
ที่มา:มติชนรายวัน 14มกราคม 2557
ผมก็ได้แต่หวังว่าจะสามารถตีพิมพ์งานชิ้นนี้ได้ก่อนที่การ
รัฐประหารจะเกิดขึ้นและอยากจะขอย้ำว่าการทำรัฐประหารนั้นเป็นความรุนแรงชนิด
หนึ่งและเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตย
เพราะไม่เคารพความแตกต่างทางความคิดและสิทธิเสรีภาพซึ่งเป็นฐานของเสรีนิยม
ประชาธิปไตย รวมทั้งเป็นการทำลายกฎหมายและหลักนิติธรรม
และที่สำคัญก็คือเป็นการนิรโทษกรรมสุดซอยแบบหนึ่งด้วย
เพราะคนที่ทำรัฐประหารเมื่อทำสำเร็จเขาก็จะได้รับการยกโทษจากความผิด
ซึ่งถือเป็นการคอร์รัปชั่นทางอำนาจแบบหนึ่งเช่นกัน
งานเขียนเรื่องของการรัฐประหารในประเทศไทยนั้นมีด้วยกันหลายกลุ่มงานอาทิงาน เขียนที่อธิบายและนับจำนวนว่าการรัฐประหารในบ้านเรามีมากี่ครั้งแล้ว งานเขียนที่ว่าด้วยเรื่องของข้อถกเถียงที่ว่าด้วยเรื่องของความชอบธรรมและ ข้ออ้างในการทำรัฐประหาร งานเขียนที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของทหารในทางการเมืองที่มีจุดสูงสุดของแต่ ละครั้งนั้นด้วยการทำรัฐประหาร งานเขียนที่ว่าด้วยการตีความข้อมูลว่าใครอยู่เบื้องหลังในการทำรัฐประหาร บ้าง ตลอดจนงานเขียนที่ว่าด้วยเรื่องของการเตรียมการ "เขียน" รัฐประหาร (หรือออกบัตรเชิญ) โดยกลุ่มพลังต่างๆ ในสังคมที่อาจไม่ใช่ตัวทหารเอง
งานชิ้นนี้ของผมจะเฉพาะเจาะจงไปที่การหยิบยกเอาข้อคิดบางประการที่พบ จาก"คู่มือการอบรมการต่อต้านรัฐประหาร"(Training Manual for Nonviolent Defense Against the Coup d′Etat) โดย Richard K. Taylor ที่จัดพิมพ์โดย สถาบันการไม่ใช้ความรุนแรง (Nonviolence International) เมื่อ ค.ศ.2011 (เข้าถึงได้ที่ http://nonviolenceinternational.net/)
ใช่ว่าการนำเอาเรื่องการต่อต้านรัฐประหารจากตำราระดับนานาชาตินั้นจะสามารถ ใช้ในบ้านเราได้อย่างตรงไปตรงมาด้วยว่าเราก็คงจะรู้ๆกันว่าการทำรัฐประหารใน บ้านเราแต่ละครั้งนั้นย่อมมีลักษณะของความเป็นไทยบางประการอยู่ในนั้น แต่ผมก็ยังคิดว่าการนำเอาเรื่องของการต่อต้านรัฐประหารที่มีการอบรมกันใน ระดับนานาชาติมาเล่าสู่กันฟังนั้นน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราสามารถสร้าง สรรค์การต่อต้านรัฐประหารได้โดยไม่จำเป็นต้องคิดในลักษณะของสูตรตายตัวเสมอ ไป (นั่นก็คืองานเขียนชิ้นนี้ผมจะไม่พูดถึง "เทคนิค" ที่ตายตัว แต่ต้องการทำให้เกิดควมเข้าใจ "ยุทธศาสตร์" ที่สำคัญที่จะสามารถกระจายตัวไปต่อต้านรัฐประหารได้) หรือคิดแต่ว่าของเรานั้นแปลกเสียจนไม่กล้าจะคิดอะไรไปทางอื่นได้
ดังนั้น จึงต้องขอเริ่มจากเรื่องแรกก่อน ก็คือ การรัฐประหารนั้นไม่ได้จะทำสำเร็จในทุกๆ ครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องตั้งหลักกันให้ดี อย่าเพิ่งท้อแท้ เมื่อมันเกิดขึ้น หรือแม้ว่ารู้สึกว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น หรือแม้แต่มันเกิดขึ้นมาสักพักใหญ่แล้วและดำเนินตัวเองต่อไป เราก็ต้องอย่าสูญสิ้นความหวังไปเสียหมด
เรื่องถัดมาก็คือ การรัฐประหารนั้นมีการเตรียมการ และการต่อต้านรัฐประหารก็สามารถเตรียมการได้ และทำได้เช่นกัน และที่สำคัญยิ่งก็คือ นอกจากอย่าไปท้อแท้ และเตรียมการต้านได้แล้ว การต่อต้านรัฐประหารที่สำเร็จได้หลายครั้งในโลกใบนี้ก็เกิดขึ้นได้ด้วยการ ไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่เกิดความสูญเสียแล้ว ยังเกิดผลดีต่อประชาธิปไตยในระยะยาวด้วย
