"และเหนืออื่นใดเป็นความกลัวของชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ต่อการที่มีคะแนนเสียงน้อยกว่าชนชั้นล่างพวกคนบ้านนอกในกรุง"
โดย ดันแคน แม็คคาร์โก
นิวยอร์ค
–
ประเทศไทยไม่ได้มีแค่หนึ่งประชาธิปไตย แต่มีถึงสอง ในทศวรรษ ๑๙๙๐
นักรัฐศาสตร์ของไทยนามว่าเอนก
เหล่าธรรมทัศน์ วิจารณ์ไว้ว่าชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ
เป็นพวกมีการศึกษาและฉลาด
ต่อต้านคอรัปชั่น และยึดถือค่านิยมประชาธิปไตย
ขณะที่มวลชนส่วนใหญ่ที่ไร้การศึกษาในท้องที่อื่นทั้งหมดของประเทศถูกชักจูง
ได้โดยง่ายจากนักการเมืองฉ้อฉล
ความ
คิดอย่างนี้ถูกนำมาฉายซ้ำอีกโดยชนชั้นกลางของกรุงเทพฯ
ที่ออกไปชุมนุมกันบนท้องถนนล้นหลาม และเข้ายึดสถานที่ราชการ
บีบคั้นให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากการเลือกตั้งต้องประกาศให้มีการเลือกตั้งก่อนกำหนดใน
เดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึง
ที่จริงนั้นพวกผู้ประท้วงเหล่านี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฎีของเอนกไม่ถูกต้อง
ในตอนนี้กลายเป็นว่าพวกชนชั้นกลางในเมืองนั่นต่างหากที่ถูกสนตะพายโดยนักการเมืองที่หลงทางอย่างสุเทพ
เทือกสุบรรณ
อดีตรองนายกรัฐมนตรีผู้ที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อจะมาเป็นแกนนำการประท้วง
และไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ส่วนพวกผู้มีสิทธิออกเสียงชาวชนบทกลับเป็นพวกที่สนับสนุนประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง
รัฐบาลในไทยส่วนมากมักเป็นรัฐบาลผสมที่อ่อนแอของบรรดาพรรคการเมืองที่แข่งขันแก่งแย่งกัน
ซึ่งหมายความว่าพวกชนชั้นนำในกองทัพ ในราชสำนักและในแวดวงตุลาการ คือผู้มีอำนาจสั่งการแท้จริงเป็นส่วนใหญ่
เพราะว่าคนเหล่านี้สามารถคว่ำนายกรัฐมนตรีได้ตามความพอใจ ระบอบกษัตริย์สำหรับประเทศไทยก็เหมือนกับระบอบเคมาลในตุรกี
โดยมีหลักการตอม่อที่กองทัพมักอ้างสิทธิสร้างความชอบธรรมแก่การยึดอำนาจเพื่อรักษาความมั่นคงแห่งรัฐ
อย่าง
น้อยนี่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นเรื่อยมาจนกระทั่งปี
๒๕๔๔ เมื่อทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของยิ่งลักษณ์ชนะเลือกตั้งครั้งแรก
เปิดทางให้กับชัยชนะอีกต่อๆ มาของพรรคที่เขาหนุนหลัง ในปี ๒๕๔๘ ๒๕๔๙ ๒๕๕๐
และ ๒๕๕๔ เขาเริ่มจากเป็นนายตำรวจเชียงใหม่มาสู่เจ้าพ่อโทรคมนาคม
แล้วเป็นนักการเมืองเหลี่ยมพราว
ทักษิณเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์คำวิจารณ์อย่างกว้างขวางและสร้างแรงกระเพื่อมขึ้นในสังคม
เขาถูกโค่นด้วยการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๔๙ ปัจจุบันลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ
และจะถูกจำคุกหากกลับบ้านเกิด กระนั้นเขาสามารถกอบอำนาจไว้ในกำมือของพรรครัฐบาลอันโดดเด่น
ที่ยังยืนหยัดอยู่มาได้หลังจากถูกยุบพรรคสองครั้งกับการวินิจฉัยอย่างท้าทายอีกหนึ่งครั้งของฝ่ายตุลาการ
