ใบตองแห้ง Baitonghaeng
VoiceTV Staff
Bio
ชื่อเต็ม “Chaos ลัทธิอุบาทว์ ซากเดนคอมมิวนิสต์สมสู่ Anarchist ภายใต้พุทธนิยมโหนพระบรมโพธิสมภาร”“มวลมหาประชาชน” ล้นหลามออกมาไล่รัฐบาล โดยในวัน peak สุด 24 พฤศจิกา วันประวัติศาสตร์ มีคนชุมนุมมากยิ่งกว่า 14 ตุลา 2516 อ๋อ แหงครับ รับประกัน แต่ต้องเขียนให้ถูกว่า “มวลมหาประชาชน” มากที่สุดในประวัติศาสตร์การไล่รัฐบาลจากเลือกตั้ง ซึ่งคนละเรื่องกับ 14 ตุลา เพราะไล่เผด็จการทหารเสี่ยงกว่าเยอะ
อย่างไรก็ดี หลังจาก “มหาตมะคานเทือก” ประกาศ “ยุบก็ไม่เลิก ออกก็ไม่เลิก” นำฝูงชนเข้ายึดสถานที่ราชการ ก็พบว่า “มวลมหา” หายหน้าเพียบ ประชาชนซึ่งไม่พอใจการใช้อำนาจไม่ชอบธรรมของพรรคเพื่อไทย ใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับเป้าหมายและวิธีการของเทือก
น่าเสียดายบรรยากาศดีๆ ที่ราชดำเนิน “อาหารดี ดนตรีไพเราะ” พาลูกหลานไปดูดาราเซเลบส์ตัวเป็นๆ ดารามากกว่างานกาชาด ถ่ายภาพลงอินสตาแกรมอวดเพื่อนอวดญาติ ใครไม่ได้มาถือว่าตก trend ฯลฯ กลับกลายเป็นบรรยากาศตึงเครียด ฉากหนังทริลเลอร์ร้อนเร่าเคล้าแก๊สน้ำตา เสียดายไม่มีดารานำ เพราะตอนบุกฝ่าแก๊สน้ำตาดาราหายหมด
กระนั้นม็อบก็ยังมีหลายหมื่นคน ในจำนวนนี้ถ้าไม่นับไพร่พลจากอาณาจักรศรีวิชัย จะพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่สู้ไม่ถอยแบบ “ฮาร์ดคอร์” ด้วยความเชื่อสนิทใจ ว่าปัญหาของประเทศหมดหนทางแก้ไข รัฐประหารก็แก้ไม่ได้ ประชาธิปัตย์ก็แก้ไม่ได้ นายกพระราชทานก็ไม่เอา ต้อง “ปฏิวัติประชาชน” ล้มรัฐบาล ล้มรัฐสภา แล้วตั้งสภาประชาชน รัฐบาลประชาชน เท่านั้น
นี่ไม่ใช่เรื่องหลอกๆ นะครับ เทพเทือกอาจหลอก แต่มีคนจำนวนมากเชื่อจริงๆ
และสำหรับคนที่เชื่อ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นเรื่องขรึมขลังจริงจัง ใครไม่เชื่ออย่าลบหลู่
หลายวันก่อนผมฟัง จส.100 เปิดให้แสดงความคิดเห็น มีคุณผู้หญิงเสียงเข้มเครียดโทรเข้าไป “รัฐบาลประชาชน!” แล้วจะได้รัฏฐาธิปัตย์มายังไงคะ พิธีกรถาม “สภาประชาชน!” แล้วประชาชนมีแค่พวกคุณหรือคะ (ไม่ได้ฟังจบ สงสัยพิธีกรจะเคราะห์ร้าย)
ถ้าลองไปคุยกับพวกเขา พวกเขาจะบอกว่าเราเข้าใจผิดหมด พวกเขาไม่ได้เรียกหารัฐประหาร ไม่ได้ต้องการนายกพระราชทาน ไม่ได้ต้องการประชาธิปัตย์ พวกเขาต้องการตั้งรัฐบาลประชาชน สภาประชาชน ปฏิรูปประเทศไทยเพื่อคนทุกสี พวกเขา “ก้าวหน้า” แล้วนะ มาร่วมมือกันเถอะ
ย้อนถามทำไมถึงเชื่อเทพเทือก ก็เทพเทือกสละทุกอย่างแล้วเพื่อชาติ แล้วทำไมถึงเชื่อถาวร ก็ถาวรบริจาคน้ำมันเพื่อชาติ
ห้ามหัวเราะ เดี๋ยวบังคับให้อมนกหวีดเสียเลย
อุดมการณ์โกลาหล
ซ้าย-ขวา-อนาธิปไตย
ถ้าถามเทพเทือกว่าความคิดตั้ง “สภาประชาชน” นี้ท่านได้แต่ใดมา ไม่ต้องตอบก็รู้ว่ามาจากพวกยะใส, สมศักดิ์, สมเกียรติ อดีตนักเคลื่อนไหว “ภาคประชาชน” ที่กลายเป็นแกนนำพันธมิตร ซึ่งมีกองกำลังของตนเองคือม็อบ คปท.นำโดยทนายนกเขา
ฝรั่งที่วิเคราะห์ความขัดแย้งในสังคมไทย มักจะบอกว่าเสื้อเหลืองคือชนชั้นนำ คนชั้นกลางในเมือง เสื้อแดงคือคนยากจนคนชนบท แต่วิเคราะห์ผิดอยู่อย่าง คือมองข้าม “มือที่สาม” นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมที่มีบทบาทสูงในขบวนเสื้อเหลืองหรือสีธงชาติใน ปัจจุบัน
ประเทศไทยมีลักษณะพิเศษ คือมีผู้ดำรงชีพอยู่ด้วยการเป็นนักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม NGO นักสิทธิมนุษยชน จำนวนมาก น่าจะมากกว่าประเทศทั่วไป ทั้งยังมีอิทธิพลสูงในสื่อ และสื่อบางคนก็ถือตนเป็น NGO ด้วย
