ผม นี่แหละจะเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าการเลือกตั้งไม่สามารถเยียวยาปัญหาการเมือง ของประเทศไทยได้ทั้งหมด ประชาธิปไตยมิได้ลงท้ายด้วยการเลือกตั้ง แต่มันต้องเริ่มต้นด้วยเลือกตั้ง ไม่มีเลือกตั้งก็ไม่มีประชาธิปไตย ใครที่บอกว่าความชอบธรรมของรัฐบาลไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง คนพวกนั้นเป็นประชาธิปไตยนอกรีต
โดย สงกรานต์
กระจ่างเนตร
ที่มา The Straits Times
แปล ระยิบ เผ่ามโน
หมายเหตุไทยอีนิวส์:นายสงกรานต์ กระจ่างเนตร นักธุรกิจชื่อดัง และสามีของคัทลียา แมคอินทอช ดาราชื่อดัง ได้เขียนบทความเรื่อง Elections are the best way to avoid tyranny (เลือกตั้งเป็นหนทางเลี่ยงทรราชย์ได้ดีที่สุด)ลงในหนังสือพิมพ์ The Straits Times เมื่อ 18 ธันวาคมที่ผ่านมานี้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
อดีต ส.ส.
ฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้นำการรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา
โดยใช้การชุมนุมขนาดยักษ์อย่างต่อเนื่อง มุ่งหมายโค่นระบอบทักษิณให้สิ้นซาก
ทว่าควรต้องมองสรรพสิ่งทั้งหลายให้ชัดเจน
การประท้วงครั้งใหญ่ซึ่งผู้ชุมนุมพากันเดินขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในกรุงเทพฯ
นครหลวงเมื่อเดือนที่แล้วโดยอ้างยอดจำนวนมากที่สุดได้สัก ๕ ล้าน
แต่สำนักข่าวบางแห่งประเมินตัวเลขว่ามีแค่ ๒ แสน เพื่อไม่ให้ต้องเถียงกันมาก
ถึงแม้จำนวนผู้ชุมนุมถึง ๕ ล้านคนก็ยังเป็นเพียง ๑๐ เปอร์เซ็นต์กว่าๆ
ของประชากรไทยที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมด ๔๗ ล้านคน
ลองมาว่ากันให้แจ่มแจ้งสักหน่อย
มันเป็นการประท้วงชนิดประวัติการณ์ก็จริง แต่ไม่ใช่เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของประชาชนไทยทั้งหมดอย่างแน่นอน
กลุ่ม
ประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์
(กปปส.) ซึ่งนำโดยนายสุเทพ หลังจากเลี่ยงที่จะให้รายละเอียดแล้วหลายครั้ง
ในที่สุดก็เปิดเผยออกมาว่า สภาประชาชนที่เขาต้องการนั้นประกอบด้วยสมาชิก
๔๐๐ คน ๓๐๐ คนมาจากองค์กรตัวแทนสาขาอาชีพต่างๆ อีก ๑๐๐ คน กปปส.
จะเป็นผู้แต่งตั้งเองโดยตรง
โดยนัยก็คือเป็นการเรียกร้องรัฐบาลให้มอบอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินแก่องค์กรที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง
ไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดๆ ในการกระทำของตน
และเหนืออื่นใดไม่ได้เป็นตัวแทนของใครนอกเหนือจากผู้ทรงอิทธิพลที่กุมการจัดสรรอำนาจภายในประเทศไทยไว้ทั้งหมด
นั่นคือกองทัพ
สภาประชาชนนั้นหากเกิดขึ้นได้จริงๆ
ก็มีข้อบกพร่องมากมายในหลายๆ ด้าน แม้จะใช้วิจารณญานทางกฏหมายอย่างบรรเจิดเพียงไร
จะหาไม่พบตัวบทใดเลยในรัฐธรรมนูญอำนวยให้จัดตั้งสภาเช่นนี้ขึ้นได้ กปปส. มักจะอ้างอย่างเขลาๆ
อยู่เสมอถึงมาตรา ๗
ของรัฐธรรมนูญในความพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับแนวความคิดที่ไม่ชอบธรรมของตนด้วยการตีความกฏหมายอย่างผิดๆ
มาตรา ๗ ระบุว่า “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด
ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
หลังจากที่มีการยุบสภาแล้วต้องมีรัฐบาลรักษาการทันทีดังที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์
ขึ้นแล้ว ตรงตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดแจ้ง ไม่มีความจำเป็นใดๆ จะต้องใช้มาตรา ๗
การ
ประกาศว่าสมาชิกสภาประชาชนจำนวน
๑๐๐ คนให้แต่งตั้งโดย กปปส. เป็นการตู่เอาลอยๆ
ถึงจะเพ้อฝันกับการเป็นบุคคลยอดนิยมเพียงใดนายสุเทพก็ไม่มีแม้แต่เพียงริ้ว
ของคุณสมบัติในเรื่องความรับผิดชอบต่อการกระทำ