เรื่องที่สามก็คือ การรัฐประหารนั้นโดยแก่นแท้ไม่ได้กระทำสำเร็จด้วยการใช้ทหารหรืออาวุธและ ความรุนแรง แต่กระทำสำเร็จได้ด้วยการทำให้ผู้คนเชื่อฟังและยินยอมที่จะปฏิบัติตาม ดังนั้น หัวใจสำคัญของการต่อต้านการทำรัฐประหารก็คือการไม่ยอมทำตามที่คณะรัฐประหาร ต้องการ นั่นก็คือการที่ผู้ปกครองนั้นจะปกครองได้ก็จะต้องทำให้ประชาชนนั้นยอม ดังนั้น เมื่อประชาชนไม่ยอม การปกครองนั้นก็เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนไม่ได้
โดยหลักสากลที่เข้าใจกันนั้น การทำรัฐประหารนั้น หมายถึงการทำให้รัฐนั้นถูกทำลายลง (ระเบิดหรือเป่าหรือพัดทำลายรัฐไป) ดังนั้น โดยตัวของคำมันเองแล้วภาษาไทยก็แปลได้ตรงตัวทีเดียว จึงย่อมเข้าใจได้ว่าทำไมคณะรัฐประหารเมื่อทำการ "ประหารรัฐ" ย่อมจะต้องหาถ้อยคำสวยหรูมาตั้งชื่อใหม่ให้ดูโหดร้ายน้อยลง เช่น ปฏิรูป ปฏิวัติ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำลายสถาบันการเมืองที่เรียกว่า "รัฐ" ลงนั่นแหละครับ
ในแง่ของคำจำกัดความที่ผูกกับขั้นตอนและวิธีการแล้ว รัฐประหารก็คือการล้มรัฐบาลอย่างรวดเร็วและใช้กำลังบังคับโดยกลุ่มคนที่วาง แผนกันมา (เป็นอย่างดี) โดยที่คนที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านนั้นต่อต้านไม่สำเร็จและรู้สึกว่าตนไม่พร้อม และไม่มีอำนาจในการต่อต้าน
หัวใจสำคัญของการทำรัฐประหารจึงอยู่ที่การวางแผนลับการใช้กองกำลังที่ติด อาวุธ(ซึ่งมักหมายถึงกองทัพ) และใช้ความรวดเร็วในการยึดอำนาจ แต่นั่นคือส่วนที่เรามักจะสนใจและถูกรายงานในแง่ของข่าวลือ หรือเบื้องหลังการทำรัฐประหาร แต่สิ่งที่สำคัญมากแต่พูดกันน้อยก็คือ การสลายการต่อต้าน (neutralization) ซึ่งมีทั้งความหมายของการไปหาแนวร่วม หรือการปิดกั้นไม่ให้เกิดโอกาสในการต่อต้านและไม่เห็นด้วยในการทำรัฐประหาร ทั้งก่อนการรัฐประหาร ในช่วงการรัฐประหาร และในช่วงที่รัฐประหารเกิดขึ้นแล้ว การสลายการต่อต้านนี้เองที่ทำให้ไม่ต้องเผชิญหน้าหรือต่อสู้กับฝ่ายที่ไม่ เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร
การสลายการต่อต้านนั้นอาจแบ่งออกเป็นทั้งในแง่ของการวิเคราะห์แยกแยะฝักฝ่าย และแนวร่วมในหมู่กองกำลัง(ทหาร) เอง ว่าพวกไหนควรจะมาร่วม พวกไหนควรจะไม่ดึงเข้ามาร่วมหรือไปจัดการกับพวกที่มีแนวโน้มที่จะไม่มาเข้า ร่วม แต่ที่สำคัญอีกมุมหนึ่งก็คือการสลายการต่อต้านในทางการเมืองและสังคม อาทิ ไปหาแนวร่วม (และแนวร่วมแบบที่ไม่ต้านคือขออยู่เฉยๆ) ในช่วงก่อนรัฐประหาร หรือเมื่อทำการรัฐประหารก็จัดการผูกขาดการสื่อสารต่างๆ ผ่านการยึดสื่อ และการทำให้ผู้นำกลุ่มทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งปัญญาชนออกมาสนับสนุน หรือไม่ต้าน (อาจผ่านการโดดเดี่ยว จับกุม หรือลอบสังหาร หรือขู่) และการตั้งรัฐบาลรักษาการที่ดูว่ามาจากหลายภาคส่วน (แต่ที่สำคัญคือทุกส่วนนั้นต้องภักดีต่อคณะรัฐประหาร)
การสลายการต่อต้านนั้นไม่ใช่มีแต่การยึดสื่อและควบคุมการสื่อสารแต่ยังรวมไป ถึงการควบคุมสถานที่ราชการและจำกัดการเดินทางของผู้คนด้วย (ไม่งั้นคนจะเดินทางมาต่อต้าน หรือวางแผนต่อต้าน ดังนั้น การทำรัฐประหารย่อมจะต้องห้ามการเดินทาง อาทิ การประกาศเคอร์ฟิว) รวมไปถึงการ "แสดง" แสนยานุภาพของกองกำลังตามถนนหนทาง เพื่อให้เกิดภาพของการคิดไปว่าคณะรัฐประหารสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แล้ว