นี่ไม่ได้บอกว่าสังคมไทยมีอุดมการณ์สูงส่งกว่าชาวบ้าน สังคมอื่นๆ เขาก็มี คนหนุ่มสาว นิสิตนักศึกษา ออกค่ายอาสาพัฒนา ทำกิจกรรม แต่ครั้นเรียนจบก็จำต้องทำมาหากิน เข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ใช้ชีวิตปกติ ไม่เหมือนเมืองไทยมีแหล่งทุนมากมาย (โดยเฉพาะหลังก่อตั้ง สสส.พอช.) ให้ยึดงานเคลื่อนไหวมวลชน รณรงค์คุณธรรม หรือทำงานชุมชนเป็น “อาชีพ” รายได้ดีกว่าที่คนนอกคิด ถ้ามีระดับ “ขุนนาง” ผู้บริหาร NGO เผลอๆ ตัวเลขหกหลัก มีเบี้ยประชุม ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าเครื่องบิน (บางคนได้รับเชิญไปเมืองนอกเป็นว่าเล่น)
ภาคประชาสังคมไทย มีที่มาจากขบวนนักศึกษาประชาชนยุค 14 ตุลา ซึ่งส่วนหนึ่งแยกเป็นซ้ายเข้าป่า ส่วนหนึ่งเดินแนวปฏิรูป “สายพุทธก้าวหน้า” ใต้บารมี ส.ศิวรักษ์ หมอประเวศ วะสี เน้นการศึกษา พัฒนาชุมชน ต่อมาเมื่อพวกซ้ายอกหักออกจากป่า ก็กลับมาร่วมงานกัน (เช่น ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นหัวแรงใหญ่ของ NGO ยุคแรก ฮิฮิ)
การล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่ได้ทำให้อุดมการณ์ “ปฏิวัติสังคม” เปลี่ยนไป “สังคมนิยมตายแล้ว” ก็หันหาพุทธสังคมนิยม สั่งสมความคิดฟุ้งซ่านไม่เป็นระบบ คนรุ่นเก่าถ่ายทอดสารพิษตกค้างของลัทธิเหมาสู่คนรุ่นใหม่ ในร้านเหล้าเพื่อชีวิต “ปฏิวัติโค่นล้มสังคมแบบเก่า” เมาไปด้วย เพ้อไปด้วย สันนิษฐานว่าพวกยะใส ทนายนกเขา นิติรัตน์ ฯลฯ น่าจะเติบโตมากับตำนานนักปฏิวัติเก่าๆ ในวงเหล้า แล้วก็อยากเป็นนักปฏิวัติกับเขามั่ง ทั้งที่การเป็นนักปฏิวัติ แม้น่าย่องยก แต่ก็ตกยุคแล้ว
สังคมไทยมีอะไรตลกๆ นะครับ พวกอุดมการณ์ตกค้างมีแปลกต่างหลากหลาย ครั้งหนึ่งเคยมี “สภาโจ๊ก” พานักศึกษาไปเผาตัวตาย เช กูวารา ก็หล่ออยู่ท้ายรถบรรทุก มีประเทศไหนมั่งร้องเพลง “เปิบข้าว” “คนกับควาย” ในร้านเหล้า ศิลปินเพื่อชีวิตปล้ำเมียชาวบ้านแต่ไม่เคยละทิ้งอุดมการณ์โค่นสังคมทราม ร้านเหล้าก็ตั้งชื่อซ้ายโรแมนติก เช่น “ตะวันแดง” แต่เจ้าของกลับหิ้วยาชูกำลังไปม็อบศีลธรรมนิยม
อุดมการณ์ฟุ้งซ่านทั้งซ้ายและขวามีจุดร่วมกันอย่างหนึ่ง คือเชื่อว่าต้องยึดอำนาจ แล้วจะใช้อำนาจแก้ปัญหาได้ทุกสิ่งทุกอย่าง สังคมเบื้องหน้าหลังจลาจล นองเลือด ปราบปราม จัดระเบียบ จะมีแต่โสภาสถาพร ประชาชนหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายอยู่ในศีลในธรรม (หรือล้วนมีอุดมการณ์ปฏิวัติ) หลังกำจัดนายทุน สมุนบริวาร ทุจริตคอร์รัปชั่น (โดยใช้ถุงก๊อบแก๊บครอบหัวมันแบบเขมรแดง)
แต่อุดมการณ์ตกค้างซ้าย-ขวา-ซ้าย ที่มาต้มจับฉ่ายนี้ มีลักษณะพิเศษคือ อัพเกรดเพิ่มความเป็นไทย อ้างพุทธ อ้างธรรม นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ เอาเข้าจริงไปด้วยกันได้หรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าใช้โค่นล้มระบอบประชาธิปไตยในนาม “ระบอบทักษิณ” ได้ จึงไม่แปลกเลยที่พวกสันติอโศก “กองทัพธรรม” ไปนั่งในม็อบข้างไฮโซ เซเลบส์ พวกอารมณ์ศิลปิน ท่าทาง “ก้าวหน้า” นั่งข้างสลิ่ม แมลงสาบ และราชนิกูล บนเวทีก็ร้องเพลง “คนกับควาย” สลับ “ร้ากเธอประเทศทาย” (ซึ่งฟังจนจบก็ยังไม่รู้ว่าประเทศทายคืออารายแน่ ยังกะร้ากผู้หญิงคนหนึ่ง)
“พ่อครัวใหญ่” ที่ปรุงอุดมการณ์ซ้าย-ขวา-ซ้าย มาเป็นการยึดอำนาจโดยประชาชน ก็คือภาคประชาสังคม ซึ่งเริ่มต้นจากสายพุทธก้าวหน้า มาเป็นพุทธนิยม ชุมชนนิยม ผสมพันธ์พวกออกป่า แล้วระหว่างการต่อสู้ ก็สั่งสมความคิดอนาธิปไตย
