
"วีรพงษ์ รามางกูร"
เขียนบทความระบุผู้นำพรรคประชาธิปัตย์เกรงกลัวการ "เลือกตั้ง" และยอมรับว่า
"ศัตรูของพรรคประชาธิปัตย์คือประชาธิปไตย"
ชี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้จัดการเลือกตั้ง หรือกฎหมายเลือกตั้ง แต่
อยู่ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศเขาไม่เลือกมากกว่า
จะให้แก้กฎหมายเลือกตั้งอย่างไรก็ยังแพ้
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยังถูกเกาะกุมโดยกลุ่มผู้นำเก่าที่ล้าสมัย
ยังคิดแบบเดิมๆ ยังใช้วิธีเดิมๆ ในการแข่งขัน
เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจในคอลัมน์
คนเดินตรอกได้นำเสนอบทความ อวสานพรรคประชาธิปัตย์ โดย วีรพงษ์ รามางกูร
ระบุว่า อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย เคยประกาศว่า
"ผมเชื่อในระบอบรัฐสภา" ก็เลยเชื่อว่า
พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคที่เชื่อมั่น เคารพ และศรัทธาในประชาธิปไตย
และเป็นสถาบันการเมืองที่จะพาประเทศชาติสู่ความเป็นชาติผู้นำประชาธิปไตย
อย่างสมบูรณ์ชาติเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเป็นระบบการเมือง
พรรคใหญ่2พรรค เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเคยฝันหวานว่า
เราจะมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคอนุรักษนิยม
ตัวแทนของคนชั้นกลางและคนชั้นสูง
ขณะเดียวกันก็มีพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่เป็นตัวแทนของฝ่ายก้าวหน้า
และจะเป็นตัวแทนของคนชั้นกลางระดับล่างและคนในระดับรากหญ้าที่ต่างช่วยกันนำ
ความเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศชาติทั้ง2พรรคจะต่อสู้ แข่งขันกัน
ในกรอบของประชาธิปไตย ในสนามเลือกตั้ง ผลัดกันแพ้เป็นฝ่ายค้าน
ผลัดกันชนะเป็นรัฐบาล ตามแต่กระแสโลกาภิวัตน์ของสังคมโลก
การเป็นพรรคอนุรักษนิยมไม่ได้เสียหายอะไร
เพราะคนจำนวนมากที่เป็นคนชั้นกลางในเมืองทุกแห่งในโลกก็มีความเป็น
อนุรักษนิยมเป็นจำนวนมาก ไม่แต่คนในเมือง
คนต่างจังหวัดก็มีจำนวนไม่น้อยไปกว่าพวกหัวก้าวหน้าที่อยากเห็นการเปลี่ยน
แปลง แต่จิตวิญญาณของนักการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายต้องเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น
แต่บัดนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้ล้มเลิกความคิด วิสัยทัศน์ ทัศนคติ วาทกรรม
และการกระทำ กลายเป็นพรรคที่สนับสนุนทหาร
สนับสนุนรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและต่อต้านประชาธิปไตยไปเสียหมด
เริ่มจากเป็นพรรคนำ
พรรคแรกของการเป็นพรรคภูมิภาคหรือพรรคภูมิภาคนิยม
หาเสียงในภาคใต้โจมตีคู่ต่อสู้ โดยการปลุกเร้าภูมิภาคนิยม
ดูถูกดูหมิ่นคู่แข่งทางภาคอีสานและเหนือว่าเป็น "ลาว"
ดูถูกหัวหน้าพรรคชาติไทยว่าเป็นจีนเกิดในเมืองจีน
ดูถูกว่าหัวหน้าพรรคความหวังใหม่เป็น "ลาว" ใช้การดูหมิ่น "เชื้อชาติ"
เป็นยุทธวิธีในการหาเสียง
เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ทำสำเร็จเป็นพรรคของ
คนภาคใต้ พรรคเพื่อไทยก็ทำตามและทำได้สำเร็จเป็นพรรคภาคอีสานและภาคเหนือ
พรรคชาติไทยเป็นพรรคภาคกลาง
ซึ่งเป็นอันตรายต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง
ความที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งมา
โดยตลอด30ปี และแพ้หนักมากในยุคนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค
ทั้งที่มีกองทัพและอำนาจเก่ารวมทั้งสื่อมวลชนหลักในกรุงเทพฯ
ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์
เป็นตัวช่วยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเอาชนะในการเลือกตั้งไม่ได้สักที
เพราะความเป็นอนุรักษนิยมของกลุ่มผู้นำพรรคที่ล้าสมัย
ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานจริงมาก่อนประชาธิปัตย์จึงกลัวการเลือกตั้ง
การเป็นพรรคการเมืองที่กลัวการเลือกตั้งจึงเป็นสิ่งที่ฝรั่งเขาเรียกว่าเป็น Paradoxy เมื่อกลัวการเลือกตั้งก็ตั้งป้อมหาเรื่อง
ติเตียนประณามการเลือกตั้ง เห็นการเลือกตั้งเป็นศัตรูของพรรค
พฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็น
พฤติกรรมที่พยายามหลีกเลี่ยงการเลือกตั้งอย่างที่สุดเมื่อต่อต้านหลีกเลี่ยง
ประณามการเลือกตั้งตนก็ไม่มีทางเลือก
ต้องทำตัวไปสู่การเป็นผู้สนับสนุนระบอบการปกครองที่ใช้การแต่งตั้ง
หรือไม่ก็ใช้วิธีสรรหา
ซึ่งเป็นลูกเล่นอย่างหนึ่งของระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
หันไปสู่การสนับสนุนทหาร พูดจาสนับสนุนองค์กรอิสระที่ใคร ๆ ก็รู้กันทั่วว่า
องค์กรอิสระเหล่านี้มีที่มาจากการรัฐประหารของทหาร
หรือกระแสกลุ่มอำนาจเดิมซึ่งไม่ต้องการประชาธิปไตยแทนที่จะปฏิรูปตัวเองที่
เป็นพรรคอนุรักษนิยม แต่ขณะเดียวกันก็ก้าวหน้าได้
ด้วยการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของประชาคมโลก
ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของคนในต่างจังหวัด เลิกใช้วาทกรรมบิดเบือน
กล่าวเท็จในเรื่องข้อกฎหมายและหลักการรัฐธรรมนูญ
ซึ่งมีตัวอย่างให้ยกมาเทียบเคียงได้มากมาย หากต้องการ
ทำไปทำมา
"ศัตรูของพรรคประชาธิปัตย์ก็คือประชาธิปไตย" นั่นเอง หนังสือพิมพ์
Washington Post ของอเมริกาพาดหัวตัวใหญ่ว่า "The Enemy of the Democrat
party of Thailand is Democracy" ซึ่งเป็นความจริง
แม้ว่าแฟนคลับของประชาธิปัตย์อย่างหนังสือพิมพ์กลุ่มเดอะเนชั่นจะออกมาแก้
ตัวให้ก็ตาม
การที่พรรคประชาธิปัตย์จัดชุมนุมใหญ่ต่อ
ต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยโดยวิธีฉ้อฉลของพรรคเพื่อไทยใคร ๆ
ก็เห็นด้วยจนรัฐบาลต้องถอย แต่กลับฉกฉวยโอกาสชุมนุมขับไล่รัฐบาลต่อ
โดยอ้างประชาชนจำนวนมากในกรุงเทพฯว่าเป็น "มวลมหาประชาชน"
ขับไล่รัฐบาลโดยอ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ซึ่งไม่จริง
ผู้ชุมนุมบุกเข้ายึดสถานที่ราชการ ขโมยสิ่งของของราชการ
บังคับขู่เข็ญไม่ให้ข้าราชการทำงาน ตัดน้ำตัดไฟสถานที่ทำการ ข่มขู่ คุกคาม
ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
เสนอตั้งองค์กรทางการเมืองที่ไม่อยู่ในกรอบของกฎหมายและกรอบของประชาธิปไตย
สร้างสถานการณ์รุนแรง
ยั่วยุให้มีความรุนแรงเพื่อกรุยทางให้ทหารทำการปฏิวัติรัฐประหาร
การดำเนินการชุมนุมครั้งนี้
พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้เลย
เพราะดำเนินการโดยแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นสุเทพ ชวน อภิสิทธิ์
ชินวร ถาวร และผู้นำพรรคคนอื่นที่ยึด "ข้างถนน" เป็นเวทีอภิปราย
โจมตีด้วยคำหยาบคายกักขฬะ ใช้วาทกรรมที่โกหกมดเท็จซ้ำ ๆ ซาก
ๆปั้นน้ำเป็นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าโดยมิได้เกรงใจสมาชิกประชาธิปัตย์ที่เขา
เป็น "ผู้ดี" มีจิตใจเป็นธรรมและเป็นนักประชาธิปไตยแม้แต่น้อย
การที่ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์เกรงกลัวการ
"เลือกตั้ง" และยอมรับว่า "ศัตรูของพรรคประชาธิปัตย์คือประชาธิปไตย"
อย่างที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์พาดหัวข่าว
ประชาธิปัตย์ไม่อาจแก้ตัวได้เลย พฤติกรรมที่แสดงว่ากลัวการเลือกตั้งซ้ำ ๆ
ซาก ๆ ก็คือการประกาศ "คว่ำบาตร" การเลือกตั้งปฏิรูปอย่างไร
ถ้าประชาชนเขาไม่เลือก ประชาธิปัตย์ก็แพ้อยู่ดี
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้จัดการเลือกตั้ง หรือกฎหมายเลือกตั้ง
ปัญหาอยู่ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศเขาไม่
เลือกมากกว่า จะให้แก้กฎหมายเลือกตั้งอย่างไรก็ยังแพ้
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยังถูกเกาะกุมโดยกลุ่มผู้นำเก่าที่ล้าสมัย
ยังคิดแบบเดิม ๆ ยังใช้วิธีเดิม ๆ ในการแข่งขัน ที่สำคัญ
เมื่อครั้งเป็นรัฐบาลโดยการช่วยเหลือของกองทัพ
ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าทำงานไม่เป็น คิดไม่เป็น เป็นแค่ทำความเสียหาย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างต่างประเทศ
ทั้งกับเพื่อนบ้านและประเทศอื่น ๆ
ภาพพจน์ของประเทศเสียหายเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
พรรคการเมืองนั้นต้องเอาดีในกรอบของระบอบ
ประชาธิปไตย เงื่อนไขสำคัญของระบอบประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้ง
การมีการเลือกตั้งอาจจะไม่เป็นประชาธิปไตย
แต่การไม่มีการเลือกตั้งนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย
เป็นของแท้ถ้าประชาธิปัตย์เห็นการเลือกตั้งเป็นศัตรูและพยายามต่อสู้ขัดขวาง
ไม่ให้มีการเลือกตั้ง โดยการออกตัวไปเป็น
"เครื่องมือรับใช้สนับสนุนฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย" แต่มีอำนาจแฝง เช่น
กองทัพ องค์กรอิสระ รวมทั้งการได้ขายจิตวิญญาณประชาธิปไตย
เพื่อแลกกับการได้เป็นนายกรัฐมนตรีในระยะเวลาสั้น ๆ ที่ไม่สง่างาม สิ่งต่าง
ๆ เหล่านี้ได้ทำลายพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้วในระยะยาว
การ "คว่ำบาตร"
การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้
