เมื่อวาน อ่านคำวินิจฉัยเรื่องรถไฟความเร็วสูงจากศาลไทย
นั่นก็คงจะหมายความว่า ไม่เฉพาะแต่เรื่องรถไฟเท่านั้น
เพราะโครงการดีๆ จะถูกบุคคลกลุ่มนี้ "ห้าม" ทั้งหมด ทั้งๆ
ที่ไม่ได้มีส่วนโยงกับประชาชนแต่อย่างใด
โครงการดีๆ ในอนาคต อย่างที่ประเทศเกาหลีใต้เริ่มบุกเบิกขึ้นมานั้น พี่น้องชาวไทยก็คงหมดโอกาสที่จะสัมผัสกันในเวลาอันใกล้นี้:
อย่างเช่น การชาร์ตไฟเข้ารถไฟฟ้าจากท้องถนนธรรมดา
(ตามลิ้งค์บทความที่เคยนำมาแปล) หรือไม่ก็
ความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยี่ที่จะใช้ระบบ 5G ภายในอีก 4 ปีข้างหน้า
(ความเร็วสูงกว่า 4G อีก 1,000 เท่าตัว -> comment แรกค่ะ)
โลกมนุษย์ก้าวหน้ากันไปอย่างรวดเร็วจากการสื่อสารที่ไร้
พรมแดน แต่ก็ยังมีบุคคลบางกลุ่มยังต้องการปิดประเทศ หยุดการพัฒนา
และต้องการให้ประเทศทั่วโลกยอมรับอยู่อีกหรือ?
******************************
สิ่งที่ดิฉันยังข้องใจอยู่นิดหนึ่งคือ
ทำไมคุณชัชชาติถึงไม่นำเอาเรื่อง expected revenue หรือ
การคาดคะเนรายรับเข้ามาแสดงให้เห็นระหว่างการพิจารณากัน
(หรือถ้านำมาเผยแพร่แล้ว ก็ขอโทษด้วย เพราะไม่เห็นเรื่องนี้)
เพราะการก่อสร้างทุกอย่างจะต้องใช้เงินทุน หรือ
กู้เงินกัน ไม่ว่า จะเป็นกิจการค้าขาย สร้างร้านอาหาร ขายก๋วยเตี๋ยว
ก็ต้องกู้ยืมกันทั้งนั้น แต่เราไม่พูดกันเลยว่า
รายรับจะเป็นจำนวนเท่าไรที่สามารถนำไปใช้ผ่อนหนี้ จนกระทั่งถึงจุด
Break-even ได้
คือถ้าพูดกันแบบ ผู้ประกอบกิจการแล้ว คำถามก็คือว่า "จะสร้างมันไปทำไม ถ้าไม่มีกำไร และมีแต่ขาดทุน?"
ถ้าไม่พูดถึงเรื่องรายรับ กิจการร้านค้าต่างๆ ก็คงจะไม่สามารถกู้ยืมได้ถนัดนัก ถึงแม้ว่าจะมีทรัพย์สินค้ำประกันก็ตาม
ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า เราเดินสวนทางกับโลกภิวัตน์ กันหรืออย่างไร?
