ถึง คุณ กรณ์ จาติกวณิช (อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่ตัวสูงที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีรัฐมนตรีฯ มา)
ประโยคข้างต้นผมนั่งเทียนเขียนครับ เหมือนที่คุณกรณ์
นั่งเทียนเขียนเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนว่าเหมือน Les
Miserables
ผมเชื่อว่า คุณกรณ์ตัวสูงที่สุด ทั้งที่ผมไม่ได้ค้นคว้า
ไม่ทำการบ้าน และอาจไม่มีประสบการณ์ได้เคยเห็นรัฐมนตรีฯ
ที่ตัวสูงกว่าคุณกรณ์ เหมือนที่คุณกรณ์ อาจไม่ได้ค้นคว้า ไม่ได้ทำการบ้าน
และอาจไม่ได้เข้าใจ Les Miserables อย่างที่มันควรจะเป็น
หรืออย่างที่ผมและคนทั่วโลกเข้าใจ
อย่างที่น้อยที่สุด การเคลื่อนไหวของ กปปส.
ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมการเมือง
แต่เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อขัดฝืนการเปลี่ยนแปลงของสังคมการเมือง
พูดให้ถึงที่สุด วันนี้ มวลมหาประชาชน กำลังทำตาม
จินตนาการของกำนันสุเทพด้วยการก้าวข้าม ประเด็นใจกลางการเคลื่อนไหวแต่แรก
ไปสู้การล้มประชาธิปไตย
คุณกรณ์เลือกเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชน
กับ Les Miserables ซึ่งผมคิดว่า ขบวนการของกำนันสุเทพ
และกรณ์ห่างไกลเหลือเกินจากการเคลื่อนไหวนั้น โดยเฉพาะในเชิงจุดประสงค์
อย่างไรก็ตาม
ผมไม่อาจก้าวล่วงจินตนาการอันเหลือล้ำของคุณกรณ์ได้ ในห้วงยามที่ คุณกรณ์
และพวกของคุณกรณ์
ต่างจินตนาการและหยิบยื่นจินตนาการชุดใหญ่ที่ไม่หลักทางวิชาการใดๆ รองรับ
มานำเสนอสังคมไทยอย่างถี่ยิบ ตั้งแต่ นายกฯ ลาออกรักษาการ
ขัดขวางการเลือกตั้ง รับเอาสภาประชาชน เป็นสรณะในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง
ทั้งนี้ โดยที่คุณกรณ์และพวกของคุณกรณ์
ไม่เคยถามความต้องการของ มวลมหาประชาชน ทั้งประเทศ ซึ่งอาจมีจำนวนมากกว่า
มวลมหาประชาชน (ราชดำเนิน) พวกของคุณกรณ์ ซึ่งมีจำนวนมากในสายตาของคุณกรณ์
แต่อาจมีจำนวนน้อยในสายตาของผม และคนอีกมาก
ดึงดันจะเอาอย่างที่ต้องการเท่านั้น
โดยไม่สนใจเสียงส่วนใหญ่ และความเห็นอื่นๆ ที่ปรากฏเรียงรายในสังคมการเมือง
เสมือนประเทศนี้ไม่ได้ชื่อประเทศไทย และปกครองโดยคนไทยคนอื่นๆ ร่วมกัน
แต่เป็นเหมือนประเทศสุเทพที่มีสุเทพและมวลมหาประชาชนของคุณสุเทพเท่านั้นที่
เป็น “ประชาชน”
และพึ่งได้รับการยอมรับ ซึ่งขัดแย้งกับการเคลื่อนไหวใน
Les Miserables ที่การเคลื่อนไหวของพวกเขา เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
เพื่อล้มการปกครองที่พวกเขาไม่พึงปรารถนา แล้วการเคลื่อนไหวของ กปปส.
จะเหมือนละครเวทีเรื่องอะไรหล่ะ ถ้าไม่ใช่ Les Miserables ?