เขียนมาถึงตรงนี้ก็อย่าเพิ่งคิดว่าโหเขาทำขนาดนี้แล้วจะต้านเขาไหวเหรอก็ จะบอกว่าไหวครับ ต่างประเทศเขาต้านกันมาเยอะแล้ว โดยเฉพาะที่สำคัญก็คือในเยอรมนีเมื่อปี 1920 ฝรั่งเศส เมื่อปี 1961 หรือรัสเซียเมื่อปี 1991 ทั้งนั้นหัวใจสำคัญก็คือการแสดงออกซึ่งการ "ไม่ยอม" ("No" to the Coup) ต่อการรัฐประหารนั่นแหละครับ และที่สำคัญก็คือการต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรง
หัวใจของการต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงประกอบด้วยแก้วสามประการ
หนึ่งคือการไม่ให้ความร่วมมือกับการทำรัฐประหาร(RESIST) หมายถึง การประท้วงและล้อเลียนผู้นำการทำรัฐประหารทั้งหลาย การแจกจ่ายข้อมูลถึงการขัดขืนอย่างอารยะและไม่ใช้ความรุนแรงต่อการรัฐประหาร การไม่ยินยอมต่อการบังคับให้เสนอข่าวด้านเดียว อาจทำได้ผ่านการตีพิมพ์กระดาษเปล่ามากกว่าเนื้อหาที่ต้องการให้พิมพ์ หรือทำให้จอดำในโทรทัศน์ รวมกระทั่งการออกมานอกบ้านในกรณีที่มีเคอร์ฟิว รวมทั้งการนัดหยุดงาน ไม่มาทำงาน หรือในบางกรณีเช่นที่รัสเซียนั้นมีประชาชนออกมายืนล้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เอาไว้
สองคือ การแสดงออกด้วยความเป็นมิตรต่อผู้ที่กระทำรัฐประหาร (GOODWILL) การไม่ให้ความร่วมมือกับการทำรัฐประการโดยการไม่ใช้ความรุนแรงนั้นจะสำเร็จ ได้ที่ผ่านมาจะต้องมีเงื่อนไขของการแสดงออกด้วยความเป็นมิตรไม่โกรธไม่ เกลียดต่อผู้ที่ถืออาวุธเช่น การพยายามทักทายและพูดคุยจับไม้จับมือกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ถูกสั่งให้ออกมา ยึดอำนาจ ในกรณีของผู้ต่อต้านที่เป็นผู้หญิง ในหลายกรณีเขามอบขนม อาหาร บุหรี่ ดอกไม้ หรือแม้กระทั่ง (ส่ง) จูบและยิ้มให้กับคณะทหารและขอร้องไม่ให้ยิงลูกหลานของพวกเขา และขอให้เมตตาปรานีต่อประชาชน
ที่สำคัญบรรดาบุคคลที่ออกมาพยายามเป็นมิตรกับทหารนั้นก็พยายามที่จะบอกกัน เองด้วยว่าทหารเหล่านี้ก็เป็นลูกเป็นหลานของเราอย่าไปใช้ความรุนแรงกับเขา
สามคือการยอมรับที่จะต้องเผชิญกับความทุกข์และความยากลำบาก (SUFFERING) การเคลื่อนไหวที่อ้างอิงสันติวิธีและการไม่ใช้ความรุนแรงในอดีตนั้น มักจะมีการฝึกฝนในเรื่องของความอดทนต่อความรุนแรง ความทุกข์และความยากลำบาก โดยจะไม่ยอมใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ การฝึกความกล้าหายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกับความบ้าบิ่นหรือไม่กลัวอย่าง เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่หมายถึงการไม่ยอมตอบโต้ด้วยความรุนแรงและเดินหน้าต่อไปด้วยการไม่ร่วมมือ เป็นมิตร มีสติ และไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรงหรือใช้การรับความรุนแรงเป็นเงื่อนไขที่จะตอบโต้ กลับด้วยความรุนแรง