30 กว่าปีของภาคประชาสังคม ผ่านการต่อสู้ค้านเขื่อน ค้านโรงไฟฟ้า ค้านท่อก๊าซ ต่อสู้ปัญหาป่าไม้ ที่ดิน อนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์พลังงาน ต่อต้านทุนข้ามชาติ ต่อต้านทุจริตยา ต่อต้านมลภาวะ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ อันที่จริงก็เป็นเรื่องดีๆ ทั้งสิ้น แฟ้มบุคคลขอปรบมือให้ เป็นชัยชนะที่สร้างเกียรติภูมิศักดิ์ศรีให้แก่ NGO ทั้งหลาย เป็นพระเอกนางเอกในสื่อ ในสังคม บางประเด็นก็เป็นที่ยอมรับของคนชั้นกลาง ซึ่งเมื่อมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีทรัพย์สินเหลือเฟือจากความเหลื่อมล้ำในสังคมทุนนิยม ก็เริ่มแสวงหาคุณภาพชีวิต สร้างโลกสวยที่มีชนบทเป็นตัวประกอบ อยากสตาฟฟ์ทุ่งนาเขียวขจี ชาวนาขี่ควาย ไว้ท่องเที่ยว อยากอนุรักษ์ตลาดร้อยปี พันปี ไว้ซื้อสินค้าวินเทจรีเมค
ชัยชนะที่สั่งสมทำให้ NGO นักเคลื่อนไหว นักสิทธิมนุษยชน คิดการใหญ่ ปีศาจความคิดยึดอำนาจรัฐหวนกลับมาสิงสู่ แต่ทฤษฎียึดอำนาจรัฐด้วยกำลังอาวุธ ตามตำรับลัทธิเหมา เป็นไปไม่ได้แล้ว ทฤษฎีใหม่จึงแทรกเข้ามา นั่นคือทฤษฎีโกลาหล (Chaos)
“อนาคตประเทศไทย จากความโกลาหลสู่ระเบียบใหม่ประเทศไทย. (From Chaos to New Order)” คุ้นๆ ไหมครับ นั่นคือปาฐกถาหมอประเวศ วะสี ซึ่งพร้อมกันนี้ก็เผยแพร่ความคิด “ประชาธิปไตยทางตรง” ปฏิเสธประชาธิปไตยตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า หมอประเวศพูดจานิ่มนวลสุภาพเรียบร้อยนำเสนอทฤษฎี “โกลาหล” (ตายเป็นพันเป็นหมื่นมั้ง) แล้วจะเกิดระเบียบใหม่ แต่คนพวกนี้ก็สุภาพนิ่มนวลทั้งนั้น เช่น สาวกสันติอโศก อยู่ในศีลในธรรมแต่ยึดทำเนียบยึดสนามบิน ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ ผู้เขียนหนังสือชุด “ทฤษฎีไร้ระเบียบ” (เช่น “พุทธทาสกับทฤษฎีไร้ระเบียบ”) ก็เป็นผู้ก่อตั้งบางกอกฟอรัม สร้างการมีส่วนร่วมของคนกรุง เป็นผู้อบรม “ครูพอเพียง” แต่ขึ้นเวทีราชดำเนิน
อันที่จริงลัทธิมาร์กซ์ก็เชื่อการเปลี่ยนแปลงจากปริมาณสู่คุณภาพ น้ำค่อยๆ ร้อนจนถึง 100 องศาแล้วก็เดือด นั่นคือสังคมจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการ “ปฏิวัติ” แต่ออกป่ามาเกือบ 40 ปี ผมอยากตั้งคำถามว่าจริงหรือ มันต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไปหรือ กี่ปรมาจารย์มาถึงครูโรงเรียนการเมืองการทหาร (สังศิต พิริยะรังสรรค์ 55) สอนทีไร ก็ยกตัวอย่างน้ำเดือด ไม่ยักมีตัวอย่างอื่น
มันอาจจริงก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขสถานการณ์ บางคนไม่คิดอย่างนั้น คือไม่ใช่แค่เชื่อว่าถ้าเกิด Chaos แล้วจะเกิดคุณภาพใหม่ อย่ากระนั้นเลย เรามาสร้าง Chaos กันเถอะ ทำให้บ้านเมืองฉิบหายโกลาหลเข้าไว้ อำนาจจะได้เป็นของประชาชน
หมอประเวศอาจไม่คิดขนาดนั้น แต่หมอประเวศกับลูกศิษย์ก็เชื่อว่า ถ้ารัฐบาลอ่อนแอ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ภาคประชาสังคมจะเติบใหญ่ (พอรัฐบาลทักษิณฉวยกองทุนสัจจะออมทรัพย์ไปทำกองทุนหมู่บ้าน เครือข่ายหมอประเวศเดี้ยงหมด ชาวบ้านไปกู้กองทุนหมู่บ้านแทน)
หมอประเวศเชื่อในการต่อรองอำนาจ ได้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขมาจากยุค รสช. ได้ สสส.ในยุคชวน หลีกภัย ได้ สปสช.และ พอช.ในยุคทักษิณ ได้ สสค.ในยุคอภิสิทธิ์ แล้วพอ Chaos ฆ่ากัน 99 ศพในปี 53 หมอประเวศก็ได้งบ 600 ล้านไปสร้างเครือข่ายปฏิรูปประเทศไทย ไชโย
อันที่จริงก็เป็นเรื่องดี ถ้าตระหนักว่าเป็นแหล่งทุนและกำลังของ “กระแสรอง” คือภาคประชาสังคม ไว้คอยถ่วงดุล “กระแสหลัก” คือการพัฒนาทุนนิยมโลกาภิวัตน์ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสิ เพราะพอมีทุนมีเงิน ภาคประชาสังคมก็ฮึกเหิมถึงการมีอำนาจเหนือทุนไปโน่น
