
ก็จะสูงขึ้นไปด้วย
จากแนวคิดทั้ง
4 ข้อนี้ ก็จะส่งผลในภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงของการลงทุนช่วง 7 ปี ข้างหน้านั้น
ก็คาดว่าปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมแต่ละปีจะมีมูลค่าของ GDP เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ
1 % และอัตราการว่าจ้างงานอีก 500,000 อัตรา
ซึ่งจะส่งผลทำให้การสร้างความแข็งแรงและการหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศรวมถึงการลงทุนนั้นมีอนาคตต่อไป
ท่านประธานสภาที่เคารพ
มีหลายท่านที่มีข้อสงสัยว่าทำไมรัฐบาลจึงต้องกู้เงินผ่านการออกพระราช
บัญญัติแทนที่จะดำเนินการผ่านกระบวนการงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ดิฉันขอถือโอกาสนี้ในการอธิบายดังนี้
จากบทเรียนที่ผ่านมาจะเห็นว่าจากบทเรียนที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีโครงการใหญ่ๆ
หลายๆ
โครงการที่ถูกระงับหรือถูกยกเลิกเปลี่ยนแปลงไป
เนื่องจากปัญหาการผันผวนทางการเมืองปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
และขาดการลงทุนที่ต่อเนื่อง ซึ่งระบบงบประมาณรายจ่ายประจำปี
นั้นไม่อาจเอื้อต่อการลงทุนที่เป็นโครงการใหญ่ระยะยาวซึ่งต่อเนื่อง
ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราเห็นการลงทุนที่ต่อเนื่อง
ต่างชาติหรือต่างประเทศที่มาลงทุนนั้นก็จะเห็นความเชื่อมั่น
ต่างประเทศก็สามารถจะวางแผนอนาคตในการพัฒนาต่างๆได้ เราจะเห็นว่าหลายๆ
ตัวอย่างที่เห็นแล้วในอดีต ตัวอย่างการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ
ซึ่งวันนั้นไม่มีใครทราบว่าปีที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น
ประวัติการสนามบินสุวรรณภูมิ
ที่มีแผนพัฒนาต้องเร่งที่จะพัฒนาเร็วกว่ากำหนดนั้นคือเรากำลังขาด
การเมืองไปข้างหน้าเรากำลังพัฒนาประเทศไล่หลังความเจริญค่ะ
ดิฉันมองว่าโครงการต่างๆ
เหล่านี้นอกเหนือจากนี้เป็นโครงการที่เรียนว่าการลงทุนพื้นฐานนี้
เป็นโครงการของประชาชนโดยแท้จริง เป็นโครงการที่สร้างอนาคตให้กับลูกหลานเรา
เป็นโครงการที่เราไม่ควรจะถูกแปรเปลี่ยนตามสภาวะการเมืองที่ผกผัน
โดยเฉพาะช่วงนี้มีความจำเป็นที่จะทำให้โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นั้น
มีการลงทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพิ่มความมั่นใจ เพื่อเรียกการลงทุน
และสร้างความแข็งแรงของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนค่ะ สำหรับการลงทุนภายใต้วงเงิน
2.2
ล้านล้านนั้น นอกจากนี้ยังมีการเสริมด้วยงบประมาณประจำปี
และงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง
และเรายังมีโครงการในการเชิญชวนภาคเอกชนเข้ามาลงทุนด้วย
ทั้งนี้ก็จะทำให้งบประมาณประจำปีนั้นสามารถที่จะนำไปดูแลช่วยเหลือประชาชน
ด้านสวัสดิการหรือโครงการในการเสริมศักยภาพของพี่น้องประชาชนและพัฒนา
เศรษฐกิจโดยรวม
สำหรับการกู้นั้น ทางรัฐบาลมั่นใจว่าเรามีเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย
เราจะเน้นการกู้ระยะยาวเพื่อการลงทุนระยะยาวเช่นกัน
นอกจากนี้ตลาดตราสารหนี้ของไทยก็มีสภาพคล่องที่สูงมาก เพราะงั้นการกู้เงินของรัฐบาลที่ทยอยกู้เงินใน
7 ปีข้างหน้าก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดทางการเงินสำหรับเรื่องความยั่งยืนของการคลัง
ช่วงแรกการลงทุนหนี้สาธารณะต่อ GDP นั้น อาจจะปรับตัวสูงขึ้น
แต่โครงการเหล่านี้ต้องกราบเรียนท่านสมาชิกที่เคารพว่า โครงการเหล่านี้ก็จะสร้างรายได้อย่างครบวงจรก็จะทำให้GDP เพิ่มขึ้น จาก GDP ที่เพิ่มขึ้นนั้นก็จะมีผลให้หนี้สาธารณะต่อGDP ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน
ตลอดเวลาของโครงการนี้หนี้ของประเทศก็จะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้
นั้นคือต่ำกว่า 50 % ของ GDP ซึ่งเรายังมีช่องว่างอีก
10 % ต่อ GDP เพื่อเป็นการรักษาวินัยการเงินการคลัง
ซึ่งยังมีการกำหนดให้หนี้สาธารณะต่อ GDP สูงไม่เกินร้อยละ 60
ถ้าเรารักษาให้อยู่ในระดับ 50 เราก็จะมีช่องว่าอีก 10 % ต่อ GDPภายใต้กรอบความยั่งยืนของกระทรวงการคลังและเป็นการบริหารความเสี่ยง
ที่มีการกำหนดช่องว่างอย่างน้อย 10 % ต่อ GDP เพื่อรองรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดในอนาคตได้
แต่ที่สำคัญจากเหตุการณ์ในอดีตที่เห็นเมื่อมีการลงทุนพัฒนาแล้วโครงการต่างๆ
สร้างวงจรเศรษฐกิจที่เจริญเติมโตขึ้น หากท่านสมาชิกจำได้ว่าในหลายปีที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องภาวะหนี้ไม่มีใครคิดว่า
เมื่อก่อนที่เรามีปัญหาภาวะเศรษฐกิจเรื่องหนี้ หรือแม้กระทั้งเรื่องของอุทกภัยต่างๆ
วันนี้เศรษฐกิจของประเทศได้ฟื้นตัวกลับมาแล้ว
และก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อตอนที่เราเป็นหนี้เรามีการใช้หนี้
วันนี้เรามีการใช้หนี้ประเทศไทยมีการใช้หนี้เงินกู้ IMF ได้ก่อนกำหนด
ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ได้เกิดขึ้นมาแล้วค่ะ
สำหรับเรื่องความโปร่งใส
ดิฉันก็ขอยืนยันว่าการดำเนินการทุกขั้นตอน จะต้องความโปร่งใสและเข้มงวด
กว่าโครงการเงินกู้หรือโครงการตามงบประมาณรายได้ประจำปีค่ะ ทั้งนี้
ในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างก็ได้มีการกำหนดให้มีการปฎิบัติตามระเบียบสำนัก
นายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ
พ.ศ. 2535 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยวัสดุทางอิเล็กทรอนิค พ.ศ.