ทั้งนี้เพราะผู้ที่มีอาวุธหรือปืน(ทหาร) ฯลฯ มักจะใช้อาวุธในการฆ่าหรือทำร้ายคนอื่นเมื่อเขาเชื่อว่าคนที่เผชิญหน้ากับ เขานั้นเกลียดเขาและต้องการฆ่าเขาแต่ถ้าเราแสดงความเป็นมิตรกับเขาก็จะเป็น เรื่องยากเย็นหรือปั่นป่วน/ค้านในจิตใจถ้าเขาจะต้องใช้กำลังและอาวุธในการ จัดการและในเกมการต่อสู้นี้เมื่อทหารไม่เห็นความรุนแรงที่เขาถูกฝึกมาให้คาด หวังว่าจะต้องเจอ เขาไม่รู้สึกว่าถูกกดดันข่มขู่ และไม่เห็นเพื่อนร่วมรบของเขาล้ม (ตาย) ลง เขาก็จะรู้สึกยากลำบากในการที่จะตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรงกับผู้ที่ต่อ ต้านเขาด้วยความเป็นมิตรอย่างอดทนและไม่รุนแรงนักต่อสู้ที่ไม่ต้องการใช้ ความรุนแรงทางกายภาพเชื่อว่าคนที่ถืออาวุธและถูกสั่งให้ใช้ความรุนแรงจะ เริ่มเรียนรู้
และเห็นใจผู้ที่ออกมาแสดงความเป็นมิตรกับเขาและเริ่มสงสัยกับคำสั่งที่มี ลักษณะโฆษณาชวนเชื่อที่เขาได้มาจากคณะรัฐประหารและเป็นไปได้ในหลายครั้งที่ ทหารเหล่านั้นจะปฏิเสธคำสั่งจากเบื้องบนเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่เขาเห็นตรง หน้านั้นขัดกับภาพที่เขาถูกปลูกฝังมา
ประโยชน์อีกประการหนึ่งของการไม่ใช้ความรุนแรงในการต่อต้านกับการรัฐประหาร ก็เพราะเมื่อเราใช้ความรุนแรงในการต่อต้านกับการรัฐประหารจำนวนของคนที่จะ ต่อสู้จะถูกจำกัดลงด้วยจำนวนของอาวุธที่เรามีและด้วยจำนวนคนที่สามารถใช้ อาวุธเหล่านั้นได้ (ซึ่งย่อมต้องมีน้อยกว่าคนที่ถูกฝึกมารบซึ่งทำรัฐประการเสียเอง) แต่เมื่อต่อต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงนั้นคนจำนวนมากย่อมสามารถ เข้าร่วมได้ โดยการไม่ยอมทำตามสิ่งที่คณะรัฐประหารต้องการ และจำนวนสามารถเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ ซึ่งจะลดทอนทั้งความชอบธรรมและการไม่ให้ความร่วมมือกับคณะรัฐประหาร และย่อมจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของคณะรัฐประหารในสายตาของนานาชาติด้วย
นอกจากนั้นการต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงนั้นยังมีรากฐาน ประชาธิปไตยอยู่ด้วยเพราะไม่ต้องฟังคำสั่งที่ตายตัวจากเบื้องบนแต่เป็นการ กระจายตัวด้วยหลักการการมีส่วนร่วมที่เน้นความสร้างสรรค์และหลากหลาย และสะท้อนความเป็นมิตร ไม่เกลียด ไม่โกรธ และไม่กลัว ต่อผู้ที่เราเผชิญหน้าด้วยสติที่เรามี และเป็นการหยิบยื่นความเคารพในความเป็นมนุษย์ให้กับผู้ที่เราต่อต้านด้วย
ตัวอย่างของการต้านรัฐประหารโดยไม่ใช้ความรุนแรงด้วยความเป็นมิตรและสติรวม ทั้งเผชิญกับความทุกข์ยากก็คือการเข้าใจว่าหากจะออกไปเผชิญหน้ากับกองกำลัง นั้นก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมาก เช่น การไปกันไม่ให้กองกำลังยึดครองอาคารบางแห่ง ทั้งที่หัวใจของการต่อต้านนั้นจริงๆ ไม่ใช่ "อาคาร" แต่เป็น "สถาบันทางสังคม" ต่างๆ อาทิ แม้ว่าจะปกป้องโรงเรียน ตึกรัฐสภา หรือสถานีวิทยุโทรทัศน์ไม่ได้ แต่เมื่อการสอนเปลี่ยนที่ การทำงานเปลี่ยนที่ และการออกอากาศยุติหรือเปลี่ยนที่ไป ก็ให้ถือว่าทำสำเร็จ โดยเราต้องถามคำถามสำคัญว่าการทำรัฐประหารนั้นเขาตั้งใจ "ยึด" เอาสถาบันอะไรของเราไปบ้าง และการปกป้องสถาบันเหล่านั้นจะทำได้อย่างไรโดยไม่ยึดติดกับการเผชิญหน้าที่ นำไปสู่ความรุนแรง แต่เป็นการต่อสู้ทางสัญลักษณ์ที่คณะรัฐประหาร (รับ) รู้ (อยู่แก่ใจ) ว่าเราไม่ยอมให้เกิดสิ่งนั้นได้
และที่สำคัญประการสุดท้ายก็คือการขยายผลของการต้านรัฐประการไปยังกลุ่มคน ที่เชื่อว่าอยู่ตรงกลางๆไม่ต้านและไม่หนุนให้เข้ามาเป็นพวกกับเราในการต้าน รัฐประหารให้ได้ และด้วยการต้านรัฐประหารที่ไม่ใช้ความรุนแรง โดยไม่ร่วมมือ (อย่าง) เป็นมิตร เข้าใจความยากลำบาก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัวและต่อต้านอย่างมีสตินี้เองที่เราสามารถเพิ่มสถิติของการทำรัฐประหาร ที่ล้มเหลวได้อีกครั้งหนึ่งทั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยและในประวัติศาสตร์ โลกครับผม