ผมคิดว่า คุณกรณ์ คงเคยดู สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล
ฉบับของถกลเกียรติ วีรวรรณ นักการละครคนสำคัญของประเทศไทย
ซึ่งจัดแสดงที่รัชดาลัยกว่า 100 รอบ และที่สำคัญ สมเด็จพระนางเจ้า
พระบรมราชินีนาถ ก็ได้เสด็จไปทอดพระเนตรด้วย
พร้อมกับตรัสชมการแสดงดังกล่าวไม่ขาดสาย
แล้วการเคลื่อนไหวของ กปปส.เหมือน ละครเวที สี่แผ่นดิน
เดอะมิวสิคัล ตรงไหน ? ผมพบว่า “สุเทพฯ” เหมือน “แม่พลอย” หลายอย่าง
โดยเฉพาะ ความต้องการของทั้งคู่ที่โหยหา เรียกร้อง กระวนกระวาย
อยากกลับไปใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์
ผมคงคิดไม่ผิดไป หากพิจารณาข้อเสนอของคุณสุเทพตลอดมา
โดยเฉพาะ การขอนายกพระราชทาน มาตรา 7 และอื่นๆ
อีกมายมายทั้งในเชิงวิธีการและเป้าหมายเพื่อล้มประชาธิปไตย
ในสี่แผ่นดิน ตัวละครตัวหนึ่งชื่อ “อั้น” ซึ่งเป็นลูกของ
“พลอย” พยายามนำประเทศเปลี่ยนระบอบไปสู่การปกครองแบบมีประชาธิปไตย
โดยการปฏิวัติ 2475 และนำเอากษัตริย์มาอยู่ใต้ รธน. อย่างไรก็ตาม
พลอยผิดหวังกับ อั้นมาก และเธอก็พูดกับ “อั้น” ว่า “แม่ไม่คิดว่า ลูกของแม่
จะทำร้ายคนที่แม่รัก” คนที่แม่รัก คือ ในหลวง รัชกาลที่ 7
และในตอบจบของเรื่อง คึกฤทธิ์ก็เขียนให้ “อั้น”
สำนึกผิดว่า “เขาไม่ควรเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศมาเป็นประชาธิปไตย
การใช้ชีวิตในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ เป็นสิ่งสมบูรณ์พูนสุขแล้ว
เขาไม่ต้องการนักการเมืองเลวมาปกครองประเทศ”
สำนึกของอั้นก็คือ สำนึกของมวลมหาประชาชน พูดให้ถึงที่สุด
มวลมหาประชาชนทั้งหลาย สำนึกแล้วว่า
ไม่มีอะไรดีไปกว่ากลับไปปกครองแบบไม่เอาประชาธิปไตย
เพราะถ้าเอาประชาธิปไตยแต่มีการนักการเมืองเลว พวกเขาก็ไม่เอา
วิธีคิดของแม่พลอย ก็คือ วิธีคิดแบบสุเทพและมวลมหาประชาชน
เป็นวิธีคิดเดียวกันที่โหยหาระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ และไม่ชอบประชาธิปไตย
รวมความคือ
พวกเขาไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเพราะการเปลี่ยนแปลงไม่ให้ผลประโยชน์ใดๆ
กับพวกเขา ขณะเดียวกันพวกเขาก็เลือกแล้ว
ที่จะเดินหน้าขัดฝืนการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในสังคม
พวกเขาเลือกแล้วที่จะเดินหน้าล้มประชาธิปไตย
เส้นทางเดินของสี่แผ่นดิน ตลอดเรื่องทำให้เราเห็นว่า
แม่พลอยไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เธอไม่ชิน/ไม่คุ้นกับการเปลี่ยนแปลงสมัยใหม่
เช่น ใส่หมวก เปลี่ยนการปกครอง เธอไม่ชอบการเมือง
เธอบ่นตลอดว่าการเมืองทำให้ครอบครัวของเธอแตกแยก
แน่นอนครับ เธอไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
เพราะการเปลี่ยนไม่เคยให้ผลดีกับครอบครัวของเธอ เหมือนที่สุเทพไม่ชอบ
ประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยให้ผลประโยชน์สุเทพน้อยมาก อย่างน้อยที่สุด