NGO ที่ทำเรื่องปัญหาชาวบ้าน บางกลุ่มก็คิดเรื่องสะสมกำลังมาแต่ไหนแต่ไร เช่น นำชาวบ้านต่อสู้เรียกร้องค่าชดเชย แทนที่จะรีบๆ เจรจาให้เขาได้เงินไปซื้อรถปิคอัพทำมาค้าขาย ก็ทำสงครามยืดเยื้อ ตั้งข้อเจรจาให้ยากๆ เข้าไว้ ยื้อไปเป็นมวลชนปฏิรูป พาไปประชุมเสวนา หัดพูดคำใหญ่ พูดให้เหมือนหมอประเวศ อ.ไพบูลย์ อ.บำรุง บุญปัญญา ฯลฯ NGO บางกลุ่มร้ายกว่า เวลาม็อบประจันหน้า อยากให้ปะทะตำรวจ จะได้ “เติบใหญ่ท่ามกลางการต่อสู้”
ไม่ได้พูดเหมาเข่งเพราะ NGO ดีๆ ก็มีเยอะ แค่ยกตัวอย่างว่า ความคิดอนาธิปไตย “เลยธง” แต่อ้างว่า “ดัดไม้ให้ตรงต้องดัดเกิน” แฝงอยู่ในการเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมมานานแล้ว
Zapatista ไทยใต้ปีกแมลงสาบ
แนวคิดทำให้สังคมโกลาหลเพื่อประชาสังคมมีอำนาจ ได้โอกาสเป็นจริงเมื่อแกนนำภาคประชาสังคมเข้ามาเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนฯ แม้เป็นแค่กระแสรองในกระแสต้านทักษิณ เป็นได้แค่ลูกหาบอุดมการณ์ราชาชาตินิยม อยู่ใต้การชักจูงของศาสดาโกเตกซ์
แต่แนวทางการต่อสู้แบบยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ยึดกรมประชาสัมพันธ์ (ซึ่งมาดมั่นเอาจริงมาก คงคิดว่าจะมีใครออกมาช่วย) ก็เห็นชัดวาก๊อปมาจากการลุกขึ้นสู้ของ Zapatistaฮีโร่ของ NGO Marxist-Anarchist ทั่วโลก
Zapatista คือกองกำลังติดอาวุธลัทธิมาร์กซ์ผสมอนาธิปไตย ในเม็กซิโก ซึ่งลุกฮือขึ้นยึดสถานที่ราชการในรัฐ Chiapas เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1994 วันที่เม็กซิโกเข้าสู้เขตการค้าเสรี NAFTAแม้พ่ายแพ้แต่ก็เป็นฮีโร่ของพวกออคคิวพายต่อต้านทุนโลกาภิวัตน์ เป็นความฝันของนัก “ปฏิวัติประชาชน” ทั้งที่ปัจจุบัน พวกเขาเปลี่ยนมาเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมโดยมีฐานมวลชนเหนียวแน่นใน ชนบท
พวกภาคประชาสังคมในพันธมิตรไม่ได้คิดแค่ “อาศัยศักดินาล้าหลังโค่นทุนสามานย์” แต่ต้องการให้โกลาหลทั้งสองฝ่าย ตัวเองสบายอยู่นอกวง 7 ปีผ่านไปพวกเขาสั่งสมความคิด “สภาประชาชน” “รัฐบาลประชาชน” มีพิมพ์เขียว ที่พวกซ้ายเก่าจำนวนไม่น้อยเอาด้วย ก่อนเกิดกรณีนิรโทษสุดซอย อดีตสหายรายหนึ่งที่เป็น “เพื่อน” ทาง fb ยังส่งพิมพ์เขียวมาชักชวนผม บอกว่านี่คือการสานอุดมการณ์เมื่อ 40 ปีที่แล้วให้สำเร็จ แต่ผมขอบาย ไม่เอาด้วย อายุจะ 60 แล้ว เห็นโลกเห็นชีวิตมาเยอะ ยังคิดเหมือนสมัยเด็กอยู่หรือ
อันที่จริงแนวคิด “ปฏิวัติประชาชน” ไม่ได้มีแค่ซ้ายเสื้อเหลือง ซ้ายเสื้อแดงก็มาก แต่อย่างที่เคยเขียน ผมไม่ใช่นักปฏิวัติอีกแล้ว ผมไม่ชอบความคิดว่าสังคมไทยต้องนองเลือด จึงจะก้าวหน้า ถ้ามันจะเกิดก็ต้องเกิด แต่อย่าอยากให้เกิด อย่าพยายามให้เกิด และต้องพยายามไม่ให้เกิด
พวกซ้ายเสื้อแดงต่อให้คิด “ปฏิวัติประชาชน” อย่างน้อยก็ยอมรับแนวทางเสรีประชาธิปไตย เห็นว่าการปฏิรูปการเมืองปฏิรูปประเทศต้องเดินไปในแนวนี้เท่านั้น เว้นแต่ประชาชนถูกกวาดล้างปราบปรามอย่างอำมหิตจึงจะเกิด “ปฏิวัติประชาชน”
อุดมการณ์ Chaos บ่มจนได้ที่นี่เอง ที่กลายเป็นที่พึ่งของสลิ่ม แมลงสาบ เมื่อไล่รัฐบาลถึงทางตัน รัฐประหารชาวโลกไม่เอา นายกพระราชทาน ในหลวงท่านปฏิเสธนานแล้ว ไม่รู้ทำไง เทพเทือกก็หันมาฉวย “สภาประชาชน” “รัฐบาลประชาชน” ไปเป็นข้ออ้าง ยุบก็ไม่เลิก ออกก็ไม่เลิก ใจจริงก็จะเอานายกฯคนกลาง แต่ใช้วิธีอันธพาลบีบรัฐบาลและเสียงข้างมากในสังคม (ซึ่งอันที่จริงก็รวมคนไม่ชอบรัฐบาลแต่ต้องการเลือกตั้ง)
พูดง่ายๆ ประโยคเดียว “ไม่ยอมกรูไม่เลิก จะป่วนเมืองอยู่อย่างนี้” รัฐบาลทำอะไรไม่ได้ มีคนตายรัฐบาลก็แพ้
ถามว่าพวก NGO ภาคประชาสังคม สื่อ ซ้ายเก่า โง่นักหรือที่เชื่อเทพเทือก