งานเขียนเรื่องของการรัฐประหารในประเทศไทยนั้นมีด้วยกันหลายกลุ่มงานอาทิงาน เขียนที่อธิบายและนับจำนวนว่าการรัฐประหารในบ้านเรามีมากี่ครั้งแล้ว งานเขียนที่ว่าด้วยเรื่องของข้อถกเถียงที่ว่าด้วยเรื่องของความชอบธรรมและ ข้ออ้างในการทำรัฐประหาร งานเขียนที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของทหารในทางการเมืองที่มีจุดสูงสุดของแต่ ละครั้งนั้นด้วยการทำรัฐประหาร งานเขียนที่ว่าด้วยการตีความข้อมูลว่าใครอยู่เบื้องหลังในการทำรัฐประหาร บ้าง ตลอดจนงานเขียนที่ว่าด้วยเรื่องของการเตรียมการ "เขียน" รัฐประหาร (หรือออกบัตรเชิญ) โดยกลุ่มพลังต่างๆ ในสังคมที่อาจไม่ใช่ตัวทหารเอง
งานชิ้นนี้ของผมจะเฉพาะเจาะจงไปที่การหยิบยกเอาข้อคิดบางประการที่พบ จาก"คู่มือการอบรมการต่อต้านรัฐประหาร"(Training Manual for Nonviolent Defense Against the Coup d′Etat) โดย Richard K. Taylor ที่จัดพิมพ์โดย สถาบันการไม่ใช้ความรุนแรง (Nonviolence International) เมื่อ ค.ศ.2011 (เข้าถึงได้ที่ http://nonviolenceinternational.net/)
ใช่ว่าการนำเอาเรื่องการต่อต้านรัฐประหารจากตำราระดับนานาชาตินั้นจะสามารถ ใช้ในบ้านเราได้อย่างตรงไปตรงมาด้วยว่าเราก็คงจะรู้ๆกันว่าการทำรัฐประหารใน บ้านเราแต่ละครั้งนั้นย่อมมีลักษณะของความเป็นไทยบางประการอยู่ในนั้น แต่ผมก็ยังคิดว่าการนำเอาเรื่องของการต่อต้านรัฐประหารที่มีการอบรมกันใน ระดับนานาชาติมาเล่าสู่กันฟังนั้นน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราสามารถสร้าง สรรค์การต่อต้านรัฐประหารได้โดยไม่จำเป็นต้องคิดในลักษณะของสูตรตายตัวเสมอ ไป (นั่นก็คืองานเขียนชิ้นนี้ผมจะไม่พูดถึง "เทคนิค" ที่ตายตัว แต่ต้องการทำให้เกิดควมเข้าใจ "ยุทธศาสตร์" ที่สำคัญที่จะสามารถกระจายตัวไปต่อต้านรัฐประหารได้) หรือคิดแต่ว่าของเรานั้นแปลกเสียจนไม่กล้าจะคิดอะไรไปทางอื่นได้
ดังนั้น จึงต้องขอเริ่มจากเรื่องแรกก่อน ก็คือ การรัฐประหารนั้นไม่ได้จะทำสำเร็จในทุกๆ ครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องตั้งหลักกันให้ดี อย่าเพิ่งท้อแท้ เมื่อมันเกิดขึ้น หรือแม้ว่ารู้สึกว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น หรือแม้แต่มันเกิดขึ้นมาสักพักใหญ่แล้วและดำเนินตัวเองต่อไป เราก็ต้องอย่าสูญสิ้นความหวังไปเสียหมด
เรื่องถัดมาก็คือ การรัฐประหารนั้นมีการเตรียมการ และการต่อต้านรัฐประหารก็สามารถเตรียมการได้ และทำได้เช่นกัน และที่สำคัญยิ่งก็คือ นอกจากอย่าไปท้อแท้ และเตรียมการต้านได้แล้ว การต่อต้านรัฐประหารที่สำเร็จได้หลายครั้งในโลกใบนี้ก็เกิดขึ้นได้ด้วยการ ไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่เกิดความสูญเสียแล้ว ยังเกิดผลดีต่อประชาธิปไตยในระยะยาวด้วย
