แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: เลี่ยงสงครามกลางเมืองด้วยการเลือกตั้ง

ที่มา Thai E-News

 รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2556

 การรุกครั้งล่าสุดของพวกเผด็จการที่กระทำต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ดูจากภายนอกแล้ว ก็ยังคงดำเนินไปตาม “สูตรเดิม” คือ มีกองหน้าประกอบด้วยกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง ซึ่งคราวนี้ได้ผัดหน้าทาแป้งใหม่เป็น “คณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (กปปส.) และเปลี่ยนตัวผู้นำขบวนมาเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์

 ส่วนแนวรบในสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ได้สั่งสส.ทั้งหมดของตนลาออกเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 เพี่อตัดหนทางมิให้พรรคเพื่อไทยสามารถใช้กลไกทางสภาได้ รวมทั้งเป็นการกดดันให้นายกรัฐมนตรียอมยุบสภา

 ตระกูลชินวัตรและแกนนำพรรคเพื่อไทยยังคงเดินแนวทางประนีประนอมกับพวกจารีต นิยม แม้จะตระหนักดีว่า ศึกครั้งนี้ ฝ่ายจารีตนิยมหมายมุ่งถึงขั้นทำลายตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อได้รับ “คำสัญญา” ว่า จะให้มีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน นายกรัฐมนตรีก็ได้ยอมต่อแรงกดดัน ประกาศยุบสภา กลายเป็นรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีรัฐสภาและไร้อำนาจบริหาร รอความหวังแต่เพียงว่า พวกจารีตนิยมจะรักษาคำมั่นสัญญา และหวังว่า แรงกดดันจากนานาชาติจะทำให้ฝ่ายเผด็จการยอมให้มีการเลือกตั้งในที่สุด

 นาทีนี้ จึงเหลือแต่จังหวะเวลาที่ฝ่ายจารีตนิยมจะใช้ตุลาการ ปปช. และท้ายสุดคือ แรงกดดันจากกองทัพ เพื่อจัดการกับตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยเป็นขั้นสุดท้ายเท่านั้น

 การรุกครั้งล่าสุดของพวกจารีตนิยมแม้จะดำเนินตาม “สูตรเดิม” เหมือนปี 2549 ที่โค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และปี 2551 ที่โค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน แต่ในครั้งนี้ ก็มีลักษณะพิเศษกว่าสองครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด

 ประการแรก การรุกครั้งนี้มีลักษณะปฏิกิริยาถอยหลังอย่างชัดเจน มุ่งที่จะล้มเลิกการเมืองแบบเลือกตั้ง นี่เป็นการเปลี่ยนไปจากแนวทางเดิมที่พวกจารีตนิยมเคยใช้มาตั้งแต่รัฐประหาร 2549 ซึ่งในเวลานั้น พวกเขายังต้องการใช้เปลือกนอกของระบบรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 มาเคลือบคลุมเนื้อในที่เป็นเผด็จการของตนไว้ แต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2550 และ 2554 พิสูจน์ว่า ทั้งรัฐธรรมนูญ 2550 และกลไกตุลาการอันบิดเบี้ยวที่พวกเขาบรรจงสร้างขึ้น ก็ยังไม่ช่วยให้สามารถเอาชนะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในสนามเลือกตั้ง แล้วจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นหุ่นเชิดของพวกเขาได้ แต่กลับได้มาซึ่งรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งสามารถฉวยใช้กลไกของรัฐธรรมนูญ 2550 มาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อบ่อนเซาะอำนาจของพวกเขาอีกด้วย

 นัยหนึ่ง รัฐธรรมนูญ 2550 ได้กลายเป็น “หอกทมิฬแทงทมิฬ” สำหรับพวกจารีตนิยมไปเสียแล้ว! การเคลื่อนไหวของเผด็จการในวันนี้จึงมีเป้าหมายที่อยู่นอกกรอบของรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งก็คือ แทนที่สภาผู้แทนฯและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยฝ่ายนิติบัญญัติและ รัฐบาลที่แต่งตั้งโดยพวกจารีตนิยม!