ooo
บทความแปล: เกาหลีสร้างถนนที่สามารถชาร์ตไฟเข้ารถไฟฟ้าอย่างไร้สายได้แล้ว
(อ้างอิง: Korea Constructs Road That Wirelessly Charges Moving Electric Buses -hhttp://goo.gl/nwhZRY)
รถโดยสารไฟฟ้าที่สามารถชาร์ตแบตเตอรี่ได้ในขณะกำลังวิ่ง
อยู่บนท้องถนน (แทนที่จะจอดเฉยๆ ในขณะที่กำลังชาร์ตไฟ)
ไม่เป็นเรื่องนวนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป
ผู้วิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ชั้นสูงของ
ประเทศเกาหลี (Korea’s Advanced Institute of Science and Technology หรือ
KAIST –อ้างอิง:http://www.kaist.edu/edu.html)
เพิ่งจะสร้างถนนที่ปูพื้นผิวด้วยยางมะตอยอย่างยาวเหยียดถึง 7 ไมล์ครึ่ง
(12 กิโลเมตร) เสร็จเรียบร้อยในเมืองกูมิ (Gumi) ของประเทศเกาหลีใต้
ซึ่งมีเคเบิ้ลไฟฟ้าชนิดพิเศษฝังอยู่
ซึ่งได้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ตัวแบตเตอรี่ในขณะที่รถ
โดยสารประจำทางกำลังวิ่งอยู่บนท้องถนน
เทคโนโลยี่รุ่นแรกของนวัตกรรมประเภทนี้ ไม่มีการบังคับให้ยานพาหนะใดๆ ต้องหยุดจอด ณ สถานีเพื่อทำการชาร์ตกระแสไฟฟ้าเลย
แบตเตอรี่ของรถประจำทางถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยี่อันล้ำยุค
เรียกว่า “การปรับสภาพสนามแม่เหล็กอย่างสั่นพ้อง” (Shaped Magnetic Field
In Resonance) ซึ่งทำการส่งกำลังสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic
Fields)
ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเคเบิ้ลไฟฟ้าซึ่งถูกฝังอยู่ในพื้นถนนที่ปูลาดด้วยยาง
มะตอย ด้วยการส่งแบบไร้สายเข้าสู่ตัวรถโดยสารประจำทางอย่างเดียว
แต่จะไม่ส่งให้กับรถยนต์ธรรมดาแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เทคโนโลยี่นี้ ทำการแยกแยะยานพาหนะที่สามารถรับการชาร์ตกระแสไฟฟ้า กับกลุ่มที่ไม่สามารถรับได้
ลวดขด (coil)
ที่อยู่ในแบตเตอรี่สามารถเปลี่ยนพลังจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าให้กลายเป็นกระแส
ไฟฟ้าอย่างไร้สายได้ ด้วยระยะห่างมากกว่า 6 นิ้วเพียงนิดหน่อย (15.25
เซ็นติเมตร) จากพื้นผิวของถนน
***********************************
ความคิดเห็นของผู้แปล:
เมื่อวานแปลเรื่องเกี่ยวกับ สมาร์ทโฟนและ Tablet
ของท่านประธานคิม จอง อุน จากประเทศเกาหลีเหนือ
ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศของตนเอง (อ้างอิงบทความ I-Phone หรือจะมาสู้กับ
อุนโฟน (Un-Phone) .....
วันนี้เราได้เห็นนวัตกรรมจากประเทศเกาหลีเหมือนกัน
แต่เป็นเกาหลีใต้
ซึ่งสร้างความมหัศจรรย์ในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งต่อแวดวงทางเทคโนโลยี่ชั้น
สูง
การชาร์ตแบตเตอรี่แบบไร้สาย
เป็นเรื่องที่เคยอ่านในนวนิยาย แต่ความเป็นไปได้
ที่สามารถสร้างและออกแบบขึ้นมาจากจินตนาการนั้น
เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อทีเดียวว่า สามารถเป็นไปได้
และประเทศเกาหลีใต้ก็สามารถผลิตมันเป็นรูปเป็นร่างได้
เมื่อตอนสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองใหม่ๆ
ประเทศเกาหลีตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด
รวมไปถึงผลของสงครามเกาหลีที่ตามมา
ซึ่งแบ่งดินแดนให้กลายเป็นสองประเทศอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ต่อมา
มีประธานาธิบดีเผด็จการ เป็นผู้นำประเทศ แต่เพียงเวลาผ่านไปแค่ 20-25 ปี
ประเทศเกาหลีใต้ได้พัฒนาตนเอง
กลายเป็นประเทศผู้นำทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี่ชั้นสูง
ถึงกับแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นไปได้
ด้วยการสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้กลับมาช่วยสร้างความเจริญกับประเทศของตนเอง
ได้
(นี่คือวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศเกาหลีใต้ เมื่อช่วงเวลา 25 ปีที่แล้ว ... ใครหนอ ที่เป็นผู้นำรัฐบาลไทยในเวลานั้น?)