เรื่องที่สามก็คือ การรัฐประหารนั้นโดยแก่นแท้ไม่ได้กระทำสำเร็จด้วยการใช้ทหารหรืออาวุธและ ความรุนแรง แต่กระทำสำเร็จได้ด้วยการทำให้ผู้คนเชื่อฟังและยินยอมที่จะปฏิบัติตาม ดังนั้น หัวใจสำคัญของการต่อต้านการทำรัฐประหารก็คือการไม่ยอมทำตามที่คณะรัฐประหาร ต้องการ นั่นก็คือการที่ผู้ปกครองนั้นจะปกครองได้ก็จะต้องทำให้ประชาชนนั้นยอม ดังนั้น เมื่อประชาชนไม่ยอม การปกครองนั้นก็เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนไม่ได้
โดยหลักสากลที่เข้าใจกันนั้น การทำรัฐประหารนั้น หมายถึงการทำให้รัฐนั้นถูกทำลายลง (ระเบิดหรือเป่าหรือพัดทำลายรัฐไป) ดังนั้น โดยตัวของคำมันเองแล้วภาษาไทยก็แปลได้ตรงตัวทีเดียว จึงย่อมเข้าใจได้ว่าทำไมคณะรัฐประหารเมื่อทำการ "ประหารรัฐ" ย่อมจะต้องหาถ้อยคำสวยหรูมาตั้งชื่อใหม่ให้ดูโหดร้ายน้อยลง เช่น ปฏิรูป ปฏิวัติ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำลายสถาบันการเมืองที่เรียกว่า "รัฐ" ลงนั่นแหละครับ
ในแง่ของคำจำกัดความที่ผูกกับขั้นตอนและวิธีการแล้ว รัฐประหารก็คือการล้มรัฐบาลอย่างรวดเร็วและใช้กำลังบังคับโดยกลุ่มคนที่วาง แผนกันมา (เป็นอย่างดี) โดยที่คนที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านนั้นต่อต้านไม่สำเร็จและรู้สึกว่าตนไม่พร้อม และไม่มีอำนาจในการต่อต้าน
หัวใจสำคัญของการทำรัฐประหารจึงอยู่ที่การวางแผนลับการใช้กองกำลังที่ติด อาวุธ(ซึ่งมักหมายถึงกองทัพ) และใช้ความรวดเร็วในการยึดอำนาจ แต่นั่นคือส่วนที่เรามักจะสนใจและถูกรายงานในแง่ของข่าวลือ หรือเบื้องหลังการทำรัฐประหาร แต่สิ่งที่สำคัญมากแต่พูดกันน้อยก็คือ การสลายการต่อต้าน (neutralization) ซึ่งมีทั้งความหมายของการไปหาแนวร่วม หรือการปิดกั้นไม่ให้เกิดโอกาสในการต่อต้านและไม่เห็นด้วยในการทำรัฐประหาร ทั้งก่อนการรัฐประหาร ในช่วงการรัฐประหาร และในช่วงที่รัฐประหารเกิดขึ้นแล้ว การสลายการต่อต้านนี้เองที่ทำให้ไม่ต้องเผชิญหน้าหรือต่อสู้กับฝ่ายที่ไม่ เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร
การสลายการต่อต้านนั้นอาจแบ่งออกเป็นทั้งในแง่ของการวิเคราะห์แยกแยะฝักฝ่าย และแนวร่วมในหมู่กองกำลัง(ทหาร) เอง ว่าพวกไหนควรจะมาร่วม พวกไหนควรจะไม่ดึงเข้ามาร่วมหรือไปจัดการกับพวกที่มีแนวโน้มที่จะไม่มาเข้า ร่วม แต่ที่สำคัญอีกมุมหนึ่งก็คือการสลายการต่อต้านในทางการเมืองและสังคม อาทิ ไปหาแนวร่วม (และแนวร่วมแบบที่ไม่ต้านคือขออยู่เฉยๆ) ในช่วงก่อนรัฐประหาร หรือเมื่อทำการรัฐประหารก็จัดการผูกขาดการสื่อสารต่างๆ ผ่านการยึดสื่อ และการทำให้ผู้นำกลุ่มทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งปัญญาชนออกมาสนับสนุน หรือไม่ต้าน (อาจผ่านการโดดเดี่ยว จับกุม หรือลอบสังหาร หรือขู่) และการตั้งรัฐบาลรักษาการที่ดูว่ามาจากหลายภาคส่วน (แต่ที่สำคัญคือทุกส่วนนั้นต้องภักดีต่อคณะรัฐประหาร)
การสลายการต่อต้านนั้นไม่ใช่มีแต่การยึดสื่อและควบคุมการสื่อสารแต่ยังรวมไป ถึงการควบคุมสถานที่ราชการและจำกัดการเดินทางของผู้คนด้วย (ไม่งั้นคนจะเดินทางมาต่อต้าน หรือวางแผนต่อต้าน ดังนั้น การทำรัฐประหารย่อมจะต้องห้ามการเดินทาง อาทิ การประกาศเคอร์ฟิว) รวมไปถึงการ "แสดง" แสนยานุภาพของกองกำลังตามถนนหนทาง เพื่อให้เกิดภาพของการคิดไปว่าคณะรัฐประหารสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แล้ว