 ประการที่สอง การรุกของพวกต่อต้านประชาธิปไตยครั้งนี้ได้เผยธาตุแท้ที่เป็นเผด็จการล้า หลังออกมาจนหมดสิ้น สะท้อนออกมาเป็นการเคลื่อนไหวของ กปปส. ที่ชูธงนำทางความคิดว่าด้วย “สภาประชาชน” และ “นายกฯคนกลาง” ที่ถูกนำเสนอออกมาอย่างเป็นเอกภาพพร้อมกันถึง 4 กลุ่มคือ กปปส. กลุ่มอธิการบดีมหาวิทยาลัย กลุ่มนักวิชาการที่นิยมกษัตริย์และนิยมทหาร แล้วโหมกระพือให้เป็นกระแสสังคมคนชั้นกลางด้วยสื่อมวลชนกระแสหลักที่เลือก ข้างเผด็จการ

ทั้งหมดนี้ได้รวบยอดขึ้นเป็นวาทกรรม “ปฏิรูปประเทศไทย” ปลุกปลั่นกระแสปฏิเสธการเลือกตั้ง เรียกร้องให้ “ปฏิรูปก่อน เลือกตั้งทีหลัง” ไม่เอาการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยอ้างว่า ถ้าไม่ “ปฏิรูป” แล้วรีบเลือกตั้ง “ระบอบทักษิณ” ก็จะหวนกลับมาเถลิงอำนาจอีกอยู่ดี ฉะนั้น จึงต้อง “ปฏิรูปก่อน” ซึ่งก็คือ ฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ทำลายตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ปราบปรามประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยให้หมดสิ้นก่อน แล้วปกครองด้วยเผด็จการอย่างเปิดเผยอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะหวนคืนสู่ระบบการเมืองแบบเลือกตั้งอีกครั้ง

การโหมกระแส “ปฏิรูปก่อน เลือกตั้งทีหลัง” จึงเป็นยุทธวิธีที่มุ่งขัดขวางไม่ให้มีเลือกตั้ง และเปิดช่องให้ใช้วิธีการนอกรัฐธรรมนูญโดยผ่านตุลาการและทหาร เพื่อนำเอาระบอบเผด็จการเข้ามานั่นเอง

ประการที่สาม ในการรุกของพวกจารีตนิยมครั้งนี้ ดารานักร้องนักแสดง นักเคลื่อนไหวเอ็นจีโอ นักวิชาการ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ปัญญาชนทุกแขนง สื่อมวลชนกระแสหลัก ล้วนได้เผยระบบความคิดที่เป็นอุดมการศักดินานิยมออกมาอย่างหมดเปลือก ซึ่งก็คือ ความคิดพื้นฐานที่ว่า “คนเราเกิดมา ไม่เท่ากัน” มีชนชั้นศักดินาที่ “เหนือคน เหนือเทวดา” ผูกขาดทั้งอำนาจ โภคทรัพย์ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมชั้นสูง กับชนชั้นไพร่ที่ “ต่ำชั้นกว่า” ทั้งโภคทรัพย์ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ความคิดนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในหมู่ผู้ปกครองไทย และได้ถูกมอมเมา แพร่ระบาดไปยังชนชั้นกลางในเมืองที่เป็นหางเครื่องศักดินาในปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ ความคิดศักดินาดังกล่าวถูกแสดงออกโดยดารานักแสดงนักร้องตัวตลกที่ปราศจาก สมองมนุษย์ ซึ่งผรุสวาทออกมาแล้วก็เป็นที่สมเพชของสังคม แต่ในการรุกครั้งล่าสุด ชนชั้นกลางในเมืองจำนวนหนึ่งได้ประสานเสียงร่วมกันแพร่ความคิดดังกล่าวออกมา อย่างเป็นระบบ ในรูป “คนชนบทนั้นโง่และไร้การศึกษา ไม่ควรมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง คนเหนือ-อีสาน ลาวนั้นโง่ เลว ซื้อสิทธิ์ขายเสียง” ไปถึงขนาดผู้บริหารมหาวิทยาลัยและนักวิชาการใหญ่ที่นิยมกษัตริย์-นิยมทหาร เอาความคิดดังกล่าวมาวิเคราะห์ ปั้นแต่งอุปโลกน์ให้เป็น “ข้อคิดทางวิชาการ” อภิปรายกันเป็นคุ้งเป็นแควบนเวทีเสวนาในหอประชุมอันทรงเกียรติ์

ผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักวิชาการ และชนชั้นกลางในเมืองที่ช่วยกันสำแดงความคิดดังกล่าวออกมานั้น ลืมรากเง่ากำพืดของตัวเองเสียสิ้นว่า ถ้าย้อนหลังเวลาไปสักร้อยหรือสองร้อยปี ต้นตระกูลของคนพวกนี้ ทั้งปู่ย่าตายายและพ่อแม่ ก็ล้วนเป็นไพร่เลกไร้ศึกษา ถูกสักข้อมือ ขูดรีดเกณฑ์แรงงานโดยพวกศักดินาด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่คนชั้นกลางกรุงเทพฯที่มีเชื้อสายจีนและมีการศึกษาสูงในวันนี้ ก็สืบมาจากไพร่ชาวนาที่ยากจนบนแผ่นดินจีน จากกรรมกรจับกังทำงานแบกหามตามโกดังและโรงสีริมแม่น้ำเจ้าพระยา หรือคนจีนอันต่ำต้อยที่ค้าขายเบ็ดเตล็ดอยู่ทั่วไปในกรุงเทพและหัวเมืองใน อดีต เพียงแต่คนชั้นกลางรุ่นปัจจุบันที่เป็นลูกหลานได้รับการศึกษา อาชีพการงาน สถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และการอุ้มชูโดยพวกศักดินา ก็ทำให้คนพวกนี้ลืมกำพืดเดิมของตัวเอง ยกตนเทียบชั้นเป็นศักดินาเสียเองในวันนี้! กระทั่งหลายคนยังลืมไปว่า บรรพบุรุษของตนก็มีเชื้อสายคนเหนือ อีสาน ลาว เขมร ปะปนกันมาทั้งสิ้น
การรุกของพวกเผด็จการที่มีคนชั้นกลางในเมืองเป็นหางเครื่องครั้งนี้จึงเป็น อันตรายที่คุกคามต่อฝ่ายประชาธิปไตยมากที่สุดนับแต่ปี 2549 เป็นต้นมา แต่ก็เป็นการรุกในสภาพที่มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยได้เข้มแข็งเติบใหญ่ทั่ว ประเทศ และได้รับแรงสนับสนุนอย่างล้นหลามจากเพื่อนมิตรนานาประเทศทั่วโลก ซึ่งจะไม่ยอมให้พวกจารีตนิยมหมุนนาฬิกาย้อนกลับไปสู่เผด็จการเบ็ดเสร็จอีก หากพวกจารีตนิยมจะดันทุรังไม่ให้มีเลือกตั้ง ก็สุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่ “สงครามกลางเมืองที่หลั่งเลือด” ในที่สุด

ฝ่ายประชาธิปไตยมีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะนองเลือดได้ ซึ่งก็คือ เคลื่อนไหวมวลชนทั่วประเทศ ประสานกับเพื่อนมิตรนานาชาติ ก่อกระแสรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดให้จงได้ รวมทั้งปรามตุลาการและทหาร เพื่อสกัดแผนการของพวกเผด็จการที่จะอ้าง “การปฏิรูป” มาทำลายขบวนประชาธิปไตย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น