ดูได้จาก ประชาธิปัตย์และสุเทพไม่เคยชนะในระบอบนี้เลย อย่างไรก็ตาม
พวกเขาอาจลืมใคร่ครวญไปว่า มีคนอีกจำนวนมากในประเทศนี้ที่ชอบการเปลี่ยนแปลง
และได้ผลประโยชน์มากมายจากการเปลี่ยนแปลงนี้
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า ผมเข้าใจพลอย เพราะเรารู้ว่า
ทำไมแม่พลอยจึงโหยหาระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์
เพราะทั้งชีวิตเธอได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเจ้าตลอดมา
เธอดำรงชีวิตอย่างมีค่าและความหมาย
เพราะยึดเอาสถาบันกษัตริย์เป็นใจกลางของชีวิต มิพักต้องเอ่ยว่า
เธอใช้ชีวิตในสังคมที่มีความหลากหลายของความต้องการน้อย
แต่ สุเทพไม่ใช่ ?
สุเทพอยู่และเกิดในสมัยที่ประเทศไทยเผชิญหน้ากับความหลากหลาย
และหลากหลายเกินกว่า จะพาพวกเราทั้งประเทศ กลับไปกก/ฝังตัว
อยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์
ในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายเช่นนี้
คำตอบไม่ใช่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ แต่เป็นประชาธิปไตยที่จะช่วยเรา
หาความต้องการร่วมของผู้คน และอยู่ร่วมกันกับคนที่แตกต่างหลากหลายไปจากเรา
ในสี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล บทร้องจบของเรื่องคือ
“เรียนรู้บทเรียนที่ผ่านเลยไป พรุ่งนี้จะต้องสดใส ดั่งมีแสงทองส่องมา”
บทเรียนในสี่แผ่นดินคือ อย่าไปเปลี่ยนของสำคัญในบ้านเมือง
อย่าไปยุ่งกับของสำคัญในบ้านเมือง
หรือทางที่ดีอย่าไปเปลี่ยนอะไรมากเลยให้กับบ้านเมือง
แม้กระทั่งเปลี่ยนการปกครอง เมืองไทยเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์นี่หล่ะที่เป็นคำตอบ อยู่ห่างประชาธิปไตยเข้าไว้จะดี
จะได้ไม่วุ่นวาย
อย่างไรก็ตาม ถ้าเรา จะลอง (อ่าน/ทำความเข้าใจ)
บทละครให้เข้ากับบริบทในสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะอ่านมันอย่างไร ?
บทเรียนใหม่ของเราก็คือ ทุกคนฝืนการเปลี่ยนแปลงไม่ได้
สังคมไทยเดินทางมาไกลเกินกว่าจะปิดตาที่สว่างแล้วของผู้คน
ระบอบการปกครองในวันที่ประเทศมีความแตกต่างหลากหลายเช่นนี้ หนีไม่พ้น
ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่สุเทพ และใครๆ
ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ในทางการเมือง ในแง่นี้ จุดหมายปลายทางของ กปปส.
จึงเหมือนสี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล แต่ขัดกับจุดหมายปลายทางใน Les
Miserables อย่างสิ้นเชิง คุณกรณ์จึงไม่ควรใช้ตัวอย่าง Les Miserables
เพื่อจะเปรียบเทียบกับการชุมนุมของ กปปส. แต่ควรใช้ สี่แผ่นดิน
เดอะมิวสัคัล เป็นตัวอย่างจะดีกว่า เพราะตรงไปตรงมากว่า
ยกเว้นคุณกรณ์จะอยู่ในโลกของจินตนาการ
เกินกว่าจะกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น