ในฐานะของบุคคลากรด้านการศึกษา ดิฉันรู้สึกตกใจมากกับข่าวนี้ เพราะดูเหมือนว่าความพยายามในการพัฒนาด้านการศึกษาในประเทศไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งพยายามสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาบังคับใช้กับโรงเรียน และสถาบันอุดมศึกษา
ยิ่งทำให้คุณภาพการเรียนการสอนของครูอาจารย์แย่ลง
Thais
score lowest in TOEFL(http://www.nationmultimedia.com/national/Thais-score-lowest-in-TOEFL-30200874.html)
บทความแปล และให้ความคิดเห็นโดย รศ. พ.ต.อ. (หญิง) ณหทัย ตัญญะ
ลงในเฟสบุ็คของเธอเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2556
Tanya Nahathai
ขออนุญาตแปลคร่าวๆดังนี้
คะแนนเฉลี่ยในการทดสอบ TOEFL ของไทยอยู่ในระดับต่ำที่สุด
ค่าเฉลี่ยของTOEFL ที่ 450 แสดงให้เห็นว่าสมรรถภาพของนักศึกษาไทยในด้านภาษาอังกฤษ ต่ำที่สุดในเขตภูมิภาคอาเซียน
ในการที่จะฝันฝ่าปัญหาเรื่องนี้ นักวิชาการขอร้องให้มหาวิทยาลัยต่างๆ พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ด้วยการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการทำงานภายในสถาบันการศึกษาต่างๆ
“ในขณะที่นักศึกษาไทยมีค่าเฉลี่ย TOEFL อยู่ที่ 450 (นักศึกษาจากประเทศ) ลาว กัมพูชา พม่า (Laos, Cambodia and Myanmar) มีค่าเฉลี่ย 500 นักศึกษาจากมาเลเซีย และสิงคโปร์ (Malaysia and Singapore) มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นไปถึงประมาณ 550” นางศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล (Sriwika Mekthavatchaikul ) กล่าวในการสัมมนาเพื่อการปรับปรุงสมรรถนะ และคุณภาพของมหาวิทยาลัยก่อนที่จะเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (the Asean Economic Community)
เธอเป็นส่วนหนึ่งในคณุะอนุกรรมการในการศึกษาเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมทางการศึกษาสำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะเปิดตัวในปี พ.ศ. 2558 ที่จะถึงนี้
การสัมมนาได้ถูกจัดขึ้นที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA (National Institute of Development Administration) โดยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้า และการพัฒนา (Inter-national Institute for Trade and Development) ซึ่งผู้เข้าฟังการสัมมนาเป็นตัวแทนของทางมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาอีกจากหลายๆ แห่ง
นางศรีวิการ์ให้คำแนะนำต่อผู้เข้าร่วมสัมมนาว่า ควรใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในสถานศึกษา และใช้คำศัพท์เทคนิคบ่อยมากขึ้นในการเรียนการสอน
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน (Prof Wijit Srisa-arn) กล่าวว่า ปกติแล้วในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยจะมีการสอนภาษาอังกฤษ 6-9 หน่วยกิตอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
“มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะ กระตุ้นการใช้ภาษาอังกฤษและเรียนรู้ว่าจะใช้ภาษานี้อย่างไรกับประชาชนที่มาจากประเทศในภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด” ศ.ดร.วิจิตรฯกล่าวสรุป
------------------------------------------------------------
ความเห็นของผู้แปล
