เมื่อวันที่ 21 มี.ค.56 สื่อท้องถิ่น ทวาย วอทช์ (Dawei Watch)
รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเดินทางไปเยือนที่ตั้งโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคม
อุตสาหกรรมทวายโดยไม่ได้คาดหมาย เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปเยือนหมู่เกาะใกล้กับหาดเมามะกัน (Maungmagan) โดยเชื่อกันว่าจะมีการพบปะกับเจ้าหน้าที่ของท่าเรือน้ำลึกในวันพรุ่งนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ปฏิเสธที่จะยืนยันเรื่องดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวของทวาย วอทช์ระบุด้วยว่า ทักษิณยังคงอยู่ที่เกาะดังกล่าวและยังไม่ได้กลับไปที่ทวาย
ด้าน รัฐมนตรีของรัฐบาลท้องถิ่นภาคตะนาวศรี กล่าวกับทวาย วอทช์ว่า เขาไม่ทราบถึงการมาเยือนครั้งนี้และไม่มีแผนที่จะพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย
ด้าน รัฐมนตรีของรัฐบาลท้องถิ่นภาคตะนาวศรี กล่าวกับทวาย วอทช์ว่า เขาไม่ทราบถึงการมาเยือนครั้งนี้และไม่มีแผนที่จะพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณถูกปกคลุมด้วยร่มขณะอยู่บริเวณสนามบิน
พ.ต.ท.ทักษิณขณะโดยสารรถยนต์ในเมืองทวาย
โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย
ทวาย ตั้งอยู่ทางตอนใต้ประเทศเมียนมาร์ และอยู่ทางตะวันตกจากกรุงเทพฯ
โดยมีระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร
รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ได้ให้สิทธิในการพัฒนาพื้นที่ของโครงการ
ทวายแก่บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นลักษณะ Greenfield และอยู่ภายใต้กฎหมาย
Special Economic Zone
จึงมีแผนที่จะพัฒนาทวายให้ศูนย์รวมของอุตสาหกรรมต่างๆ สาธารณูปโภค
และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญโครงการทวายจะประกอบไปด้วยการพัฒนาท่าเรือน้ำ
ลึก นิคมอุตสาหกรรม
และท่อส่งก๊าซธรรมชาติผ่านทางถนนเชื่อมโครงการทวาย-ประเทศไทย
โดยท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายคลอบคลุมพื้นที่ประมาณ 205
ตารางกิโลเมตร หรือ 50,675 เอเคอร์
รัฐบาลไทยได้ลงนามความร่วมมือกับรัฐบาลพม่า ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2551
และบริษัท อิตาเลียนไทย ดิเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) ได้ MOU
กับการท่าเรือของประเทศพม่า
“เกี่ยวกับการเป็นผู้สำรวจเส้นทางและพื้นที่ของโครงการ”
โดยได้ศึกษาเมื่อเดือนมิถุนายน 2551 (1 เดือนถัดมา) ในพื้นที่ภูมิภาคทวาย
ต่อมาบริษัท อิตาเลียนไทยฯ ได้จดทะเบียน บริษัท ทวาย ดีเวล๊อปเมนต์
จำกัด ที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2554
เพื่อดำเนินกิจการบริหารโครงการทวาย โดยบริษัท อิตาเลียนไทยฯ
ได้รับสิทธิ์จากรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์ในการพัฒนาพื้นที่
การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายนิคมอุตสาหกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ถูกคาดหวังว่าจะส่งผลให้ทวายก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค
ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองต่อการค้าที่เจริญก้าวหน้าและการเจริญ
เติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนตอนใต้
และเพื่อตอบสนองความต้องการอย่างต่อเนื่องในการขนส่งทางทะเลในมหาสมุทร
อินเดียและทะเลอันดามัน
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2551
รัฐบาลไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพเมียนมาร์ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU)
ในการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม
ท่าเรือน้ำลึกทวายและถนนเชื่อมต่อไปยังประเทศไทย บริษัท อิตาเลียนไทยฯ
ได้ลงพื้นที่ในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและทำแผนงานพัฒนาให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2551
การท่าเรือสหภาพเมียนมาร์ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU)
เกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
ซึ่งครอบคลุมท่าเรือน้ำลึกทวายและโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม
ภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีข้อเสนอที่จะพัฒนาถนนเชื่อมโยงจากพรมแดน
ทวายไปสู่ประเทศไทยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบขนส่งแบบบูรณาการ
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 บริษัท อิตาเลียนไทยฯ
ได้ลงนามในข้อตกลงเรื่องสิทธิในการพัฒนาและดำเนินการบริหารโครงการทวายตาม
ระยะเวลาการเช่าที่ดิน เป็นเวลามากกว่า 75 ปี
ซึ่งประกอบไปด้วยโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายและสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องกับ
นิคมอุตสาหกรรม ถนนเชื่อมโยงพรมแดน และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2555
กระทรวงการคลังไทยได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางการให้การสนับสนุนทางการ
เงินสำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย
เพื่อสนับสนุนภาคเอกชนไทยในการพัฒนาโครงการทวาย
โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นประธานคณะทำงาน
โดยมีคณะทำงานประกอบด้วย
ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB)