2549 อีก อีออคชั่นหรือระเบียบของหน่วยงานเจ้าของโครงการ
รวมทั้งมีมติคณะรัฐมนตรีให้ประกาศราคากลางไว้ใน TOR สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อความโปร่งใสมากขึ้นค่ะ
ทั้งนี้ก็เป็นระเบียบเดียวกับการใช้จ่ายของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
และนอกจากนั้นในส่วนนี้เอง
เราก็ได้มีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติและบัญชีแนบท้ายและเอกสารประกอบที่ชัดเจน
อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และได้มีการเผยแพร่เอกสารประกอบที่เป็นรายละเอียดของโครงการทุกโครงการให้ท่านสมาชิกทุกท่านได้ทราบแล้ว
สำหรับการพิจารณาโครงการเราก็ได้มีการให้คณะกรรมการในการพิจารณาดูแลและตรวจสอบโครงการรวมถึงหน่วยงานสำคัญๆ
หลักที่เกี่ยวข้องได้แก่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ 3 หน่วยงานหลักรวมกันพิจารณารายละเอียดในการทำหน้าที่ดูแลและตรวจสอบ
ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรก็สามารถที่จะตรวจสอบได้เช่นเดียวกับงบประมาณปกติผ่านกรรมาธิการ
ส่วนการรายงานก็จะมีการรายงานต่อรัฐสภาแห่งนี้
ถึงผลการดำเนินงานเมื่อมีการสิ้นปีงบประมาณตามที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลก็ได้มีการจัดกระบวนการที่จะรับฟังความคิดเห็นของสาธารณะตั้งแต่แรกเริ่ม
เรามีการจัดรับฟังความคิดเห็นต่างๆ ในระดับชุมชน
ร่วมกับภาครัฐและเอกชนและประชาชนอย่างกว้างขวางและรวมถึงล่าสุดก็มีการจัดนิทรรศการเพิ่มความรู้ความเข้าใจกับสาธารณะชน
ที่เปิดโอกาสให้สาธารณะชนได้แสดงความคิดเห็นต่างๆ
และรัฐบาลได้นำเอาความคิดเห็นต่างๆ เหล่านี้มาประกอบในการดำเนินงานต่อไปค่ะ
เรียน
ยืนยันว่าโครงการเงินกู้
2.2 ล้านล้านนั้น
จะต้องมีการติดตามและตรวจสอบเพื่อให้โครงการนั้นสามารถบรรลุตามที่ตั้งเป้า
หมายไว้
และที่สำคัญขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างต้องโปร่งใส ไม่เกิดทุจริตคอรัปชั่น
และที่สำคัญขั้นตอนสำคัญของการจัดซื้อจัดจ้างต้องมีความโปร่งใสไม่เกิด
ทุจริตคอรัปชั่น
ท่านประธานสภาที่เคารพดิฉันยืนยันอีกครั้งว่าการดำเนินการของรัฐบาลเกิดจาก
เจตจำนงค์ที่จะทำให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและเพื่อให้ทุกท่านเกิด
ความมั่นใจว่าการลงทุนนี้จะทำให้ประเทศของเรานั้นได้ยกระดับขีดความสามารถใน
การแข่งขัน
ลดต้นทุนการในขนส่งโดยรวมลง ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้
เพิ่มรายได้ขึ้นมาในส่วนตั้งแต่ระดับชุมชน และกระจายรายได้อย่างทั่วถึง
และคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้นค่ะ
และที่สำคัญที่สุดดิฉันไม่อยากเห็นการถกเถียงกันว่าโครงการเหล่านี้ใครจะ
เป็นคนริเริ่มใครจะเป็นเจ้าของความคิด
แต่ดิฉันอยากเห็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้และประชาชนจะได้ร่วมกันสร้าง
ประวัติศาสตร์และร่วมกันสร้างผลงานที่จะวางรากฐานอนาคตของประเทศไทยและร่วม
กัน
ในการที่จะวางรากฐานเพื่ออนาคตของลูกหลานคนไทยของเราต่อไปค่ะ ขอบคุณค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น