เขียนมาถึงตรงนี้ก็อย่าเพิ่งคิดว่าโหเขาทำขนาดนี้แล้วจะต้านเขาไหวเหรอก็ จะบอกว่าไหวครับ ต่างประเทศเขาต้านกันมาเยอะแล้ว โดยเฉพาะที่สำคัญก็คือในเยอรมนีเมื่อปี 1920 ฝรั่งเศส เมื่อปี 1961 หรือรัสเซียเมื่อปี 1991 ทั้งนั้นหัวใจสำคัญก็คือการแสดงออกซึ่งการ "ไม่ยอม" ("No" to the Coup) ต่อการรัฐประหารนั่นแหละครับ และที่สำคัญก็คือการต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรง
หัวใจของการต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงประกอบด้วยแก้วสามประการ
หนึ่งคือการไม่ให้ความร่วมมือกับการทำรัฐประหาร(RESIST) หมายถึง การประท้วงและล้อเลียนผู้นำการทำรัฐประหารทั้งหลาย การแจกจ่ายข้อมูลถึงการขัดขืนอย่างอารยะและไม่ใช้ความรุนแรงต่อการรัฐประหาร การไม่ยินยอมต่อการบังคับให้เสนอข่าวด้านเดียว อาจทำได้ผ่านการตีพิมพ์กระดาษเปล่ามากกว่าเนื้อหาที่ต้องการให้พิมพ์ หรือทำให้จอดำในโทรทัศน์ รวมกระทั่งการออกมานอกบ้านในกรณีที่มีเคอร์ฟิว รวมทั้งการนัดหยุดงาน ไม่มาทำงาน หรือในบางกรณีเช่นที่รัสเซียนั้นมีประชาชนออกมายืนล้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เอาไว้
สองคือ การแสดงออกด้วยความเป็นมิตรต่อผู้ที่กระทำรัฐประหาร (GOODWILL) การไม่ให้ความร่วมมือกับการทำรัฐประการโดยการไม่ใช้ความรุนแรงนั้นจะสำเร็จ ได้ที่ผ่านมาจะต้องมีเงื่อนไขของการแสดงออกด้วยความเป็นมิตรไม่โกรธไม่ เกลียดต่อผู้ที่ถืออาวุธเช่น การพยายามทักทายและพูดคุยจับไม้จับมือกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ถูกสั่งให้ออกมา ยึดอำนาจ ในกรณีของผู้ต่อต้านที่เป็นผู้หญิง ในหลายกรณีเขามอบขนม อาหาร บุหรี่ ดอกไม้ หรือแม้กระทั่ง (ส่ง) จูบและยิ้มให้กับคณะทหารและขอร้องไม่ให้ยิงลูกหลานของพวกเขา และขอให้เมตตาปรานีต่อประชาชน
ที่สำคัญบรรดาบุคคลที่ออกมาพยายามเป็นมิตรกับทหารนั้นก็พยายามที่จะบอกกัน เองด้วยว่าทหารเหล่านี้ก็เป็นลูกเป็นหลานของเราอย่าไปใช้ความรุนแรงกับเขา
สามคือการยอมรับที่จะต้องเผชิญกับความทุกข์และความยากลำบาก (SUFFERING) การเคลื่อนไหวที่อ้างอิงสันติวิธีและการไม่ใช้ความรุนแรงในอดีตนั้น มักจะมีการฝึกฝนในเรื่องของความอดทนต่อความรุนแรง ความทุกข์และความยากลำบาก โดยจะไม่ยอมใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ การฝึกความกล้าหายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกับความบ้าบิ่นหรือไม่กลัวอย่าง เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่หมายถึงการไม่ยอมตอบโต้ด้วยความรุนแรงและเดินหน้าต่อไปด้วยการไม่ร่วมมือ เป็นมิตร มีสติ และไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรงหรือใช้การรับความรุนแรงเป็นเงื่อนไขที่จะตอบโต้ กลับด้วยความรุนแรง
ทั้งนี้เพราะผู้ที่มีอาวุธหรือปืน(ทหาร) ฯลฯ มักจะใช้อาวุธในการฆ่าหรือทำร้ายคนอื่นเมื่อเขาเชื่อว่าคนที่เผชิญหน้ากับ เขานั้นเกลียดเขาและต้องการฆ่าเขาแต่ถ้าเราแสดงความเป็นมิตรกับเขาก็จะเป็น เรื่องยากเย็นหรือปั่นป่วน/ค้านในจิตใจถ้าเขาจะต้องใช้กำลังและอาวุธในการ จัดการและในเกมการต่อสู้นี้เมื่อทหารไม่เห็นความรุนแรงที่เขาถูกฝึกมาให้คาด หวังว่าจะต้องเจอ เขาไม่รู้สึกว่าถูกกดดันข่มขู่ และไม่เห็นเพื่อนร่วมรบของเขาล้ม (ตาย) ลง เขาก็จะรู้สึกยากลำบากในการที่จะตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรงกับผู้ที่ต่อ ต้านเขาด้วยความเป็นมิตรอย่างอดทนและไม่รุนแรงนักต่อสู้ที่ไม่ต้องการใช้ ความรุนแรงทางกายภาพเชื่อว่าคนที่ถืออาวุธและถูกสั่งให้ใช้ความรุนแรงจะ เริ่มเรียนรู้
