แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

อะเมซิ่งเกาหลีเหนือ! ไม่ไปไม่รู้! DPRK: The Land of Whispers

ที่มา Thai E-News



โดย เหว่ยเฉียง
ที่มา THAIPUBLICA
“เกาหลีเหนือบางครั้งก็ถูกเรียกว่า ประเทศแห่งเสียงกระซิบกระซาบ เพราะผู้คนไม่สามารถคุยกันได้อย่างเปิดเผย…การไปเยือนประเทศเขาก็เหมือนกับ เล่นเกมโชว์แบบเรียลิตีทางทีวี ที่คุณจะได้รู้แค่ข้อมูลคร่าวๆ เหมือนภาพร่างเบลอๆ กับเสียงกระซิบเบาๆ ที่คุณจะแยกไม่ออกเลยว่าตอนไหนบ้างที่พวกเขาจริงใจไม่ได้ตบตาคุณ หรือตอนไหนพวกเขากำลังหวาดกลัวว่าความลับจะรั่วเข้าหูคู่ต่อสู้ ตรงไหนคือความจริงหรือคำลวง ส่วนไหนคือเกมเรียลิตีหรือการสร้างภาพลวงโลกกันแน่?”

ครีสเตียน โคเฮน หรือชื่อจริงว่า แม็ตต์ ดวอร์เซนคชีก ผู้กำกับ

นี่คือประโยคเปิดใน DPRK: The Land of Whispers (2013) โดยครีสเตียน โคเฮน (แม็ตต์ ดวอร์เซนคชีก -ชื่อจริง) สารคดีท่องเที่ยวเกาหลีเหนือในแบบแสบๆ ห่ามๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งอาการมองโลกในแง่งามและให้ภาพชัดเจนที่สุด เกี่ยวกับประเทศที่โดดเดี่ยวตัวเองออกจากโลกภายนอกมานานกว่าห้าสิบปี ภายใต้การปกครองโดยท่านผู้นำตระกูลคิมสามรุ่นคน ด้วยปรัชญาจูเช ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อกล่อมเกลาประชากรของท่านคิมเอง ที่โคเฮนผู้กำกับเรื่องนี้ได้ถามเอาไว้ในหนังด้วยว่า “คนพวกนี้จะรู้สึกอย่างไร ถ้าวันหนึ่งเกิดรู้ความจริงขึ้นมาว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อกันอยู่นั้น…มันไม่จริงเลย!?”

โคเฮนเกิดในโปแลนด์สมัยที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ ก่อนจะย้ายไปร่ำเรียนทางหนังในอเมริกา และเคยเป็นผู้ช่วยโปรดักชันรายการ America’s Got Talent (2006) กับอยู่เบื้องหลังหนังมนุษย์ค้างคาว The Dark Knight (2008) ก่อนจะอพยพไปตั้งรกรากในกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เพื่อรับจ๊อบผลิตงานโฆษณาและทำสารคดีส่วนตัว ในแบบที่เขาว่าเน้นความสนุก ตื่นเต้น ไม่ซ้ำใคร และมีจริยธรรม ภายใต้นามบริษัทของเขาเองว่า Etherium Sky ซึ่ง DPRK: The Land of Whispers เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในผลงานของบริษัทนี้ ที่สามารถดูออนไลน์ได้ฟรีๆ ทางช่องยูทูบของเขาเอง(สา มารถคลิกปุ่ม CC ใต้ขอบจอคลิปเพื่อเลือกคำบรรยายภาษาไทยได้ด้วย -แปลไทยมาอย่างดีโดย พินิจนันต์ ชนะสะแบง) อันเป็นหนังคว้ารางวัลสารคดียอดเยี่ยมจากเทศกาลหนัง Third World Indie ปี 2013 ในซานฟรานซิสโก

