23 พ.ค. 56 - ที่โรงแรมรอยัลเบญจา Amnesty International Thailand
หรือองค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวรายงานสิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจำปี 2556
ซึ่งประมวลสถานการณ์สิทธิในรอบปี 2555
สมชาย หอมลออ ประธานกรรมการองค์การแอมเนสตี้ฯ กล่าวเปิดงานว่า
การนำเสนอรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของแอมเนสตี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
โดยได้มาจากการศึกษารวบรวมข้อมูลจากทั่วโลก และทำเป็นภาพรวมของโลก ภูมิภาค
และของแต่ละประเทศ การนำเสนอรายงานวันนี้ เป็นรายงานประจำปี 2555
แอมเนสตี้ตระหนักว่าสิทธิมนุษยชนทั่วโลกมีความสัมพันธ์กัน
มนุษย์ทุกคนต้องตระหนักและปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนอื่นๆ ทั่วโลก
มิใช่แต่ของชาติตนเท่านั้น
เขากล่าวว่า นอกจากการจัดทำรายงานเผยแพร่แล้ว
แอมเนสตี้ยังจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน เช่น
การรณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิต ส่งเสริมสิทธิการแสดงความคิดเห็น
การชุมนุมในสาธารณะ ปกป้องนักต่อสู่เพื่อสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆ
องค์การพยายามเผยแพร่แนวคิดเหล่านี้ไปสู่รัฐและประชาชน
เพื่อให้การผลักดันบรรลุผลได้
ปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผู้อำนวยการองค์การองค์การแอมเนสตี้ฯ
แถลงถึงประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางที่สุดในประเทศไทย 5
ประเด็น ได้แก่
1. การขัดแย้งกันทางอาวุธ พลเรือนเป็นเป้าหมายในการโจมตี จนมีการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ที่สำคัญคือในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
2. การลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น
แต่กลับไม่สามารถนำผู้กระทำผิดที่เป็นฝ่ายความมั่นคงมาเข้าสู่กระบวนการ
ยุติธรรมได้ เช่น การประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน
จนกลายเป็นการป้องกันไม่ให้ฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อาจกระทำการละเมิด
สิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่ในกรณีของเหตุการณ์รุนแรงช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม
2553 ที่จะต้องหาผู้รับผิดมาให้ได้ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำฝ่ายใดก็ตาม
แต่กระบวนการนี้เป็นที่น่ากังวลเพราะดำเนินการไปอย่างเชื่องช้ามาก
3. การถูกจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก
อันเป็นผลมาจากการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ที่ผ่านมาการเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา112 เกิดความล้มเหลว
เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
และรัฐสภาก็ปฏิเสธที่จะนำการแก้ไขเพิ่มเติมเข้าสู่วาระพิจารณา ต่อกรณีนี้
แอมเนสตี้จะเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายนี้ต่อไป
ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ฟ้องร้องเอาผิด และอัตราโทษที่สูงจนเกินไป
ที่ผ่านมาแอมเนสตี้รณรงค์เรียกร้องให้ปล่อยตัว “นักโทษทางความคิด”
หมายถึงผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมืองอย่างสันติ
ในขณะนี้มีกรณีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ
ที่ถูกตัดสินจำคุก 10 ปีในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และเมื่อเร็วๆ นี้
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้รับกรณีของสมยศเป็น “บุคคลที่มีความเสี่ยง”
โดยมีแผนจะยกระดับการรณรงค์เป็นในระดับนานาชาติต่อไป
4.
ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเข้าเมืองมีความเสี่ยงที่จะถูกควบคุมตัวและถูกส่งกลับ
ประเทศเดิม กลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือชาวโรฮิงญา
มีความเสี่ยงที่จะถูกส่งกลับมาก
การที่รัฐมีนโยบายช่วยเหลือโดยการให้เสบียงและน้ำมันเรือ
เพื่อไม่ให้แวะฝั่งไทย ให้ไปต่อที่อื่น ไม่ใช่การช่วยเหลือที่แท้จริง
แต่เปรียบเสมือนการส่งตัวกลับ
นอกจากนี้ยังมีการใช้อาวุธกับผู้แสวงหาที่พักพิงด้วย
5. การมีโทษประหารชีวิต
แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้จะมีการปลดโซ่ตรวนของนักโทษประหาร
แต่โทษประหารก็ยังคงอยู่ ปีที่ผ่านมีนักโทษประหาร 58 คนได้ลดโทษ
เหลือจำคุกตลอดชีวิต แต่ก็มีผู้ได้รับโทษประหารใหม่อีกกว่าร้อยคน
มากขึ้นกว่าปีก่อนหน้านี้ราวสองเท่า ต่อกรณีนี้
แอมเนสตี้กำลังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยพิจารณาเลิกโทษประหารชีวิต
และให้ผนวกเอานโยบายดังกล่าวไปใว้ในร่างแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่ 3
(พ.ศ. 2557-2561) ที่รัฐบาลกำลังร่างอยู่
นอกจากนี้
ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยประกาศพักการใช้โทษประหารชีวิตในทันที
สนับสนุนมติการพักโทษประหารชีวิตต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี
หน้า
และเสนอให้แก้ไขกฎหมายเพื่อลดจำนวนความผิดทางอาญาที่มีบทลงโทษประหารชีวิตลง
โดยขณะนี้อาชญากรรมร้ายแรงที่มีโทษประหารชีวิตอยู่ 55 ความผิดอาญา