ประชาธิปัตย์
พรรคการเมืองเก่าแก่ทีสุดของประเทศไทยซึ่งชนะเลือกตั้งครั้งสุดท้ายเมื่อปี ๒๕๓๕
มีฐานเสียงอยู่ในหมู่ข้าราชการและพวกอนุรักษ์นิยมในกรุงเทพฯ กับภาคใต้
ไม่ใหญ่พอที่จะเป็นคะแนนเสียงส่วนมากในประเทศได้
พวกพ่ายแพ้ที่คั่งแค้นเหล่านี้แหละที่กำลังพยายามโค่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ขณะนี้
สมาชิกของพรรคพากันลาออกจากสภาผู้แทนราษฎรแล้วเข้าร่วมการประท้วงกับพวกที่เรียกร้องอย่างเลื่อนลอยให้ยุติระบอบทักษิณ
พร้อมทั้งกล่าวหานักการเมืองค่ายทักษิณว่าซื้อเสียงในชนบท
ผู้
ประท้วงเหล่านี้ผิดพลาดที่ไม่ทำความเข้าใจต่อข้อเท็จจริงว่าตระกูลชินวัตร
เป็นเพียงผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างชาญฉลาดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการ
เมืองชนิดพลิกแผ่นดินในประเทศไทย
แม้ว่าเงินมีบทบาทต่อการเลือกตั้งของไทยทุกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
คุณทักษิณ
คุณยิ่งลักษณ์
และพรรคการเมืองของเขาทั้งสองได้เสริมสร้างมวลสมาชิกขนาดยักษ์ของผู้ชื่นชอบ
อย่างแท้จริงให้เกิดขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท้องที่ประชากรหนาแน่นในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
ของประเทศ
ในพื้นที่เหล่านี้นอกจากจะหาพวกชาวนาล้วนๆ ได้ยากแล้ว
พวกเขาได้กลายเป็นคนบ้านนอกในกรุงกันไปหมด เป็นคนต่างจังหวัดก็แต่ในทะเบียน
คนเหล่านี้อพยพเข้าไปทำงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครแต่ว่าไปออกเสียงเลือกตั้งที่บ้านเกิดในชนบท
ผลการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทยเดี๋ยวนี้วัดได้จากจำนวนคนบ้านนอกในกรุงราว ๑๖
ล้านคนหรือมากกว่านั้น ซึ่งนับได้เท่ากับหนึ่งในสามของผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด
คนบ้านนอกในกรุงเหล่านี้มีรายได้ไม่ด้อยไปกว่าชนชั้นกลางชาวกรุงซึ่งเป็นคู่แข่งเท่าไรนัก
แต่พวกเขามักมีหนี้สินติดตัว การงานไม่ค่อยมั่นคง และมักทำงานพร้อมกันสองแห่งขึ้นไป
คนเหล่านี้ไม่นิยมยึดอาชีพทางการเกษตรเหมือนคนบ้านนอกสมัยก่อน
พวกเขาพอใจกับประโยชน์ที่ได้จากสังคมแห่งการบริโภคมากกว่าและชอบที่จะส่งลูกหลานเรียนมหาวิทยาลัย
เช่นเดียวกับฐานเสียงสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์พวกเขาฝันเห็นความก้าวหน้าในทางเศรษฐกิจสังคม
เป็นเวลานับสิบปีที่พรรคฝักฝ่ายของทักษิณสามารถกำคะแนนเสียงจากคนเหล่านี้ไว้เหนียวแน่นด้วยนโยบายประชานิยม
อย่างเช่นโครงการเกื้อหนุนสุขภาพถ้วนหน้า
และเงินทุนพัฒนาหมู่บ้านเพื่อส่งเสริมธุรกิจย่อย
พวก
ที่ประท้วงต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ
เวลานี้เป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของวงศ์วานแห่งระบบปิตูปถัมภ์ไทย
อันสะท้อนถึงความดึงดันของชนชั้นนำเก่ากับชนชั้นกลางพันธมิตรของพวกเขา
ที่จะสกัดกั้นพลังอำนาจที่กำลังเพิ่มมากขึ้นของผู้ออกเสียงในชนบทเดิมด้วย
การโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์
พวกเขาเรียกร้องให้จัดตั้งสภาประชาชนที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งขึ้นเป็นผู้
บริหารชั่วคราวในการปกครองประเทศจากตัวแทนสาขาอาชีพต่างๆ
เพื่อทำการปฏิรูปทางการเมือง
ผลก็คือนี่เป็นเผด็จการของพวกนายทุนเหนือส่วนอื่นของทั้งประเทศ
การประท้วงเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแห่งความหวาดระแวง
อาการตื่นกลัวนี้มีที่มาจากหลายแหล่ง –หวั่น
วิตกต่อเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ
พลฯ
กำลังทรงเข้าสู่สนธยาวัย
หวาดหวั่นต่อการเปลี่ยนผ่านรัชกาลทั้งที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนมาเลย์-มุสลิม
ในภาคใต้อันเป็นแหล่งก่อการร้ายรุนแรงแห่งหนึ่งของโลกยังคงกรุ่นระอุอยู่ไม่
หยุดยั้ง
วิตกว่าจะต้องโดดเดี่ยวในเมื่อกลุ่มที่สนับสนุนทักษิณทำการจัดตั้งหมู่บ้าน
เสื้อแดงนับพันๆ
บนพื้นที่เอกเทศทางจิตสำนึกในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
และเหนืออื่นใดเป็นความกลัวของชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ
ต่อการที่มีคะแนนเสียงน้อยกว่าชนชั้นล่างพวกคนบ้านนอกในกรุง
มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดเอาเสียเลย
เพียงไม่กี่อาทิตย์ก่อนหน้านี้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ยังปกครองประเทศด้วยความเห็นชอบอย่างเงียบๆ
ของกองทัพและสถาบันกษัตริย์ รัฐบาลของเธอมีข้อผิดพลาดหลายอย่าง
แต่เป็นเวลาสองปีครึ่งที่ปราศจากการประท้วงอย่างหนักหน่วง
และความแตกแยกแบ่งพวกอย่างบาดลึกก็ถูกเอากระดาษปะคลุมไว้ได้
ข้อตกลงระหว่างฝ่ายสนับสนุนทักษิณและฝ่ายต่อต้านทักษิณของพวกชนชั้นนำจำต้องมีขึ้นโดยเร็วไว
ครั้งนี้จะต้องมีการขยายขอบข่ายออกไปถึงมวลชนสาธารณะที่กว้างขวางกว่า
พวกคนบ้านนอกในกรุงก็ควรได้รับอนุญาตให้ลงทะเบียนเลือกตั้งในกรุงเทพฯ
และปริมณฑลได้ อำนาจควรกระจายออกไปให้เกิดประโยชน์แก่ต่างจังหวัด
โดยให้มีอิสระในทางปกครองแก่ท้องที่ภาคใต้ที่ยังเป็นปัญหา
แทนที่จะไปยึดครองสถานที่ของกระทรวงต่างๆ
ในกรุงเทพฯ
พรรคประชาธิปัตย์จะมีผลงานที่ดีกว่าถ้าหันไปสร้างความประทับใจแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงในชนบท
คนบ้านนอกในกรุงนั้นใช่ว่าจะเสกให้อันตรธานหายไปง่ายๆ ด้วยความมุ่งมาตรของชนชั้นนำในกรุงเทพฯ
พวกเขามีสิทธิอย่างเต็มเปี่ยมที่จะขอแบ่งปันความสำเร็จทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยคน
เมื่อใดที่พวกเขาไม่ถูกหยามว่าเป็นมวยรองบ่อน
เมื่อนั้นความผูกพันกับพรรคการเมืองในฝักฝ่ายของทักษิณก็จะแห้งเหือดไป
แล้วประเทศไทยก็จะเลิกเป็นสองนคราประชาธิปไตย กลายเป็นชาติที่ร่วมแรงพร้อมใจเป็นหนึ่งเดียว
ดันแคน
แม็คคาร์โก เป็นศาสตราจารย์ด้านการเมืองในเอเซียอาคเนย์ ณ มหาวิทยาลัยลีดส์
และเป็นนักวิจัยอาวุโสร่วมกับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น