จุดเริ่มต้นเกิดจากโคเฮนมีเพื่อนที่เคยไปเกาหลีเหนือมาก่อน โดยเธอคนนั้นบอกเขาว่า “มันเป็นประเทศที่เปลี่ยนวิถีของโลกไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเปลี่ยนแนวทางที่ฉันเคยคิดเกี่ยวกับรัฐบาล และรูปแบบทางสังคมทั้งหมด นึกไม่ออกจริงๆ ว่าผู้คนที่นั่นใช้ชีวิตแบบนั้นกันได้ยังไง?” อันทำให้โคเฮนพบว่าการไปเที่ยวเกาหลีเหนือนั้นไม่ยากอย่างที่คิด เพียงสมัครผ่านบริษัทนำเที่ยวที่เสิร์ชได้ตามกูเกิล

จากนั้นหนังก็ให้ข้อมูลว่า ‘ในแต่ละปีมีชาวต่างชาติ เพียงพัน-สองพันคนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยือนเกาหลีเหนือ…และคน ส่วนใหญ่คือผู้ร่วมการแข่งขันกีฬาอารีรังเกมส์ ที่มักจะถูกจำกัดให้อยู่แต่ภายในบริเวณสนามกีฬาเท่านั้น’ โคเฮนจึงติดต่อขออนุญาตบันทึกภาพด้วยข้ออ้างว่าเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ ประเทศ ก่อนจะออกเดินทางโดยข้ามพรมแดนจากจีน พร้อมกับรับทราบกฎข้อห้ามดังต่อไปนี้


1. ห้ามถ่ายภาพชาวบ้านเกาหลีเหนือ ที่ต่อมาโคเฮนได้รู้เหตุผลที่แท้จริงว่าเป็นการสกัดกั้นไม่ให้นักท่องเที่ยว เข้าใกล้ชาวบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนที่นั่นรับรู้เรื่องราวจากโลกภายนอก

2. เคารพต่อสื่อ คือถ้าเห็นหนังสือพิมพ์ที่มีภาพท่านผู้นำคิม อิล ซุง (1912-1994) คิม จอง อิล (1941-2011) หรือคิม จอง อึน (2011-ปัจจุบัน) ก็ห้ามพับกระดาษที่มีรูปพวกท่านเหล่านั้นโดยเด็ดขาด ห้ามขยำทิ้งหรือแสดงอาการไม่เคารพนบนอบไม่ว่าทางใดก็ตาม “และจริงๆ แล้วสิ่งพิมพ์ทุกชนิดล้วนมีภาพท่านผู้นำ” โคเฮนตั้งข้อสังเกต

3. การถ่ายภาพต้องสมจริง ทุกครั้งที่ถ่ายรูปประติมากรรมหรืออนุสาวรีย์ใดๆ ของท่านผู้นำสุดที่รัก (dear leader เป็นฉายาเรียกท่านผู้นำสูงสุด) ต้องถ่ายจากมุมต่ำกว่าเสมอ และต้องเห็นเต็มตัว ห้ามตัดทอนส่วนหนึ่งส่วนใดของภาพออกเลย ซึ่งหนังก็ได้ถ่ายทอดให้เห็นอีกด้วยว่าทุกซอกมุมเมืองล้วนมีภาพของท่านผู้นำ ประดับประดาอยู่ทั่วไป

“ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่จงเจริญ! สหายคิมจองอึน ประธานาธิบดีตลอดกาลคิมอิลซุง และคิมจองอิลท่านผู้นำที่รัก จะสถิตอยู่กับพวกเราตลอดกาล!” คือคำประกาศแรกของไกด์ทัวร์ ที่ภายหลังโคเฮนพบว่าแท้จริงไกด์พวกนี้จะทำหน้าที่ไม่ต่างจากผู้คุม คือคอยสอดส่องตรวจเข้มนักท่องเที่ยวให้อยู่แต่ในบริเวณ หรือพาไปยังพื้นที่เฉพาะ ที่ถูกกำหนดไว้แล้วเท่านั้น อันทำให้โคเฮนพบว่าแต่ละพื้นที่นั้นล้วนผูกพันอย่างแนบแน่นต่อการสรรเสริญ บูชาท่านผู้นำตระกูลคิมทั้งสาม เช่น ภูเขาเพ็กตู ที่ชาวเกาหลีเหนือเชื่อกันว่าเป็นที่กำเนิดของท่านคิม จอง อิล (ทั้งที่โลกภายนอกมีหลักฐานชี้ชัดว่าแท้จริงท่านคิมเกิดในรัสเซีย) จึงตั้งชื่อภูเขาละแวกนั้นว่าภูเขาจองอิล “ภูเขาหลายลูก ต้นไม้ดอกไม้หลายชนิด และสถานที่อีกมากมาย ครึ่งหนึ่งของสิ่งต่างๆ ในประเทศนี้ถูกตั้งชื่อตามท่านผู้นำคิมที่ยิ่งใหญ่” โคเฮนตั้งข้อสังเกต

โคเฮนยังเกิดคำถามระหว่างทางอีกด้วยว่า “ทำไมท่านผู้นำประเทศนี้จึงต้องผลาญเงินทองและทรัพยากรของประชาชนไปเป็นจำนวนมหาศาลในการปลูกสร้างอนุสาวรีย์ให้กับตัวเองมากมาย?” ทว่าไกด์ทัวร์กลับตอบว่า “เพราะ ท่านผู้นำคิมทำแต่สิ่งดีงามที่สุดเพื่อประชาชนเท่านั้น ท่านไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองเลย ท่านปราศจากความเห็นแก่ตัว ห่วงใยประชาชนอย่างแท้จริง และจริงๆ แล้วท่านคิมไม่ได้ต้องการให้มีการสร้างรูปปั้นเพื่อบูชาท่านเลย แต่สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ล้วนสร้างมาจากเสียงเรียกร้องของบรรดาประชาชนผู้ รักและศรัทธาในท่านผู้นำ”

แล้วโคเฮนก็พบสิ่งที่น่าสะพรึงไปยิ่งกว่านั้น เช่น โรงแรมสูง 50 ชั้นอันเป็นที่พักของทัวร์กรุปนี้ มีเพียงชั้นที่ 26 เท่านั้นที่มีนักท่องเที่ยวเข้าพักจริงๆ นอกนั้นทุกชั้นไม่มีคนอื่นเลยเหมือนเป็นโรงแรมร้าง แม้ว่าชั้นล่างจะมีบาร์ คาสิโน คาราโอเกะ และห้องอาหาร แต่ทุกห้องล้วนร้างไร้ร่างนักท่องเที่ยวหรือพนักงานรายอื่นเลย! รวมถึงมินิมาร์ทที่ไม่มีสินค้าวางขาย มีเพียงผลไม้ปลอมทำจากพลาสติกที่ตั้งโชว์ไว้ตบตา หรือแม้แต่สนามกีฬาขนาดมหึมาที่มีจำนวนห้องหับนับไม่ถ้วนแต่กลับไม่มีใครแวะ เวียนเหยียบผ่านเข้าไปได้เลย หรือทุกการแสดงของชาวบ้านที่ถูกจัดมาเพื่อสร้างความสำราญให้กับลูกทัวร์คณะ นี้ และแม้แต่ช่องทีวีต่างๆ ก็ล้วนเป็นเพลงปลุกใจให้รักชาติและปลูกจิตสำนึกให้รู้บุญคุณและสรรเสริญความ ดีงามของท่านผู้นำ

