ที่มา ข่าวหุ้นธุรกิจ
กปปส.นัด “ชัตดาวน์บางกอก” นอกจากหุ้นตก บาทอ่อน ยังทำให้นักท่องเที่ยวหนีกระเจิง
ไม่มีอำนาจใดยับยั้งคนเป็นแสนๆ ที่ไร้สติ ไร้เหตุผล
แต่เชื่อว่าตนเป็นฝ่ายถูก ใช้กำลังข่มขืนสังคมให้ยอมตาม
ไม่แยแสว่าจะเกิดความวิบัติฉิบหายสักเพียงไร ฉะนั้นอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
รัฐบาลไม่จำเป็นต้องคิดประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ปล่อยให้พวกเขา “ชัตดาวน์”
ไป ถ้าไม่ใช้ความรุนแรง กปปส.จะทำอะไรได้ ถ้าใช้ความรุนแรง
พวกเขาก็ทำลายตัวเอง
ซึ่งเท่าที่เห็น
ผลจากการใช้กำลังขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งในกรุงเทพฯ และภาคใต้
แม้ประสบความสำเร็จ ทำให้ไม่สามารถรับสมัครใน 8 จังหวัด 28 เขต
ก็ทำให้เกิดพลังที่เห็นต่างอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะเสื้อแดง
ไม่ใช่เฉพาะตำรวจ ที่ตบเท้าออกมาปกป้องศักดิ์ศรี ทั้งภาค 3 ภาค 4
แต่ยังมีผู้รักสันติ ชักชวนกันไปจุดเทียน
“หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง”
ยังมีสภาคาทอลิกที่ออกคำแถลงว่า คริสต์ศาสนิกชนมีหน้าที่ไปเลือกตั้ง
และยังมีองค์กรภาคธุรกิจ ที่พยายามเป็นตัวกลางหาทางออกในการปฏิรูปประเทศ
ผู้มีชื่อเสียงที่คัดค้าน กปปส.มีหลากหลายขึ้น เช่น อ.จอน
อึ๊งภากรณ์ อดีตวุฒิสมาชิก อดีตกรรมการ TPBS อ.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล
อดีตกรรมการ ป.ป.ช.ชุด คมช.ตั้ง (ซึ่งชัดเจนว่าไม่ใช่ “พวกทักษิณ”)
ยืนยันว่าไม่สามารถมีนายกฯ คนกลางตามที่อ้างมาตรา 7 หรือบรรยง พงษ์พานิช
CEO เกียรตินาคินภัทร ผู้เขียน “ข้อเสนอต่อประเทศไทย” 7 ตอน วิพากษ์ทั้ง
“ระบอบทักษิณ” และ กปปส.อย่างตรงไปตรงมาน่าชื่นชมไม่กลัวทั้งสองฝ่ายโกรธ
กล่าวได้ว่า ความย่ำแย่ของรัฐบาลเพื่อไทย
และการไม่เอากติกาของ กปปส.กำลังจะทำให้เกิดพลังที่สาม
ที่น่าจะถ่วงดุลทั้งสองข้างได้
เป็นพลังที่จะเติบใหญ่นำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง
ถ้า กปปส. “ชัตดาวน์” กรุงเทพฯ จริง ก็วัดใจว่า
คนกรุงเสียงข้างมากยังสนับสนุนอยู่หรือไม่
แม้เสียงข้างมากอาจไม่สามารถรวมกำลังไปสู้รบตบมือกับม็อบ
(เป็นธรรมดาที่ผู้มีสติ 10 คนไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใช้อารมณ์แค่ 1
คน) แต่ความเสื่อมถึงที่สุด จะเกิดกับ กปปส.ลามไปถึง
ปชป.และใครก็ตามที่จะเข้ามาร่วมมือล้มรัฐบาลล้มการเลือกตั้ง
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้า กปปส.ปิดเมือง อาละวาด
แล้วเกิดรัฐประหารเข้าข้างม็อบ รัฐประหารที่ครองอำนาจได้ยากยิ่งอยู่แล้ว
ก็นับถอยหลังทวีคูณ
หรืออำนาจใดก็ตาม ที่จะเข้าข้าง กปปส.ไม่ว่าฝ่ายตุลาการ องค์กรอิสระ หรืออำนาจพิเศษแบบไหน ก็ต้องคิดหนัก
ณ วันนี้
กกต.ที่แม้ถูกประณามจากการทำหน้าที่อย่างพร้อมจะโยนผ้าขาว
ก็ถูกสังคมดันหลังจนต้องเดินหน้าเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.โดยมี ส.ส.ไม่ครบ
500 คน แต่ก็ต้องเลือกตั้ง
หลังจากนั้นจึงประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งเพิ่มใน 180
วันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 93 การเลื่อนเลือกตั้งเป็นไปไม่ได้แล้ว
วันที่ 7 มกราคมนี้ ป.ป.ช.จะแจ้งข้อหา 381 ส.ส.
ส.ว.ฐานแก้รัฐธรรมนูญให้วุฒิสภามาจากเลือกตั้ง
แต่จะชี้มูลความผิดทั้งหมดหรือ
ป.ป.ช.จะทำลายตัวเองยอมเป็นหนังหน้าไฟล้มประชาธิปไตยหรือ
(และต่อให้ชี้มูลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็เป็นการชี้มูลในฐานะ
ส.ส.ไม่ทำให้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ)
ถ้าไม่เกิดรัฐประหาร ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่กลัว
(เกิดแล้วหัวร่อก๊ากอีกต่างหาก) กปปส.จะทำอะไรได้ ปิดเมืองวันที่ 13
มกราคมถ้าไม่เกิดความรุนแรง แล้วจะทำอะไร จะปิดไปเรื่อยๆ หรือ
ม็อบ กปปส.มี 2 ลักษณะที่ขัดแย้งกันเอง
คือเวทีราชดำเนินเป็น “ม็อบครอบครัว”
คนกรุงจูงลูกหลานมาฟังปราศรัยถ่ายอินสตาแกรม
แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นมวลชนฮาร์ดคอร์ ที่พร้อมลุย พร้อมแรง กระนั้นถ้าแรงไป
คนกลุ่มแรกก็เผ่นเหมือนกัน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น