
หลังจากที่ประสบความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง
รัฐบาลไทยได้ตกลงใจว่าจะทำให้การลงนาม
“ข้อตกลงสันติภาพ”ที่ทำกับกลุ่มผู้อ้างตัวว่าเป็นผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดน
บีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต(Barisan Revolusi Nasional-
Coordinate)เป็นจริงให้จงได้
กลุ่มดังกล่าวนำโดย ฮัสซัน ตอยิบ (Hasan Toib) ที่ตั้งตัวเองเป็น
“ผู้ประสานงาน” (Liaison)
ซึ่งแปลว่าผู้ที่จะต้องไปโน้มน้าวกลุ่มบีอาร์เอ็นให้เข้าร่วมในกระบวนการพูด
คุยต่อไป
รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มอบหมายให้ พลโท ภราดร
พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง
เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
เป็นผู้รับผิดชอบในกระบวนการครั้งนี้
และมีจุดมุ่งหมายในการโน้มน้าวกลุ่มแบ่งแยกดินแดนกลุ่มอื่นๆให้เข้าสู่โต๊ะ
เจรจา
บทบาทของทหารเองยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ยังจะต้องมีการดำเนินการต่อไปเพื่อให้กองทัพ เห็นด้วยกับกระบวนการนี้
การลงนามในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตัวแทนจากทั้งรัฐบาลไทยและกลุ่มคนที่อ้างตัวเป็นผู้นำของ กลุ่มบีอาร์เอ็นได้มานั่งพูดคุยกัน การเจรจาคล้ายๆกันนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วที่เกาะลังกาวี (Langkawi) ประเทศมาเลเซีย ด้วยการสนับสนุนของนพ.มหาธีร์ มูฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย และ ในปี 2552 ยูซุฟ คัลล่า รองประธานาธิบดีประเทศอินโดนีเซียในขณะนั้นก็ได้ร่วมสนับสนุนในการจัดการ เจรจาที่เมืองโบกอร์ (Bogor) ด้วย
ปี 2549 พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ร้องขอองค์กรระหว่างประเทศองค์กร
หนึ่งให้จัดกระบวนการพูดคุยระหว่างสภาความมั่นคงแห่งชาติ กับกลุ่ม พูโล
ปีกของ กัสตูรี มะโกตา (Kasturi Mahkota)
หนึ่งในบุคคลสามคนที่อ้างตัวว่าเป็นประธานกลุ่มพูโล
ในความพยายามทั้งหมดนี้ ผู้มีส่วนต่างก็อ้างว่าได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม บีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตไม่มากก็น้อย
ในวันนี้ ความเคลือบแคลงใจกับประเด็นการเป็นผู้นำกลุ่มบีอาร์เอ็น
โคออร์ดิเนตยังมีอยู่ โดยทั่วไป หลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่ากลุ่ม บีอาร์เอ็น
โคออร์ดิเนต
อยู่ภายใต้การนำไม่ใช่ของบุคคลคนเดียวแต่ของสภาที่ปรึกษาที่รู้จักกันในนาม
ดีพีพี (Dewan Penilian Party: DPP)
แหล่งข่าวจากBRNและรัฐบาลมาเลเซียเปิดเผยว่า ฮัสซัน
ตอยิบไม่ได้รับฉันทานุมัติจากสภาที่ปรึกษาหรือดีพีพี
ในการลงนามในข้อตกลงเมื่อวันที่ 28กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การลงนามหนนั้น
แหล่งข่าวกล่าวว่าเป็นผลงานของฝ่ายไทยแต่เพียงผู้เดียว
ไม่มีใครอื่นเกี่ยวข้อง
แต่รัฐบาลไทยเชื่อจริงหรือว่า ฮัสซัน ตอยิบ
สามารถโน้มน้าวให้ผู้นำกลุ่มคนอื่นๆมาเข้าร่วมโต๊ะพูดคุยด้วยได้