การแสดงร้องเพลงปลุกใจของเด็ก 6 ขวบ
รวมถึงแนวคิดที่ว่า ‘ชาวเกาหลีเหนือทุกคนต้องยึดถือหลักจูเชอย่างเคร่งครัด’ อันเป็นปรัชญาที่ถือกำเนิดในปี 1965 โดยคิม อิล ซุง ได้วางข้อกำหนดนี้ที่ผสมผสานระหว่างคติแบบขงจื๊อรวมกับสตาลิน มีหัวใจหลัก 3 ประการ คือ 1. ชาจู เป็นอิสระทางการเมืองไม่ขึ้นกับแนวคิดทางการเมืองของชาติอื่น 2. ชาริป ยังชีพด้วยระบบเศรษฐกิจแบบพอมีพอกินด้วยการพึ่งตนเอง 3. ชาวี เชื่อมั่นในการปกป้องประเทศโดยไม่พึ่งพาชาติอื่นใด ที่ในหนังมีอยู่ตอนหนึ่งโคเฮนถามกับไกด์ทัวร์โต้งๆ ว่า “คุณเชื่อจริงๆ หรือว่าปรัชญาจูเชจะช่วยทำให้ประเทศนี้เจริญก้าวหน้า?”

โคเฮนแสดงความเห็นว่า “หลายอย่างที่นี่ถูกบิดเบือนไปอย่างมาก ผิดแบบทนโท่และเลวทรามสุดๆ ซึ่งเป็นผลพวงจากการปลูกฝังกล่อมเกลามาอย่างเข้มข้น ทำให้พวกเขาเชื่อกันจริงๆ ว่า ภาพลักษณ์จอมปลอมที่ถูกบิดเบือนขึ้นมานั้นเป็นเรื่องจริง…ก่อนผมจะไปเกาหลี เหนือผมคาดหวังว่าพวกเขาจะสามารถแสดงให้ผมเห็นได้ว่าปรัชญาความเชื่อของพวก เขาสูงส่งสมบูรณ์แบบและเป็นประเทศในอุดมคติอย่างแท้จริง เป็นเมืองสวรรค์อย่างที่พวกเขาเชื่อกัน ผมอยากจะทำความเข้าใจพวกเขาให้มากขึ้น และผมอยากรู้ว่าพวกเขาถูกสอนอะไรมาบ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าผมยิ่งมีแต่คำถามที่ไม่ควรถามและจะไม่มีวันได้รับคำตอบ เลย”

การแสดงในพิธีเฉลิมฉลองนโยบายซอนกุน หรือ ‘ทหารมาต้องมาก่อน’

“คิม อิล ซุง สั่งสอนพวกเราว่า เป้าหมายสูงสุดของเราคือสร้างประเทศให้ยิ่งใหญ่ มั่งคั่ง และแข็งแกร่ง เป็นประเทศที่ประดุจดั่งสวรรค์ ดังนั้นเราจึงต้องรีบเร่งสร้างประเทศให้แข็งแรงโดยเร็วที่สุด และส่งต่อไปยังลูกหลานในยุคต่อไป” คือคำอธิบายของไกด์ทัวร์ที่บอกกับโคเฮน ผู้ที่งุนงนกับสภาพบ้านเมืองอันล้าหลังจากโลกภายนอกไปกว่า 50 ปี ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้จักดนตรีแนวใหม่ๆ อยู่ในอาคารปลอมๆ โดยไม่รู้ว่าโลกภายนอกนั้นเจริญก้าวหน้าไปไกลโขแล้ว แต่กลับเชื่อว่าประเทศตัวเองนั้นเจริญล้ำกว่าชาติอื่น แถมยังห้ามตั้งคำถาม ห้ามคิดต่าง และต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านผู้นำที่โคเฮนปิดท้ายด้วยคำถามในหนังว่า

“ถ้าวันหนึ่งเกาหลีเหนือเปิดประเทศ ผู้คนที่นั่นจะยอมก้าวไปสู่อนาคตหรือเปล่า?”

กรุงเปียงยางเต็มไปด้วยอาคารขนาดมหึมาที่ล้วนแต่เป็นตึกร้างเพื่อสร้างภาพความเป็นประเทศรุ่งเรือง ด้วยสถาปัตยกรรมแบบเชยๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น