ประหลาดอยู่เหมือนกันที่บางคนก็เห็นเทพเทือกเป็นองคุลีมาล บอกว่าเทพเทือกปลงอาบัติ กลับใจแล้ว (ใครก็ได้ยกเว้นทักษิณ กลับตัวเป็นคนดีได้หมด)
แต่ส่วนใหญ่ไม่เชื่อหรอก แค่ช่วยหลอกชาวบ้าน กระนั้น พวกเขาก็เชื่อมั่นว่าถ้าเกิด “รัฐประหารด้วยม็อบ” ได้นายกฯ คนกลาง ตั้งสภาประชาชน สภาปฏิรูปอะไรก็แล้วแต่ พวกเขาจะมีที่นั่งด้วย
หรือบางคนก็บอกว่านี่เป็นโอกาสของการเคลื่อนไหว
“ในจังหวะของการเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงภาวะจากน้ำที่ระอุร้อน สู่การเดือดเป็นไอ (ยกตัวอย่างน้ำเดือดเป็นไออีกแล้ว) เหตุ ปัจจัยและเงื่อนไขที่เป็นคุณจะช่วยเสริมอย่างไร ผมเห็นว่าที่ผ่านมาขณะนี้ มีเหตุปัจจัยที่ก้าวหน้ามากกว่าเสื่อมถอยเยอะมาก และช่วยหนุนเสริมกันได้ ช่วยระวังป้องกันเหตุปัจจัยที่เสื่อมถอยได้ ด้วยใจมิตรใจสหาย”
“ด้านหนึ่งเราปฏิเสธการเคลื่อนไหวใหญ่เมื่อมาถึงไม่ได้ เพียงไม่ง่ายไม่บ่อย เพราะต้องเหมาะพอดีกับเหตุปัจจัย เราจึงปรับให้เป็นประโยชน์กับประชาชนได้เต็มที่ได้ยาก เพราะไม่สันทัดจัดเจน แต่ถ้าเราปฏิเสธ ไม่เพียงเราเสียโอกาสของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เรายังเท่ากับหนุนช่วยให้สิ่งเก่ายังดำรงอยู่ หรือได้สิ่งใหม่ที่พิกลพิการด้วย”
ไม่ว่าคิดอย่างไร พอเทพเทือกประกาศ “รัฐบาลประชาชน” “สภาประชาชน” พวกภาคประชาสังคมก็อ้าขาผวาปีก กระดี๊กระด๊าเหมือนปลาตีนได้น้ำ แลกเปลี่ยนกันตาม fb ตื่นเต้นยินดีปรีดาปราโมทย์ ยิ่งกว่าชาวบ้านเห็นตัวเลขโผล่จากรากมะม่วง สภาประชาชนควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ รัฐบาลประชาชนควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ใครไม่ทราบใช้ชื่อ “ปิยะมิตร ลีลาธรรม” เขียนเรื่องปฏิวัติประชาชนลงประชาไท 3-4 ครั้ง (ยังกะนามแฝงของจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เขียนลงนิตยสารนักศึกษายุคก่อน 6 ตุลา)
“หนึ่ง การจัดตั้งนั้นเรียกว่า สภาประชาชน ซึ่งเป็นอำนาจของประชาชนที่เข้าแทนที่อำนาจสภานิติบัญญัติของประชาธิปไตยที่ทุนเป็นใหญ่
สอง สมาชิกสภาประชาชนมาจากการเลือกตั้งของประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมต่อสู้ ประชาชนในที่นี้คือ บุคคลในสาขาอาชีพต่างๆทั้งปวงที่เห็นด้วยกับการปฏิวัติโค่นรัฐบาลที่ปราศจาก ความชอบธรรม และมีการรวมตัวต่อสู้ในสถานที่ต่างๆ สภาประชาชนอาจเกิดขึ้นในขอบเขตจังหวัด อำเภอ ตำบล เทศบาล และ/หรือสาขาอาชีพต่างๆ ตลอดจนองค์กรของประชาชน เช่น สภาคนทำงานสาธารณสุขสุราษฎร์ธานี สภาคนงานอุตสาหกรรมภาคตะวันออก สภาสภาชาวนาจังหวัดสุรินทร์ สภาข้าราชการทหารทุกระดับชั้นของกองทัพภาค๓ เป็นต้น สมาชิกสภาประชาชนต้องถูกกำกับดูแลและตรวจสอบ กระทั่งถูกถอดถอนได้โดยประชาชนที่เป็นผู้เลือกเข้าไปได้ตลอดเวลา
สาม สภาประชาชนทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศส่งผู้แทนสภาประชาชนที่ได้รับเลือกของตนมา รวมตัวกันจัดประชุมใหญ่ผู้แทนสภาประชาชนแห่งชาติที่กรุงเทพฯเพื่อทำหน้าที่ กำกับการต่อสู้ของประชาชน และผลักดันข้อเสนอหรือแนวทางในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น
สี่ สภาประชาชนแห่งชาติจะต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้น โดยเลือกตั้งฝ่ายบริหารจำนวนหนึ่งไปทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในระยะ เปลี่ยนผ่าน ทำให้ข้อเสนอที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนระหว่างการต่อสู้ เป็นสัญญาประชาคมแห่งการต่อสู้ ให้บรรลุผลเป็นจริง