เพราะถึงที่สุดแล้วเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่มันบอกเล่าอีกอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เพื่ออธิบายความสำคัญของปัญหาภาคใต้ที่มีต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์
เราอาจจะต้องย้อนไปดูการรัฐประหารในปี2549
เป็นที่ชัดเจนว่าหนึ่งในเหตุผลที่พลเอกสนธิ บุญญรัตกลิน
อ้างในการทำรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ คือ
วิธีที่ทักษิณจัดการกับปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ฉะนั้นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ทักษิณลดข้อครหาดังกล่าวหรือสามารถกลับบ้านได้
เร็วขึ้นก็คือการทำให้สันติภาพบังเกิดขึ้นในสามจังหวัด หรือ
อย่างน้อยที่สุดคือทำให้ดูประหนึ่งว่าตัวเองกำลังทำให้สถานการณ์ในสาม
จังหวัดนั้นคลี่คลายลง
หน้าฉาก
ดูเหมือนว่ารัฐบาลแสดงทีท่าอย่างสำคัญโดยการใช้ชื่อประเทศไทยและตราของ
รัฐบาลประทับในข้อตกลง แต่หากสถานการณ์ในพื้นที่ไม่ดีขึ้น
ฝ่ายทักษิณก็สามารถจะอ้างได้ว่าได้ริเริ่มในเรื่องนี้แล้ว
แต่กลุ่มขบวนการต่างหากที่ไม่ขานรับ
ส่วนรัฐบาลมาเลเซียก็กระโดดเข้าร่วมวงกับการริเริ่มของฝ่ายไทย
เพราะว่าฝ่ายนำของมาเลเซียเองก็ต้องการให้ภาพว่าตนกำลังทำในสิ่งที่เหมาะสม
ถูกต้อง อีกประการหนึ่ง เรื่องนี้ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่การเลือกตั้งทั่วไปในมาเลเซียกำลังจะมาถึง
หากพิจารณาเปรียบเทียบก็เหมือนกับที่ผ่านๆมาในการเมืองไทย คือ
พรรคการเมืองไทยทุกพรรคได้ทำให้เรื่องภาคใต้เป็นประโยชน์ทางการเมืองแก่พรรค
ของตนและใช้โจมตีพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม
โดยเห็นความผลประโยชน์ของพรรคมากกว่าความสงบในพื้นที่
การทำข้อตกลงที่เปิดเผยต่อสาธารณะทำให้บรรดากลุ่มบุคคลที่ไปลงนามรวม
ทั้งเป็นสักขีพยานในงานวันที่ 28
กพ.ต้องแสดงความเชื่อมั่นในสิ่งที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
ฮัสซันได้พบกับทักษิณเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ณ
กรุงกัวลาลัมเปอร์ ในการพบปะกันครั้งนั้นมีหัวหน้ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนอีก ๑๕
คนรวมอยู่ด้วย
เขานั่งถัดจากทักษิณซึ่งโดยพฤตินัยแล้วก็คือหัวหน้าของพรรคเพื่อไทย
และผู้ที่อยู่ในการประชุมระบุว่าพวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันถูกคอเป็นเรื่อง
เป็นราว
ขณะที่ตัวแทนหนุ่มของบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนตที่สภาที่ปรึกษาหรือดีพีพี
(DPP)ส่งไปร่วมด้วยกลับนิ่งเฉยและไม่ได้เข้าร่วมในการพูดคุยวงย่อยกับทักษิณ
และคนอื่นๆแต่อย่างใด
ผู้ที่เข้าร่วมในการพบปะดังกล่าวบอกว่า
ฮัสซันเริ่มขยับเข้าไปอยู่ในวงโคจรของ “ทีมทักษิณ”
แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก “เรารู้ว่าฮัสซันกำลังคิดทำอะไรบางอย่าง
แต่ไม่มีใครสนใจจริงจังเพราะเขาไม่ได้มีอิทธิพลต่อพวกญูแว (juwae)
ที่อยู่ในพื้นที่” ผู้นำพลัดถิ่นคนหนึ่งกล่าว
“แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะไปไกลถึงขั้นทำข้อตกลงกับฝ่ายไทย”
ในมุมมองของหัวหน้ากลุ่มต่อสู้แบ่งแยกดินแดน
ประเด็นที่สำคัญไม่ใช่ว่ารัฐบาลกำลังคุยผิดคนเท่านั้น
แต่บรรดาผู้นำตัวจริงของกลุ่มบีอาร์เอ็น
โคออร์ดิเนตยังไม่พร้อมที่เข้าสู่กระบวนการสันติภาพในตอนนี้
ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลไทยเองก็ยังไม่มีท่าทีที่จะไม่เอาผิดคู่เจรจา
จากแหล่งข่าวในมาเลเซีย และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนต่างก็ยืนยันว่า
หากรัฐบาลไทยไม่ดำเนินการในเรื่องให้ความคุ้มกันทางการทูต (diplomatic
immunity) ก็เป็นเรื่องยาก ที่กลุ่มผู้นำตัวจริงของกลุ่ม บีอาร์เอ็น
โคออร์ดิเนตที่คุมการปฏิบัติการในพื้นที่ได้ จะออกมาพูดคุยในเรื่องสันติภาพ
อีกอย่าง
ถ้อยคำภาษาที่คลุมเครือในข้อตกลงทั่วไปของกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพใน
เรื่องที่ว่า
“จะมีการจัดหามาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับสมาชิกของคณะทำงานร่วมทุกคนและ
ตลอดระยะเวลาของกระบวนการ” ก็ถือว่ายังไม่ดีพอ
กลุ่มนักรบญูแว (juwae)
ในพื้นที่ได้แสดงท่าทีไม่ใส่ใจกับการทำข้อตกลงที่เกิดขึ้นในวันที่ ๒๘
กุมภาพันธ์ ด้วยการก่อเหตุต่อในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ไม่ว่ารัฐบาลไทยจะอ้างว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม
และความเสียหน้าจากการที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยเฉพาะเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม
ได้เกิดเหตุย่อยๆร่วมสี่สิบครั้งในอำเภอต่างๆเจ็ดอำเภอของยะลาทำให้
“ทีมประเทศไทย” หรือจะพูดให้ถูกก็คือ “ทีมทักษิณ” ต้องออกมาหาทางกู้หน้า
สภาความมั่นคงแห่งชาติต้องออกแรงหนักขึ้นเพื่อให้มีการรับรองการเจรจา
และหาทางให้ “สะแปอิง บาซอ” เข้ามาร่วมวงด้วย สะแปอิง
เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณคนสำคัญในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และเป็นอดีตครูใหญ่
โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามชื่อดังในจังหวัดยะลา
สะแปอิงได้หลบหนีออกนอกประเทศ
หลังจากมีหมายจับที่ออกโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษในปี ๒๕๔๘
ซึ่งหมายจับดังกล่าวลงนามโดย พ.ต.อ. ทวีสอดส่องนั่นเอง
อุสตาสอีกเจ็ดคนจากโรงเรียนก็ถูกข้อกล่าวหาด้วยและทั้งหมดล้วนแต่กำลังหลบ
หนี
การที่มีนักเรียนจากโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิจำนวนหนึ่งเข้าร่วมในขบวน
การแบ่งแยกดินแดนทำให้สะแปอิงอยู่ในฐานะที่อ่อนไหว
ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า สะแปอิง
เป็นตัวแทนของเรื่องเล่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ต่างออกไป
มันเป็นเรื่องเล่าที่ทำให้คนมลายูปาตานีแตกต่างไปจากคนไทยในส่วนอื่นๆของ
ประเทศ
แม้ว่าสะแปอิงจะถูกกล่าวหาโดยรัฐไทยว่าเป็นผู้ร้ายมาตลอดหลายปีที่ผ่าน
มา