รวมถึงเรียกร้องให้รัฐลงนามให้สัตยาบันในพิธีสารกติการะหว่างประเทศ
ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมืองที่มุ่งยกเลิกโทษประหารชีวิตภายในปี
2561 ด้วย
ภายหลังการแถลงสถานการณ์สิทธิมนุษยชน
ภรรยาของผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนสองคน ได้แก่ สุกัญญา พฤกษาเกษมสุข และ
อังคณา นีละไพจิตร ได้กล่าวถึงสถานการณ์เสรีภาพในการแสดงออก
และสถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
สุกัญญา พฤกษาเกษมสุข ภรรยาของสมยศ พฤกษาเกษมสุข
ได้หยิบยกประเด็นการใช้เสรีภาพในชีวิตประจำวันขึ้นมา โดยตั้งคำถามว่า
เราสามารถทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้บ้างในสังคมที่เราอยู่ขณะนี้
“ลองนึกดูว่าในแต่ละวัน
เราสามารถแสดงความคิดเห็นอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น
แล้วเราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากโดยไม่ต้องเกรงว่าคู่สนทนาจะเอาไปนินทา
หรือแจ้งความกับตำรวจ ในกรณีที่ใครซักคนอาจตีความว่า
คำพูดของเราดูหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เราสามารถพูดได้หรือไม่ว่า
เรามีแฟนเป็นเสื้อแดง ชอบและชื่นชมการบริหารเศรษฐกิจแบบทักษิโนมิกส์
ไม่ชอบไปยืนรับเสด็จเพราะแดดร้อนหรืออะไรก็ตามแต่
หรือขี้เกียจยืนตรงในโรงหนังก่อนหนังฉาย ร้ายยิ่งไปกว่านั้น
เราไม่สามารถที่จะเขียนหนังสือหรือบทความ หรือตั้งคำถามถึงความรักและศรัทธา
ในสิ่งที่เกินความสามารถของมนุษย์
และเกินกว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะอธิบายได้
หรือเอะใจและถามเพื่อนที่นั่งข้างๆเราในรถไฟฟ้าว่าจริงหรือไม่
เกี่ยวกับรายงานข่าวของนิตยสาร Forbes
เรื่องราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดติดอันดับโลก
หรือแม้แต่เมื่อมีคนเอารูปพระพุทธเจ้าปางตันตระมาลงในเน็ต
แล้วคนจำนวนมากโมโหฉุนเฉียวและก่อนด่าว่า พวกที่เอารูปมาลงเป็นพวกมารศาสนา
ทั้งๆที่พระพุทธรูปปางนี้ เป็นที่นับถือของชาวธิเบต...” สุกัญญากล่าว
"หากเรารู้สึกว่าทำไปแล้วจะถูกประณามกลับมาอย่างรุนแรงหรือถูกดำเนิน
คดี ก็แสดงให้เห็นว่า สังคมปิดกั้นข้อมูล มักใช้ความรุนแรงเข้าปะทะ
แต่ไม่หักล้างด้วยเหตุผล
ไม่มีวุฒิภาวะในการอดกลั้นที่จะรับฟังความเห็นที่แตกต่าง
แต่พร้อมจะเห็นด้วยจำกัดเสรีภาพโดยรัฐหรือหน่วยงานใดก็ตาม
เช่นนี้คงไม่อาจบอกได้ว่าเราอยู่ในสังคมอุดมปัญญา"
นอกจากนี้
สุกัญญายังได้กล่าวถึงการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนสืบเนื่องจากการ
ใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า
เป็นกฎหมายที่ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐมีทัศนคติด้านลบต่อผู้ต้องหาในคดีนี้
ผู้ต้องหาจึงถูกปฏิบัติตอบด้วยความลำเอียง
ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ
เช่นการยกกำลังตำรวจพร้อมอาวุธครบมือบุกจับชาชราวัย 70 ปี
การออกหมายจับและการจับกุมที่ไม่โปร่งใส การล่ามโซ่ตรวน
การใส่กุญแจมือรวมกับนักโทษคนอื่นๆ การใส่ชุกนักโทษ
แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างการสืบพยาน การไม่สิทธิปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสู้คดี
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการลงโทษหนักเกินกว่าพฤติการณ์แห่งคดี
ด้าน อังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของทนายสมชาย นีละไพจิตร
ผู้ถูกบังคับสูญหายตั้งแต่ปี 2547
กล่าวถึงสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ของประเทศไทยว่า
ตัวเลขการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากการทรมาน ลักพาตัว และอุ้มฆ่าลดลง
แต่กลับมาการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น
ผู้เสียหายและญาติต่างสิ้นหวังในกระบวนการยุติธรรม
แต่ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เป็นฝ่ายความมั่นคงกลับไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
อังคณาเห็นว่า ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันนี้
เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้กฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจแก้เจ้าที่รัฐ
คุ้มกันพนักงานของรัฐ
จนเกิดความเคยชินว่าตนเองไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบการกระทำที่ผิดกฎหมาย
มีโอกาสถูกลงโทษน้อยมาก
เจ้าหน้าที่บางรายจึงเลือกใช้วิธีการนอกกฎหมายได้ตามอำเภอใจ
เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลหรือเพื่อแก้ไขข้อพิพาทส่วนบุคคล
การกระทำเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดการบังคับให้สูญหาย
การสังหารนอกกระบวนการกฎหมาย การควบคุมตัวโดยพลการ การทรมาน ข่มขู่ คุกคาม
จนกลายเป็นวิธีการที่ชอบธรรมและจำเป็นเพื่อควบคุมปราบปรามผู้เห็นต่าง
ทั้งหมดนี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ ในงานแถลงข่าวดังกล่าว มีตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย คือ ส.ส.
พีรพันธ์ุ พาลุสุข และพรรคประชาธิปัตย์ คือ ส.ส. รัชฎาภรณ์ แก้วสนิท
มาร่วมฟังการแถลงรายงานตามคำเชิญของผู้จัดด้วย
และได้รับมอบรายงานสิทธิมนุษยชนของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น