ห้า สภาประชาชนแห่งชาติเตรียมการให้มีการเลือกตั้งด้วยระบบที่ความเป็นธรรมและ ความเท่าเทียมเป็นใหญ่ แทนที่ระบบเลือกตั้งที่ทุนเป็นใหญ่ กล่าวคือ ให้การเข้าร่วมการเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆตั้งอยู่บนการใช้งบประมาณ แผ่นดินที่เท่าเทียมกัน และเน้นการประชันขันแข่งกันในด้านแนวนโยบายพัฒนาประเทศที่มุ่งเพื่อผล ประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ โดยลงโทษหรือตัดสิทธิ์อย่างรุนแรงกับการใช้ทุนหรือกลไกรัฐเพื่อให้ได้คะแนน เสียง
หก สภาประชาชนแห่งชาติจะมุ่งส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และการจัดตั้งตนเองในรูปแบบของสภาประชาชน สิทธิการชุมนุม การรวมตัว และสิทธิการปฏิวัติ ให้อยู่อย่างยั่งยืนเพื่อตรวจสอบ และปรับปรุงการทำงานของฝ่ายบริหาร และผู้แทนของประชาชน
นี่คือ ประชาธิปไตยทางตรงของประชาชนพลเมืองที่มีสำนึกที่ประชาชนทุกสาขาอาชีพมาร่วม ต่อสู้กันอย่างเสมอบ่าเสมอไหล่เพื่อกำหนดชะตากรรมของสังคมร่วมกัน(Active citizen) ซึ่งแตกต่างจากพลเมืองที่ไร้สำนึกในชีวิตประจำวันปกติและเป็นแต่ผู้ถูกปกครองภายใต้ประชาธิปไตยที่ทุนเป็นใหญ่ (Passive citizen)
นี่คือ ประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นใหญ่เหนือกว่าประชาธิปไตยที่ทุนเป็นใหญ่
นี่คือ พลังประชาชนที่ไปพ้นจากการพึ่งพาอำนาจอื่น โดยพึ่งพาตนเองและมีความเป็นตัวของตัวเอง
นี่คือทางสายเอกที่จะนำพาประชาชนไปสู่การมีอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง”
สภาเปรสิเดียมชัดๆ เอาพลพรรคที่ร่วมกันก่อม็อบมาตั้งสภาเถื่อนปกครองประเทศ ยกตนเป็นอภิชน เห็นประชาชน 70 ล้านคนเป็นพลเมืองไร้สำนึก
อะไรก็ไม่ขำเท่าพวกซ้ายเก่า-ประชาสังคม คิดว่าตัวเองจะได้เป็นใหญ่ 555 ทั้งความคิด จิตใจ ภาษา ยังยืนหยัดปฏิวัติตลอดไป ยังไม่ตื่นจาก 30 กว่าปีก่อน
ฮาที่สุดคือพวกเครือข่ายจัดการตนเองอะไรนั่น เรียกร้องให้ตั้งสภาประชาชนเป็นอำนาจที่ 4 นอกเหนือจากอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ โดยลงท้ายให้ได้รับการสนับสนุนจากภาษีเหล้าบุหรี่
เรื่องจี้ๆ Surreal อย่างนี้มีแต่ประเทศไทยเท่านั้นนะครับ หาดูที่อื่นไม่ได้ สหายเก่าบอกผมว่า เราจะสร้างระบอบใหม่ที่ไม่เคยมีที่ไหนในโลก ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยสมบูรณ์ ที่จะแก้ปัญหาทุนสามานย์ ล้างการทุจริตคอร์รัปชั่นได้เด็ดขาด
โห คนไทย หนึ่งเดียวในโลก
ปฏิวัติใหม่กับคนชั้นกลางเก่า
“วันนี้คนชั้นกลางดั้งเดิมกำลังกลายเป็นฐานที่มั่นใหญ่ของแนวคิด อนุรักษ์นิยม จากการที่เคยผลักดันประวัติศาสตร์ให้ก้าวไปข้างหน้า พวกเขากลับกลายเป็นชนชั้นที่อยากหยุดประวัติศาสตร์ไว้ในจุดที่ตัวเองได้ เปรียบในทุกด้าน...
ในปัจจุบันคนชั้นกลางส่วนใหญ่ไม่สนใจ ไม่เห็นใจชะตากรรมคนส่วนใหญ่ที่อยู่ล่างจากตน พวกเขามักหมกมุ่นกับเรื่องส่วนตัว การบริโภค การสร้างสไตล์ในชีวิตที่วิจิตรบรรจง กระทั่งนิยามความดี ความงามและความจริง หลุดลอยไปจากความถูกต้องเป็นธรรมทางสังคม.......
ใครเล่าจะต้องการเสรีภาพเท่ากับคนที่ต้องการบอกโลกว่าพวกเขามีเรื่อง เดือดร้อน ใครเล่าจะต้องการระบอบนี้เท่ากับผู้คนที่แสดงหาความเสมอภาคและความเป็นธรรม ในฐานะผู้ผ่านศึก 14 ตุลาคม ผมเห็นว่าการเคลื่อนไหวของพี่น้องเหล่านี้ตั้งอยู่บนเจตนารมณ์เดียวกับการ ต่อสู้เมื่อ 40 ปีก่อน เพียงแต่บริบทของยุคสมัยอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว มันเป็นการผูกโยงประชาธิปไตยกับความฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า สังคมที่ดีกว่า ส่งเสริมให้ผู้คนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันซึ่งเป็นแก่นแท้ของปรัชญา ประชาธิปไตย.......”