และคุณธรรมทางการบริหารปกครอง ประวัติด่างพร้อยของเขา
และข้อหาบุกรุกที่ดินป่าสงวนในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีทำให้การอ้างตัวเป็น
ผู้นำต่อต้านความชั่วร้ายของเขาฟังไม่ขึ้น
ความ
ปั่นป่วนทางการเมืองครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นจากผลแห่งการที่รัฐบาล
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามลัดขั้นตอนกระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา
ด้วยการสอดไส้เร่งรัดออกกฏหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่ง
จึงเหมาะสมแล้วที่มีคนไทยจำนวนมากออกมาประท้วงต่อการไม่แยแสหลักนิติธรรม
โดยการกระทำของพรรคการเมืองที่พวกเขาเห็นว่ากระทำการเพื่อผลประโยชน์ของ
บุคคลเพียงคนเดียว
คืออดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ผู้ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ
ผมนั้นสนับสนุนอย่างยิ่งต่อการออกมาใช้สิทธิต่อต้านรัฐบาลของผู้ประท้วง
เหล่านี้ตราบเท่าที่อยู่ในขอบข่ายที่กฏหมายยอมรับ
อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าเสียใจว่าการประท้วงกลายเป็นความพยายามฉกชิงอำนาจไป
กปปส.
ได้แสดงธาตุแท้ของตนออกมาเมื่อปฏิเสธที่จะยุติการประท้วง แม้เมื่อได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
และประกาศเลือกตั้งใหม่ขึ้นแล้ว การปฏิเสธไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง
และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปโดยสภาประชาชนของตนก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
นั้นแสดงถึงความหวาดกลัวต่อการพ่ายแพ้เลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์
และกลุ่มชนชั้นนำในสังคม
ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งติดๆ
กันมาแล้วถึงห้าครั้ง และแน่ๆ ว่าจะต้องแพ้อีกในครั้งใหม่นี้ นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคได้เปลี่ยนโฉมพรรคการเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยมีสง่าราศีให้กลับกลายเป็นแค่ชมรมคนเกลียดทักษิณไปเสียแล้ว
ผมนี่แหละจะเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าการเลือกตั้งไม่สามารถเยียวยาปัญหาการเมืองของประเทศไทยได้ทั้งหมด
ประชาธิปไตยมิได้ลงท้ายด้วยการเลือกตั้ง แต่มันต้องเริ่มต้นด้วยเลือกตั้ง
ไม่มีเลือกตั้งก็ไม่มีประชาธิปไตย
ใครที่บอกว่าความชอบธรรมของรัฐบาลไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง
คนพวกนั้นเป็นประชาธิปไตยนอกรีต ระบบประชาธิปไตยโดยตัวแทนไม่ได้มีชนิดพิเศษแบบไทยๆ
ประเทศไทยจะเป็นได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น คือประชาธิปไตย หรือไม่เป็นประชาธิปไตย
คนไทยควรที่จะหักหาญในการยืนหยัดเพื่อความก้าวหน้าของประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทย
และพรรคประชาธิปัตย์ควรที่จะประกาศเป็นปฏิญญาไว้เลยว่าจะยึดมั่นแต่ประชาธิปไตย
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าสภาประชาชนเป็นวิถีที่ตนจะยึดมั่นต่อไปข้างหน้า
และแนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากประชาชนดังที่พวกตนอวดอ้างละก็
แน่นอนว่าประชาชนจะต้องออกเสียงสนับสนุน
ประชาธิปไตยอาจจะงุ่มง่ามในบางครั้ง
แต่มันเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในขณะนี้
ถ้าปราศจากมันเราจะต้องเจอกับทรราชย์ นั่นสิที่ประเทศไทยควรหลีกลี้เหมือนกับหนีโรคห่า
ผู้เขียนเป็นนักธุรกิจชาวไทย
และเป็นนักเขียนรับเชิญของ น.ส.พ. บางกอกโพสต์
บทความต้นฉบับจาก The Straits Times
..........
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น