แต่เจ้าหน้าที่ของทางการไทยหลายคนเชื่อว่าถ้าหากสะแปอิงยอมเข้ามาสู่กระบวน
การสันติภาพ
เขาจะเป็นบุคคลที่สามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ความขัดแย้งได้
พวกเขาชี้ถึงสถานะของเขาต่อคนในชุมชนและข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นผู้เดียว
ที่รัฐไทยมองว่าเป็นหัวหน้าขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ได้รับการยอมรับจากคนใน
พื้นที่
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยกับโรงเรียนธรรมาวิทยาตกต่ำในช่วงระหว่างปี
๒๕๔๗-๒๕๕๐ เมื่อครูโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิจำนวน ๘
คนถูกยิงเสียชีวิตในระยะเผาขน
ภายหลังการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ พลเอกสุรยุทธ์
จุลานนท์ก็เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและภายในปีเดียวหลังจากเข้ารับ
ตำแหน่งเขาก็ได้ประกาศยกเลิกการใช้ “บัญชีดำ”
อันเป็นสิ่งที่ผู้คนเอาไปเชื่อมโยงเข้ากับการสังหารอย่างเจาะจงตัวที่เกิด
ขึ้นในพื้นที่นี้
ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น
แต่สะแปอิงก็ยังคงไม่ยอมเข้ามาสู่การเจรจาของฝ่ายไทย
เจ้าหน้าที่ทางการไทยคนหนึ่งที่ได้อ่านแฟ้มคดีของสะแปอิงบอกว่าหากเรื่องไป
ถึงชั้นศาล สะแปอิงก็มีโอกาสสูงที่จะชนะคดี
แต่ปัญหาก็คือคดีของสะแปอิงตอนนี้ยังคงค้างอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ
แม้ว่าในท้ายที่สุดจะมีการดำเนินกระบวนการยุติธรรมจนผ่านพ้นและข้อ
กล่าวหาต่อสะแปอิงตกไป
แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดยืนยันได้ว่าผู้นำจิตวิญญาณอาวุโสคนนี้จะยอมเข้าสู่โต๊ะ
เจรจา ผู้นำของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนหลายคนบอกว่า ถึงแม้สะแปอิง บาซอ
จะยอมเข้าโต๊ะเจรจา แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่า กลุ่มญูแว (juwae)
ในพื้นที่จะเห็นด้วย พูดอีกอย่างก็คือว่า
ไม่มีทางลัดสำหรับสันติภาพในพื้นที่แห่งนี้
ซ้ำร้ายกว่านั้น ละครฉากนี้ยังดูแปลกเมื่อ สภาความมั่นคงแห่งชาติ
ไม่เคยขอให้ กลุ่มที่พวกเขาเจรจาด้วยนั้น
พิสูจน์ว่าพวกเขามีสายบังคับบัญชาที่เชื่อมโยงกับกลุ่มญูแวในพื้นที่
และอาจจะดีกว่านี้ถ้ารัฐบาลแสดงความจริงใจว่า
แท้ที่จริงแล้วรัฐบาลกำลังขอร้องแกมบังคับให้ฮัสซัน ตอยิบ
ทำหน้าที่ผู้ประสานงานที่ดีเพื่อโน้มน้าวให้สมาชิกของกลุ่มบีอาร์เอ็น
โคออร์ดิเนต ซึ่งมีอิทธิพลในพื้นที่จริงๆหันมาสนใจกระบวนการนี้
และรัฐบาลก็น่าจะออกตัวกับประชาชนเสียแต่เนิ่นๆว่าละครเรื่องนี้มันมีความ
เสี่ยงที่อาจจะไม่จบลงด้วยฉากสันติสุข
เพื่อที่ว่ารัฐบาลจะได้ไม่ต้องเสียหน้าเมื่อถูกนักข่าวถามว่า
ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐจึงยังโดนโจมตีจากกลุ่มญูแวอยู่
Note: For more articles by Don Pathan on the conflict in Southern Thailand in English, please visit: http://seasiaconflict.com
ที่มา: PATANI FORUM
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น