(ปาฐกถา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล)
Zapatista ตัวจริง ยังไงๆ ก็ยังมีฐานมวลชนอันกว้างใหญ่ในชนบท แต่พวก Zapatista เมืองไทยอาศัยจมูกคนชั้นกลางเก่าหายใจ มีมวลชนตัวเองหยิบมือ แค่คนชายขอบ คนในขอบหายหมด
ต่อให้ปลูกฝังความคิด “สภาเปรสิเดียม” ใส่สมองคนชั้นกลางเก่าชาวกรุงชาวเมืองได้ส่วนหนึ่ง แต่ท้ายที่สุด ผลประโยชน์ก็ขัดกันอยู่ดี เพราะพวก Zapatista ไทย ทั้ง NGO ซ้ายเก่า ขวาใหม่ ไม่เอาทุนนิยมโลกาภิวัตน์ แต่คนชั้นกลางสีลม อโศก ราชประสงค์ มีผลประโยชน์อยู่กับทุนนิยมโลกาภิวัตน์
ประเทศนี้เป็นทุนนิยม (บอกกี่ครั้งกี่หนไม่รู้จักจำ) ประเทศนี้ขับเคลื่อนด้วยทุนนิยม ผลประโยชน์ของคน 90% ขึ้นอยู่กับการพัฒนาทุนนิยมไม่ใช่ชุมชนนิยม จะคนชั้นกลางเก่ากลางใหม่ ก็อยากได้ 2 ล้านล้าน (เพียงแต่เกี่ยงอยากให้อภิสิทธิ์ทำ) ยังไงเราก็ต้องอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยที่ทุนเป็นใหญ่” เพียงต้องปฏิรูปให้ประชาชนมีอำนาจต่อรองมากขึ้น ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ประชาชนฝ่าย NGO เป็นใหญ่ ซึ่งจะเอาแต่ต่อต้านทุนจนฉิบหาย (ลองคิดดูว่าถ้าพวกนี้เป็นใหญ่ สร้างโรงไฟฟ้าก็ไม่ได้ สร้างเขื่อนก็ไม่ได้ วางท่อก๊าซก็ไม่ได้ สร้างโรงงานมาบตาพุดก็ไม่ได้ ฯลฯ ไม่ต้องพูดถึงรถไฟความเร็วสูง)
ยิ่งกว่านั้นถ้าทำ “รัฐประหารประชาชน” ได้สำเร็จ คิดหรือว่าพวกคุณมีอำนาจ การทำสำเร็จแปลว่าเครือข่ายอำมาตย์ ศาล ทหาร หนุนหลัง ถ้ากองทัพไม่ยอม คุณจะตั้งสภาเปรสิเดียมได้ไง แล้วจะไปปฏิรูปใคร ไอ้ที่พูดๆ กันนั่นเกือบจะ “ล้มระบอบ” เลยนะครับ ใครจะให้คุณทำ บางคนบอกให้เลือกนายกฯ โดยตรง บางคนบอกจะเลือกตั้งผู้ว่าฯ บางคนจะปฏิรูปตำรวจ ฯลฯ โห ยังกะประเทศเป็นของท่าน ยังกะพรรคบอลเชวิคยึดอำนาจ เอาเข้าจริงก็เป็นแค่ไม้ประดับ หรือเป็นโคถึก
ทั้งชนชั้นนำและคนชั้นกลางเก่าไม่ได้ต้องการปฏิรูปประเทศหรอก จะเอาอะไรกับคนชั้นกลางอินสตาแกรม ใส่แหวน ห้อยนกหวีด ติดสติ๊กเกอร์ (ได้ยินว่ามีนกหวีดสั่งทำสำหรับไฮโซ 2 หมื่น) เปล่า ไม่ได้บอกว่าคนเหล่านี้แค่ตามแฟชั่น แต่พวกเขาเพียงไม่พอใจการใช้อำนาจไม่ชอบธรรมของรัฐบาลนี้ ไม่ใช่ไม่พอใจระบอบ กระแสคนชั้นกลางเป็นแค่อารมณ์ ถ้าล้มรัฐบาลได้ก็กลับบ้าน พากันไปเที่ยวตลาดน้ำ ตลาดร้อยปี ตลาดพันปี หรือขึ้นเครื่องไปนุ่งบิกินีที่กระบี่ ภูเก็ต
คนชั้นกลางเก่าไม่ได้ต้องการเปลี่ยนระบอบ แค่ต้องการประชาธิปไตย CSR รู้จักทำโปรโมท แต่งหน้าให้สวย ฉาบจรรยาสักหน่อย ตัวเองไม่โกง พวกพ้องช่างมัน แบบเปรม แบบชวน แบบอภิสิทธิ์ ดัดจริตนิดๆ ไม่ว่ากัน
คนชั้นกลางเก่าถ้าจะคิดปฏิรูปประเทศ ก็คือพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง บ่นว่ามันเลวลงไปเป็นรุ่นๆ ต้องเอาคนรุ่นใหม่มาอบรมให้อยู่ในศีลในธรรม ต้องให้เด็กใส่เครื่องแบบ กล้อนผม กราบครู ฯลฯ แล้วพิภพ ธงไชย จะปฏิรูปการศึกษาให้เด็กคิดเป็นได้ไง
หรือไม่ก็พวกเพ้อฝัน อาการเพิ่งก้าวหน้า มีคนเล่าให้ฟัง เพื่อนเป็นนักธุรกิจส่งออก ทำมาค้าขายต้องหยอดน้ำมัน เกลียดคอร์รัปชั่น ไปลุยแก๊สน้ำตาทุกวัน ด้วยความฝันว่าสภาประชาชนจะขจัดคอร์รัปชั่นในพริบตา
คนชั้นกลางเก่าส่วนใหญ่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าโลกสวย รู้จักเข้าคิว ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทาง เห่อพลังงานสะอาด จนเผลอคิดว่าตัวเองเป็นพลังงานสะอาด อยากได้รถโตโยต้าพริอุส เพราะมันเท่ ทั้งที่แพงเว่อร์ อะไรที่ทำง่ายๆ เพื่อสังคมปลูกต้นไม้ ต้านโลกร้อน ต้านอนุมูลอิสระ รักเด็ก รักธรรมชาติ เอาด้วย ค้านเขื่อนแม่วงก์ มีการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ น่ารักน่าเอ็นดู เอาด้วย แต่ไม่สนใจสมัชชาคนจน เขื่อนปากมูล ราษีไศล บ่อนอก หินกรูด (สื่อต้องช่วยสร้างจินตนา แก้วขาว เป็นนางเอกดราม่าตอนติดคุก คนกรุงจึงสนใจ)