ในฐานะของบุคคลากรด้านการศึกษา ดิฉันรู้สึกตกใจมากกับข่าวนี้ เพราะดูเหมือนว่าความพยายามในการพัฒนาด้านการศึกษาในประเทศไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ยิ่งพยายามสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาบังคับใช้กับโรงเรียน และสถาบันอุดมศึกษา ยิ่งทำให้คุณภาพการเรียนการสอนของครูอาจารย์แย่ลง เพราะต้องมานั่งทำเอกสารซึ่งเสมือนแปลงผักชีแปลงใหญ่ในรั้วสถาบันการศึกษา เพื่อให้ผ่านการประเมินต่างๆ ที่สรรหาเอามาใช้กับสถาบันการศึกษา
ที่น่าสงสารหนักไปกว่านั้นคือ ตัวนักเรียนนักศึกษาที่เรียนพิเศษกันอย่างบ้าคลั่ง รวมไปถึงผู้ปกครองที่ต้องหาเงินกันตัวเป็นเกลียวเพื่อให้ลูกหลานของตนเองได้มีโอกาสทัดเทียมกับผู้อื่น
ความสำคัญของภาษาอังกฤษนั้น ดิฉันไม่ได้หมายถึงการทำคะแนน TOEFL ให้ได้สูงๆ หรือการพูดภาษาอังกฤษเพื่อความเท่
แต่ดิฉันหมายถึง ภาษาอังกฤษมีความสำคัญเพราะเป็นบันไดหรือช่องทางในการแสวงหาความรู้ พัฒนาความสามารถของทุกๆ คน โดยเฉพาะนักเรียน/นักศึกษาและครูอาจารย์
เมื่อวานนี้ดิฉันได้แปลเรื่อง “What most schools don't teach” (ลิ้งค์: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=426489204099932) จากนั้นได้ comment ต่อท้ายไว้ว่า “ดิฉันเพิ่งฟังรายการวิทยุของ National Public Radio ได้กล่าวถึงวิกฤตการณ์ขาดบุคลากรด้าน Software Engineer ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเข้าบุคลากรวิชาชีพนี้จากประเทศแถบเอเซีย ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย (ไม่พูดถึงไทยเลย)” ดิฉันไม่ได้กล่าวให้จบเพราะเกรงว่าจะกระทบบุคลากรทางด้านเทคโนโลยี
ในความเป็นจริงแล้วประเทศไทยไม่ถูกนับรวมอยู่ในกลุ่มวิชาชีพเป้าหมายด้านเทคโนโลยี เนื่องมาจากความสามารถในด้านนี้ของไทยยังไม่ได้มาตรฐาน (อ้างอิง:แรงงานไอทีไทยเข้าขั้น "โคม่า" ต้องเน้น "คุณภาพ" มากกว่าปริมาณ ลิ้งค์: http://goo.gl/fjCMC ) และไม่ใช่แค่เพียงวิชาชีพนี้เท่านั้น แต่อีกหลายๆ วิชาชีพก็ยังต่ำกว่ามาตรฐานด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงวันนี้แล้ว ดิฉันไม่ขอกล่าวโทษใครทั้งสิ้น แต่อยากขอความร่วมมือจากชาวไทยทุกคน ให้เปลี่ยนทัศนคติตนเอง หันมาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งทักษะด้านภาษาอังกฤษ และทักษะในวิชาชีพของท่านเอง
สำหรับท่านผู้บริหารสถาบันการศึกษา ดิฉันอยากเรียนถามท่านว่า ท่านกำลังให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากกว่า “คุณภาพของนักเรียน/นักศึกษา”และ “คุณภาพของครู/อาจารย์” หรือไม่ หากท่านยังคงเห็นว่าทั้งสองสิ่งนี้ไม่ใช่หัวใจของสถาบันการศึกษา และไม่ใช่ประเด็นหลักในการทำหน้าที่บริหารสถาบันการศึกษาของท่านแล้ว ดิฉันคิดว่า สถาบันการศึกษาของประเทศไทยจะยังคงวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ (Vicious Cycle) นี้ต่อไป
เรียน ครู/อาจารย์ที่เคารพทุกท่าน ท่านมีหน้าที่โดยตรงในการพัฒนานักเรียน/นักศึกษา ให้มีคุณภาพ และคุณสมบัติตามที่ตลาดแรงงานต้องการ วันนี้ท่านพัฒนาความรู้ความสามารถ รวมทั้งจัดการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียน/นักศึกษาของท่านมีคุณภาพสูงพอที่จะแข่งขันในตลาดโลกแล้วหรือยัง ถ้ายัง! ท่านต้องทำอย่างไรบ้าง หากท่านตอบว่า ท่านแก่เกินไปที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และภาษาอังกฤษ ดิฉันขอแนะนำให้ท่านลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เข้ามาทำหน้าที่แทน เพราะในความเป็นจริงแล้ว “ไม่มีใครแก่เกินเรียน และไม่มีใครแก่เกินกว่าที่จะตั้งเป้าหมายให้ตนเองได้”