สมัยก่อน
ประชากรของประเทศเกาหลีใต้ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ในปัจจุบัน
เขาถือว่า
เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่และสามารถเข้าประเทศได้เหมือนกับอีกหลายๆ
ประเทศที่ได้รับการยกเว้นกัน
ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เห็นมา ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์อย่าง
Hyundai ที่มีคุณภาพดีเยี่ยมและสามารถตีตลาดรถยนต์ใน USA และ Canada
ได้แบบกระจุย รวมไปถึงเทคโนโลยี่ทางการสื่อสารที่เราเห็นมาตั้งแต่ Samsung,
LG ฯลฯ มันก็แสดงให้เห็นถึงคุณภาพต่างๆ ด้วย
***********************************
ดิฉันเคยอ่านข่าว
เห็นบุคลากรระดับสูงของประเทศไทยถูกส่งไปดูงานต่างประเทศกันเป็นเวลาหลายวัน
และอาจจะถึงหลายสัปดาห์เป็นประจำทุกๆ ปี (ไม่รู้กี่สิบปีแล้ว)
เสียเงินงบประมาณเป็นกี่ร้อยกี่พันล้านบาทก็ไม่ทราบ แต่ทำไมหลายๆ
ปีที่ผ่านมา เรายังไม่เห็น
เงินที่ลงทุนไปด้วยการส่งบุคลากรหลายรุ่นไปศึกษาดูงานต่างประเทศกลับคืนมา
เพื่อสร้างความเจริญและพัฒนาให้กับประเทศชาติกันเลยคะ?
เราสร้างนวัตกรรมอะไรกัน
เพื่อให้ตนเองสามารถจำหน่ายหรือขายให้กับประเทศต่างๆ ในโลกบ้าง
หรือเราจะเป็นแต่ “ผู้ซื้อ” และ “ผู้ลอก” กันก็ไม่ทราบ? หรือว่า
จะสร้างนวัตกรรมใดๆ ไม่ได้ เพราะเป็นการข้ามหน้าข้ามตากันกับหลายๆ ท่าน
รวมไปถึง xxx, yyy, zzz ฯลฯ อย่างนั้นหรือ?
ดิฉันเอง มีความรู้สึกว่า นวัตกรรมทางเทคโนโลยี่ของไทย
ก็คือ
การสร้างระบบเพื่อทำการไล่จับผู้คนทางอินเตอร์เนทที่มีความคิดเห็นแตกต่าง
เพราะการนำเอาเหตุผลไปผูกไว้กับเรื่องความมั่นคงของประเทศเท่านั้นเอง
แถมยังมีความคิดใหม่ๆ แบบจะติดต่อผู้สร้าง Software หรือผู้ให้บริการต่างๆ
อ่านแล้ว ก็งงเหมือนกันกับตรรกะความคิดแบบนี้ว่า กำลังอยู่ในสมัยศตวรรษที่
21 หรือสมัยยุคมืดแบบ Spanish Inquisition กันแน่
"เกาหลีใต้เขาชาร์ตไฟฟ้าแบบไร้สาย แต่ของไทยชาร์ตข้อหาแบบไร้เหตุผล... ."
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนหนึ่งของประเทศไทย
ยังมองไม่เห็นถึงความก้าวหน้าที่เราจะต้องปรับตัวกันในอนาคต
โลกในยุคโลกาภิวัตน์ ไม่ได้นิ่งอยู่กับที่
และจะมารอพึ่งตัวบุคคลมาช่วยคงจะไม่ได้ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง พร้อมๆ
กันกับการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะต้องมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
นวัตกรรมทางเทคโนโลยี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
และถ้ายังมีการค้านความเจริญก้าวหน้าอยู่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน (มีการถ่วง
การค้านแบบหัวชนฝา อย่างปราศจากเหตุผล)
เราก็คงจะเป็นประเทศที่ล้าหลังและมีปมด้อยเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาศักยภาพ
ในภูมิภาคอาเซียนในอนาคตนี้อย่างแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น