
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง
"พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา" คดีจ้างเจ้าหน้าที่
กกต.เปลี่ยนข้อมูลสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยลงเลือกตั้งเมื่อปี 49
ระบุไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง
พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5
เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับนายอมรวิทย์ สุวรรณผล
อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง
คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. /นายชวการ หรือกรกฤต โตสวัสดิ์
อดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย /นายสุขสันต์ หรือจตุชัย ชัยเทศ อดีต
ผอ.การเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย และนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์
อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ
ในความผิดฐานกระทำผิดตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502
จากกรณีเมื่อวันที่ 2 - 7 มี.ค. 2549
พล.อ.ธรรมรักษ์ ร่วมกับ นายชวการ จำเลยที่ 3 และ นายสุขสันต์ จำเลยที่ 4
จ้างวานให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.
ดำเนินการตัดต่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย
ที่ไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคไม่ครบ 90 วัน
ตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย. 2549
แข่งกับพรรคไทยรักไทยได้ โดยมอบเงิน 30,000 บาท เป็นค่าตอบแทน
เป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทย ในเวลาต่อมา
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 ปี 4 เดือน
พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 พร้อมพวกจำเลย ที่ 3,4 และ 5
ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคพรรคพัฒนาชาติไทย ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่
กกต. ให้จำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญาทั้งหมด และริบเงินสดของกลาง
โดยในวันนี้มีเพียงนายชวการ จำเลยที่ 3 ที่ศาลได้ออกหมายจับไว้ก่อนหน้านี้ไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมพร้อมปรึกษาหารือ
กันแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าพลเอกธรรมรักษ์
จำเลยที่ 1 มอบเงินให้กับจำเลยที่ 3 เพื่อนำไปมอบต่อให้กับจำเลยที่ 2
ถึงแม้โจทก์จะมีภาพจากกล้องวงจรปิดปรากฏภาพ ว่าพวกจำเลยไปพบจำเลยที่ 1
ที่ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยที่ 1
มอบเงินให้ มีเพียงคำซัดทอดของจำเลยที่ 3 และ 4 เท่านั้น ซึ่งมีน้ำหนักน้อย
ศาลจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้พิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
ส่วนจำเลยที่ 2 การนำสืบเป็นประโยชน์
ต่อการพิจารณาคดีบ้างเห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 3 ปี 4 เดือน
ขณะที่ จำเลยที่ 3,4 และ 5 ที่ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 3 ปี 4
เดือนเห็นว่าโทษหนักเกินไป เห็นควรให้ลดโทษให้เหลือจำคุกคนละ 2 ปี
โดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากมีพฤติการณ์ทำลายระบอบประชาธิปไตย
ภาพ : www.bangkokbiznews.com
by
Veeraporn
7 มกราคม 2557 เวลา 11:00 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น