ดิฉันเห็นด้วยกับคุณศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล ที่จะให้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสารในสถาบันการศึกษา
ไม่จำเป็นต้องอาย เพราะไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับการพัฒนาทักษะด้านภาษา การช่วยกันแก้คำที่ออกเสียงผิด หรือแก้ประโยคที่ถูกต้องให้กันและกันเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ครู/อาจารย์สมัยใหม่ต้องเรียนรู้ และพัฒนาตนเองไปพร้อมๆ กับผู้เรียน ผู้เรียนสามารถแนะนำ ทักท้วงครู/อาจารย์ได้ ครูอาจารย์ต้องขอบคุณลูกศิษย์ของท่านด้วยซ้ำไป เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับท่าน เมื่อท่านกลับมาศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ซึ่งเป็นวิธีการเรียนการสอนที่สร้างสรรค์มาก
นักเรียน/นักศึกษาเองก็ต้องปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ของตนเอง ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองทั้งในห้องสมุด และในโลกออนไลน์ ซึ่งจะเป็นช่องทางให้ท่านเกิดความคิดสร้างสรรค์ และก้าวทันโลก สิ่งใดไม่เข้าใจต้องพยายามสืบค้นเพื่อทำความเข้าใจให้ได้ ถ้าไม่ได้จริงๆครู/อาจารย์คือทางออกในการชี้แนะแนวทางให้กับท่าน (ไม่ใช่บอกคำตอบให้) นอกจากนี้ท่านต้องศึกษาว่า ในสาขาวิชาของท่านมีความก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว และท่านจะต้องเพิ่มทักษะเหล่านั้นได้อย่างไร วิธีการใดหรือสถานที่ใดที่เปิดโอกาสให้ท่านได้ฝึกทักษะด้วยตนเอง ท่านต้องพึงตระหนักว่า คู่แข่งของท่านคือ บุคคลที่เรียนในสาขาวิชาเดียวกับท่านและใกล้เคียงกับท่านทั่วโลก
What most schools don't teach
วันนี้ดิฉันได้ดู คลิปวิดีโอบน facebook (ลิ้งค์อยู่ที่นี่ -> http://www.youtube.com/watch?v=nKIu9yen5nc) ของ คุณMark Zuckerberg (https://www.facebook.com/zuck) เรื่อง What most schools don't teach จึงอยากแปลคร่าวๆ เผื่อท่านที่สนใจในสาขาวิชาวิศวกรซอฟแวร์ (Software Engineer) ท่านที่อยากเปลี่ยนสายงาน หรือแนะนำบุตรหลานของท่านให้เข้าสู่วิชาชีพนี้
เนื้อหาในคลิปวิดีโอ
Steve Jobs : กล่าวว่าทุกคนในประเทศนี้ควรเรียนรู้คอมพิวเตอร์เพราะมันสอนวิธีคิดให้กับคุณ
Bill Gates (ผู้ก่อตั้ง Microsoft) : เริ่มเรียนโปรแกรมเมื่ออายุ 13 ปี
Jack Dorsey (ผู้ก่อตั้งTwitter) พ่อแม่ของเขาซื้อคอมพิวเตอร์ให้ เมื่ออายุ 8 ปี
Mark Zuckerberg : บอกว่า ได้สัมผัสคอมพิวเตอร์เมื่ออยู่ เกรด 6 (ชั้นประถมปีที่ 6)
Bill Gates เริ่มเขียนโปรแกรมครั้งแรกเมื่อเรียนมหาวิทยาลัยเทอมแรกชื่อ โปรแกรม Tic-Tac-Toe
Drew Houston ผู้ก่อตั้ง Dropbox กล่าวว่าเขาเขียนโปรแกรมแรกๆเป็นประโยคง่ายๆธรรมดาๆ
การสร้างโปรแกรมใหม่ๆ ไม่ได้หมายถึงการสร้างความยิ่งใหญ่ แต่เป็นการแก้ปัญหาง่ายๆ การหาความสะดวกสบาย หรืออยากทำอะไรสนุกๆเท่านั้น จากนั้นก็เสริมลูกเล่นเพิ่มขึ้นไปทีละนิด ต่อมาความคิดใหม่ๆก็เริ่มเกิดขึ้นในสมองว่าจะทำอะไรต่อไป ก็จะต้องไปค้นคว้าเพิ่มเติมในหนังสือ อินเตอร์เนต
การสร้างโปรแกรมไม่เหมือนกับการเล่นกีฬาที่จบเกมแล้วจบเลย โปรแกรมเมอร์จะต้องพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกอย่างสามารถเรียนรู้ได้ บางครั้งอาจรู้สึกว่าตัวเราโง่ แต่ไม่ใช่ จริงๆแล้วหัวใจของมันคือการแก้ปัญหาทีละเปราะ คุณไม่ต้องเป็นอัจฉริยะ แค่มีความมุ่งมั่นเท่านั้นเอง
สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ก็คือ เลขคณิตและพีชคณิตเบื้องต้น สิ่งสำคัญคือ คุณควรเป็นอัจฉริยะในการอ่าน
ปี 2013 เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีทุกอย่าง ในการสื่อสาร การเงิน ข้อมูลข่าวสาร แต่ไม่มีใครเลยที่รู้จักการเขียนโค๊ดว่าเขียนขึ้นมาได้อย่างไร
นโยบายของ Facebook คือ ต้องการจ้างวิศวกรคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุด และมากที่สุด แต่ปัญหาคือ ไม่สามารถหาคนที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการได้ เนื่องจากผู้ที่มีทักษะเยี่ยมยอดด้านนี้มีจำนวนน้อยซึ่งเป็นข้อจำกัดอย่างยิ่ง
เพื่อที่จะดึงดูดคนที่เก่งที่สุด บริษัทชั้นนำจึงต้องสร้างบรรยากาศการทำงานแบบสะดวกสบาย มีสวัสดิการให้เต็มที่ เช่นห้องอาหารที่จ้างเชฟที่ดีที่สุดมาทำอาหารให้พนักงาน ห้องดนตรี ห้องซักรีด ออกกำลังกาย ฯลฯ เพื่อให้พนักงานทำงานแบบสบายใจที่สุด
ไม่ว่าคุณต้องการมีรายได้มากที่สุดหรือการเปลี่ยนโลกใบนี้ คอมพิวเตอร์เป็นทักษะที่สำคัญญิ่งที่จะต้องเรียนรู้
สิ่งที่ยากที่สุดคือการนำความคิดของตนเองออกมาอยู่ที่นิ้วมือ แล้วก็พิมพ์เข้าไปเป็นโปรแกรม ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อคนอีกหลายล้านคนบนโลกนี้
การสร้างโปรแกรมนี้ไม่จำเป็นต้องเรียนจากห้องเรียน เพราะนวัตกรรมมันอาจจะเกิดขึ้นในหอพักก็ได้ จากการรวมกลุ่มของนักศึกษาที่มาอยู่ด้วยกันแล้วร่วมระดมสมองกัน
โปรแกรมเมอร์ในวันพรุ่งนี้เปรียบเสมือนผู้มีพลังพิเศษในตัว (พ่อมดแม่มด)
มีงานที่ดีที่สุดหนึ่งล้านตำแหน่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปทำได้ เพราะว่ามีเพียงหนึ่งในสิบแห่งของสถาบันการศึกษาที่สอนนักศึกษาให้เขียนโค๊ดเป็น ไม่ว่าคุณจะต้องการเป็นแพทย์, นักร้องชื่อดัง ก็ควรถามว่าสถาบันการศึกษาของคุณสอนเรื่องการเขียนโค๊ตหรือไม่ หรือไม่ก็พยายามเรียนรู้ด้วยตัวคุณเองจากอินเตอร์เนต
---------------------------------------------------
ความเห็นของผู้แปล
คลิปวิดีโอนี้ได้นำสุดยอดของวิศวกรซอฟแวร์เข้ามาดำเนิน เรื่อง ต่างพูดไปในทำนองเดียวกันว่า การเขียนซอฟแวร์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ทุกคนเริ่มจากประโยคง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ต่อจากนั้นก็ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองเมื่อต้องการพัฒนาโปรแกรมที่ยุ่งยากมาก ขึ้น หัวใจของการเป็นวิศวกรซอฟแวร์ที่สำคัญคือ ต้องรักการอ่าน มีความมุ่งมั่น และความคิดสร้างสรรค์ในการริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ส่วนสถาบันการศึกษาที่สอนให้นักศึกษาเขียนโค๊ตเป็นก็มีน้อยมาก นักศึกษาจึงจำเป็นต้องรักการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
การเรียนการสอนแบบป้อนความรู้ให้ผู้เรียน (Spoon-feeding) เป็นปัญหาอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษา ประเทศไทยจะไม่มีวันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ได้เลยตราบใดที่นักศึกษายังคงมุ่งมั่นในการเรียนเพื่อให้ได้เกรดสูงที่สุด ด้วยการพยายามเดินตามเส้นทางที่ครูอาจารย์ หรือหลักสูตรกำหนดไว้เท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น