และเห็นใจผู้ที่ออกมาแสดงความเป็นมิตรกับเขาและเริ่มสงสัยกับคำสั่งที่มี ลักษณะโฆษณาชวนเชื่อที่เขาได้มาจากคณะรัฐประหารและเป็นไปได้ในหลายครั้งที่ ทหารเหล่านั้นจะปฏิเสธคำสั่งจากเบื้องบนเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่เขาเห็นตรง หน้านั้นขัดกับภาพที่เขาถูกปลูกฝังมา
ประโยชน์อีกประการหนึ่งของการไม่ใช้ความรุนแรงในการต่อต้านกับการรัฐประหาร ก็เพราะเมื่อเราใช้ความรุนแรงในการต่อต้านกับการรัฐประหารจำนวนของคนที่จะ ต่อสู้จะถูกจำกัดลงด้วยจำนวนของอาวุธที่เรามีและด้วยจำนวนคนที่สามารถใช้ อาวุธเหล่านั้นได้ (ซึ่งย่อมต้องมีน้อยกว่าคนที่ถูกฝึกมารบซึ่งทำรัฐประการเสียเอง) แต่เมื่อต่อต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงนั้นคนจำนวนมากย่อมสามารถ เข้าร่วมได้ โดยการไม่ยอมทำตามสิ่งที่คณะรัฐประหารต้องการ และจำนวนสามารถเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ ซึ่งจะลดทอนทั้งความชอบธรรมและการไม่ให้ความร่วมมือกับคณะรัฐประหาร และย่อมจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของคณะรัฐประหารในสายตาของนานาชาติด้วย
นอกจากนั้นการต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงนั้นยังมีรากฐาน ประชาธิปไตยอยู่ด้วยเพราะไม่ต้องฟังคำสั่งที่ตายตัวจากเบื้องบนแต่เป็นการ กระจายตัวด้วยหลักการการมีส่วนร่วมที่เน้นความสร้างสรรค์และหลากหลาย และสะท้อนความเป็นมิตร ไม่เกลียด ไม่โกรธ และไม่กลัว ต่อผู้ที่เราเผชิญหน้าด้วยสติที่เรามี และเป็นการหยิบยื่นความเคารพในความเป็นมนุษย์ให้กับผู้ที่เราต่อต้านด้วย
ตัวอย่างของการต้านรัฐประหารโดยไม่ใช้ความรุนแรงด้วยความเป็นมิตรและสติรวม ทั้งเผชิญกับความทุกข์ยากก็คือการเข้าใจว่าหากจะออกไปเผชิญหน้ากับกองกำลัง นั้นก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมาก เช่น การไปกันไม่ให้กองกำลังยึดครองอาคารบางแห่ง ทั้งที่หัวใจของการต่อต้านนั้นจริงๆ ไม่ใช่ "อาคาร" แต่เป็น "สถาบันทางสังคม" ต่างๆ อาทิ แม้ว่าจะปกป้องโรงเรียน ตึกรัฐสภา หรือสถานีวิทยุโทรทัศน์ไม่ได้ แต่เมื่อการสอนเปลี่ยนที่ การทำงานเปลี่ยนที่ และการออกอากาศยุติหรือเปลี่ยนที่ไป ก็ให้ถือว่าทำสำเร็จ โดยเราต้องถามคำถามสำคัญว่าการทำรัฐประหารนั้นเขาตั้งใจ "ยึด" เอาสถาบันอะไรของเราไปบ้าง และการปกป้องสถาบันเหล่านั้นจะทำได้อย่างไรโดยไม่ยึดติดกับการเผชิญหน้าที่ นำไปสู่ความรุนแรง แต่เป็นการต่อสู้ทางสัญลักษณ์ที่คณะรัฐประหาร (รับ) รู้ (อยู่แก่ใจ) ว่าเราไม่ยอมให้เกิดสิ่งนั้นได้
และที่สำคัญประการสุดท้ายก็คือการขยายผลของการต้านรัฐประการไปยังกลุ่มคน ที่เชื่อว่าอยู่ตรงกลางๆไม่ต้านและไม่หนุนให้เข้ามาเป็นพวกกับเราในการต้าน รัฐประหารให้ได้ และด้วยการต้านรัฐประหารที่ไม่ใช้ความรุนแรง โดยไม่ร่วมมือ (อย่าง) เป็นมิตร เข้าใจความยากลำบาก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัวและต่อต้านอย่างมีสตินี้เองที่เราสามารถเพิ่มสถิติของการทำรัฐประหาร ที่ล้มเหลวได้อีกครั้งหนึ่งทั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยและในประวัติศาสตร์ โลกครับผม

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น