เป็นการบังคับตัวเองให้ต่อต้านการเลือกตั้ง ซึ่งถูกประณามไปทั่วโลก
จะมีชมเชยบ้างก็สื่อมวลชนที่ล้าหลังภายในประเทศการที่พรรคคว่ำบาตร
ทำให้ผู้นำพรรคก็ดี สมาชิกที่ภักดีต่อพรรคก็ดี ถูก "บังคับ"
ให้ทำตัวเป็นนักต่อต้านประชาธิปไตยไปโดยปริยาย
ดังจะเห็นได้จากวาทกรรมต่อต้านการเลือกตั้ง ต่อต้านประชาธิปไตยไปโดยปริยาย
วาทกรรมดังกล่าวอย่างไรเสียก็ต้องเป็นวาทกรรมที่เป็นเท็จทั้งในด้านหลักวิชา
และข้อเท็จจริง
ที่สำคัญก็คือบังคับตัวเองให้ขัดขวางต่อต้านองค์กรที่จัดเลือกตั้งคือ
กกต.และกลุ่มชุมนุมต่าง ๆ ให้ต่อต้านขัดขวางการเลือกตั้ง
ซึ่งเป็นการต่อต้านประชาธิปไตยโดยตรง แม้จะพยายามหาเหตุผลมาบิดเบือน
อย่างไรก็ตามถ้า กกต.เกิดถูกบังคับ จะโดยกฎหมาย
หรือความกดดันจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่อย่างหนักจนต้องจัดการเลือก
ตั้งใหม่ได้ ก็จะไม่มีประชาธิปัตย์อยู่ในสภา
จะมีพรรคอื่นมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านแทน และถ้าฝ่ายค้านนั้นมีวิสัยทัศน์
มีทัศนคติ มีวาทกรรมที่อยู่ในกรอบของกฎหมาย อยู่ในกรอบของประชาธิปไตย
เลือกตั้งคราวต่อไป
อย่างน้อยคนกรุงเทพฯอาจจะไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์อีกเลยก็ได้
ถึงเมื่อนั้นประชาธิปัตย์อาจจะกลายเป็นพรรคต่ำสิบไปก็ได้
ถ้ายังยืนกรานไม่เปลี่ยนตัวผู้นำในพรรคที่
เกาะกุมอำนาจในพรรคมากว่า40ปี ยังมีความคิดเดิม ๆ
ทำงานไม่เป็นเหมือนเดิมคิดอะไรไม่เป็นเหมือนเดิม
เอาแต่คิดว่าจะพูดจาถากถางเหน็บแนมปั้นน้ำเป็นตัวทำลายผู้อื่นเพื่อให้ถูกใจ
แฟนคลับ ซึ่งแก่ตัวอายุมากขึ้นทุกวัน ก็เชื่อได้ว่าเลือกตั้งอีกไม่กี่ครั้ง
นอกจากจะไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้วผู้นำฝ่ายค้านก็อาจจะไม่ได้เป็น
ถ้ายังเป็นพรรคที่เชื่อในตัวบุคคล
หรือลัทธิบุคลาธิษฐานอยู่ ไม่ได้เชื่อในระบบ เหมือน ๆ กับพรรคเพื่อไทย
ซึ่งสังคมไทยในขณะนี้ก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ แต่ในอนาคตข้างหน้า
สังคมไทยน่าจะกำลังเปลี่ยนไป
อีกไม่นานความเชื่อในลัทธิบุคลาธิษฐานจะคลายความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ
เพราะบุคคลไม่อาจดำรงคงอยู่ตลอดกาล และเมื่อถึงจุดนั้น
การชูบุคคลเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง ก็น่าจะลดความสำคัญลง
พรรคการเมืองทั้ง 2 ขั้ว ควรจะคิดถึงเรื่องนี้ไว้เสียแต่เนิ่น ๆ
การใช้กลเม็ดในการหาเสียงหรือดำเนินการทาง
การเมืองด้วยการไม่ลงแข่งขันเลือกตั้ง เป็นยุทธวิธีนอกกรอบประชาธิปไตย
นอกระบบพรรคการเมือง เท่ากับเป็นการต่อต้านพลวัตทางการเมือง
เพราะการเลือกตั้งเป็นบทเรียนและประสบการณ์ของพรรคการเมือง เป็นวิธีการรับ
"ความรู้สึก"
ของประชาชนฐานเสียงของตัวเองอย่างแท้จริงว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
แล้วอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร
by
Phakaphong
28 มกราคม 2557 เวลา 08:36 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น