ผู้แทนธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Thailand)
และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
วันที่ 23 กรกฎาคม 2555 ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU)
ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์
ว่าด้วยการขยายความร่วมมือในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเขตเศรษฐกิจ
พิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง
เพื่อยกระดับการสนับสนุนและผลักดันโครงการทวาย ซึ่งมีบริษัท อิตาเลียนไทยฯ
เป็นผู้ได้รับสิทธิในการพัฒนาโครงการจากรัฐบาลเมียนมาร์
โดยกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐต่อรัฐอย่างเป็นทางการ
ต่อมาคณะกรรมการร่วมระดับสูงไทย - เมียนมาร์ ได้มีการประชุม ครั้งที่
1/2555 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 ณ โรงแรมแชงกรี - ลา กรุงเทพฯ
ซึ่งประเทศไทยและเมียนมาร์ได้เห็นชอบการจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วม 3 ระดับ
คือ 1.คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย - เมียนมาร์
เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (JHC)
เป็นกลไกระดับนโยบายโดยมี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และนายญาณ
ทุน รองประธานาธิบดีเมียนมาร์ เป็นประธานฯ ร่วม
2.คณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย - เมียนมาร์
เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (JCC)
โดยมี นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมเมียนมาร์ เป็นประธานฯ ร่วมกัน
3.คณะอนุกรรมการ (Sub - Committee) จำนวน 6 ด้าน ได้แก่
1.โครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง (Infrastruture & Construction):
กระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
2.สาขาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ (Focused Industries &
Business Development): กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ 3.พลังงาน
(Power & Energy): กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
4.การพัฒนาชุมชน (Community Development): กระทรวงการต่างประเทศ
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ 5.กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (Rule & Regulation):
กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ 6.การเงิน (Financing):
กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
ในการประชุมครั้งนี้ ประเทศเมียนมาร์ได้ขอให้ประเทศไทยเพิ่มเรื่อง
การอพยพโยกย้ายประชาชนเมียนมาร์ออกจากพื้นที่โครงการ
รวมถึงการบริหารจัดการแหล่งที่อยู่ใหม่
การให้ความช่วยเหลือทางอาชีพและการจ่ายค่าชดเชย และให้ประเทศไทยจัดทำ
Action Plan ของโครงการ เพื่อนำเสนอประเทศเมียนมาร์พิจารณาต่อไป
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
นำคณะเจ้าหน้าที่และบริษัทเอกชนเดินทางเยือนเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนม่าร์
เพื่อเจรจาและติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย
ร่วมกับนายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนม่าร์
ขณะที่ คณะกรรมการประสานงานร่วมฯ (JCC)
มีการทำงานที่มีความคืบหน้าทั้งในส่วนของการทบทวนข้อมูลเชิงเทคนิคและ
ประเด็นต่างๆ ที่ยังต้องหาข้อสรุป เช่น รูปแบบทางการเงินเพื่อการระดมทุน
การออกกฎหมายเพื่อส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่
และเงื่อนไขบางประการที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม
ทั้งนี้ คาดว่าคณะอนุกรรมการร่วมเมียนมาร์-ไทย 6 สาขา
จะจัดทำรายละเอียดทั้งหมดภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2556
เพื่อเสนอให้คณะกรรมการร่วมระดับสูงฯ (JHC) พิจารณาเพื่อลงนามในข้อตกลง
Framework Agreement ฉบับใหม่ และ Sectorial Agreement ทั้งหมดภายในเดือน
มีนาคม 2556 โดยคาดว่าจะเริ่มระดมทุนและดำเนินการก่อสร้างภายในเดือนเมษายน
2556 ตามที่ทั้งสองฝ่ายได้กำหนดไว้
โครงการลงทุนในทวายนั้น เป็นการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม
ซึ่งแบ่งได้เป็น 6 เขตอุตสาหกรรม ได้แก่ เขตที่อยู่อาศัย
เขตการค้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องภายในนิคมอุตสาหกรรม
ถนนและทางรถไฟเชื่อมโยงไปสู่ประเทศไทย
รวมไปถึงน้ำมันและท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวมะตะบันไปยังชายแดนไทย-สหภาพ
เมียนมาร์
ท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ตั้งอยู่ห่างจากจังหวัดทวายประมาณ
28 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในตอนเหนือของอ่าวเมืองมะกัน
มีการลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี
ถนนเชื่อมโยงจากทวายไปยังประเทศไทย
และด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์ในการเชื่อมโยงทางรถไฟจากทวาย
ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ มูเซ เชื่อมต่อไปยังทางรถไฟจีนที่คุนหมิง
ทำให้โครงการนี้ได้รับการเสนอให้เป็นจุดศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญของ
ภูมิภาค
เรียบเรียงข้อมูลจาก:
ข่าวกระทรวงคมนาคม ฉบับที่ 458/2555
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น