มีศีลธรรมไหม มีสิ ไม่งั้นหนังสือพระจะขายดีพอๆ กับหนังสือโหรหรือ ผู้ลากมากดียังใส่ชุดขาวดีไซเนอร์ไปฟังเทศน์โดยพระวันเฉลิม ลูกอีลำยอง เอ๊ยไม่ใช่ ท่าน ว.วชิรเมธี วันดีคืนดีก็ทำเรียลลิตี้โชว์เรียนรู้ชีวิตชาวนาด้วยการปลูกข้าวในออฟฟิศ
คนชั้นกลางเก่าสงสารเห็นใจชาวนา คนจน นะครับ ไม่ใช่ไม่เห็นใจ บริจาคข้าวสาร ผ้าห่ม ฯลฯ แต่เห็นตัวเองเป็นผู้ให้ ไม่ใช่เห็นคนเท่าเทียม คนชั้นกลางถือว่าตนเป็นเจ้าของประเทศ เป็นผู้เสียภาษี จะมีแค่ 1 เสียงเท่าเทียมกับกรรมกร ชาวนา แท็กซี่ สามล้อ ได้ไง
พวกคุณจะปฏิวัติสังคม ปฏิรูปประเทศ กับคนเหล่านี้หรือ ทำไงได้ ก็พวกคุณทอดทิ้งมวลชนเสียงข้างมาก ทอดทิ้งประชาธิปไตยไปแล้ว
นักปฏิวัติต้องไม่บิดเบือน
ผมไม่ใช่นักปฏิวัติแล้ว แต่ไม่ว่าคนที่คิดจะปฏิวัติประชาชน หรือคิดปฏิรูปประชาธิปไตย ต้องมีหลัก ต้องยึดความถูกต้อง ชอบธรรม เป็นธรรม ยุติธรรม ไม่บิดเบือนให้ร้าย ปลุกความเกลียดชัง เอาชนะโดยไม่เลือกวิธีการ
การบิดเบือนให้ร้าย ปลุกความเกลียดชัง เป็นวิธีการของนาซี ของฟาสซิสต์ พรรคคอมมิวนิสต์แม้ไม่ถึงกับปลุกให้เกลียดคนต่างสี ต่างผิวพันธุ์ แต่ในยุคคลั่งๆ ก็เกิดเรดการ์ดกับเขมรแดง
การเอาชนะโดยไม่เลือกวิธีการ บางคนชี้ว่าเป็นพิษลัทธิเหมา แต่ผมว่าประธานเหมาก็แค่สามัคคีเจียงไคเช็ครบญี่ปุ่น ยังไม่ถึงขั้นสามัคคีญี่ปุ่นเอาชนะเจียงไคเช็ค ซึ่งเปรียบได้กับพวกสมคบรัฐประหารตุลาการภิวัตน์
นักปฏิวัติ นักปฏิรูป ต้องมีหลัก ไม่ใช่เคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้วออกบัตรเชิญรัฐประหาร เคยเรียกหาเสรีภาพแต่อาศัยอุดมการณ์ชาตินิยมล้นเกิน กษัตริย์นิยมล้นเกิน ปลุกปราสาทพระวิหาร ปลุกผังล้มเจ้า เพื่อบรรลุเป้าหมาย
ไม่ใช้เหตุผล ไม่ทำงานความคิด แต่ใช้พลังอำนาจ ทั้งอำนาจทหาร อำนาจศาล อำนาจสื่อ สถาบันวิชาการ อย่างไม่ชอบธรรมเพื่อทำลาย “ทุนสามานย์” ทักษิณมันเลว ใช้วิธีชั่วร้ายอย่างไรก็ได้ โค่นล้มมัน ไม่คำนึงเลยว่าผลักมวลชนเสียงข้างมากไปเป็นศัตรู
แล้วตอนนี้ก็จะใช้วิธีการอันธพาลข้างถนน บีบให้ได้ “สภาประชาชน” ที่พวกตัวมีอำนาจ แล้วกดคนเสียงข้างมากไว้ข้างใต้ โดยใช้สื่อใช้นักวิชาการแถผิดให้ถูกตามเคย
ทั้งที่เสื้อแดงคือมวลชนที่ต้องการ “ปฏิรูปประเทศ” เป็นอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าคนชั้นกลางเก่า หรือชนชั้นนำ หรือภาคประชาสังคมด้วยซ้ำ เพียงแต่การปฏิรูปที่พวกเขาต้องการอันดับแรกคือปฏิรูปโครงสร้างอำนาจให้เป็น ประชาธิปไตยเต็มใบ เปิดกว้าง มีเสรีภาพ ตรวจสอบได้ทุกฝ่าย
ไม่มีมวลชนเสื้อแดงที่ไหนหรอกที่สนับสนุนการคอร์รัปชั่น หรือความเหลื่อมล้ำ ทุกคนยินดี อ้ารับปฏิรูป แต่ที่พวกเขาต้องการอันดับแรกคือยอมรับอำนาจที่เท่าเทียม เคารพเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และคืนความยุติธรรม ไม่ใช่คิดปฏิรูปประเทศข้างเดียว ตั้งสภาประชาชนกับ “ฆาตกร”
พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ตัวดีอะไร นิรโทษสุดซอย หักหลังมวลชนเพื่อทักษิณ แต่มวลชนเสื้อแดงก็ยอมรับไม่ได้ที่พลังคนชั้นกลางชาวกรุงยอมให้พรรคแมลงสาบ ฟอกตัว รับไม่ได้ที่บิดประเด็นเป็น “ต้านโกง” ไม่ต้านฆาตกร แล้วตอนนี้ก็จะฉวยโอกาสล้มรัฐบาลนอกวิถีประชาธิปไตย ซึ่งเท่ากับล้มอำนาจเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ตัวดีอะไร อย่าไปหวังเรื่องลดความเหลื่อมล้ำ กระจายอำนาจ กระจายความมั่งคั่ง เพียงแต่พรรคเพื่อไทยให้เสรีภาพ ให้การดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีแก่มวลชนเสื้อแดง
คุณจะโค่น “ระบอบทักษิณ” ได้อย่างไร ถ้าไม่แยกปลาออกจากน้ำ แต่นั่นแหละ “ระบอบทักษิณ” ในความหมายของพวกคุณคือโค่นทั้งปลาทั้งน้ำใช่ไหม
ใบตองแห้ง
8 ธ.ค.56
....................................
8 ธันวาคม 2556 เวลา 11:24 น.
คอลัมนิสต์อิสระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น