แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: สงครามกลางเมืองที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ที่มา Thai E-News

 รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2556

  ฝ่ายจารีตนิยมได้ก่อการรุกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีมานี้ โดยระดมองคาพยพทั้งหมดของตนออกมาล้อมกรอบขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ฉวยโอกาสที่พรรคเพื่อไทยกระทำความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ที่ผลักดันนิรโทษกรรม เหมาเข่ง

 การใช้เล่ห์เพทุบายทางสภาผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเหมาเข่งโดยพรรค เพื่อไทยได้สร้างความโกรธอย่างรุนแรงทั้งในหมู่มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยที่สนับ สนุนพรรคเพื่อไทยและในหมู่ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯที่มีจุดยืนที่เป็นปฏิปักษ์ กับพรรคเพื่อไทยอยู่ก่อนแล้ว พวกจารีตนิยมได้ฉวยโอกาสที่พรรคเพื่อไทยตกในสถานะโดดเดี่ยวจากมวลชนของตนและ จากความโกรธของชนชั้นกลาง ก่อกระแสคลื่นการเคลื่อนไหวมวลชนขนาดใหญ่ขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลโดยอ้างวาทกรรม “ต่อต้านนิรโทษกรรมคนโกง” มีเป้าหมายที่จะโค่นล้มนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรและรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทำลายล้างตระกูลชินวัตรและขบวนประชาธิปไตยทั้งหมดในคราวเดียว

 นี่เป็น “สงครามเผด็จศึกครั้งใหญ่” ของพวกจารีตนิยม พวกเขาจึงระดมสรรพกำลังออกมาอย่างเป็นระบบ ทั้งอธิการบดี ผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักวิชาการ โรงพยาบาล รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชนและลูกจ้าง ไปจนถึงข้าราชการในกระทรวงทบวงกรม และสื่อมวลชนกระแสหลักทั้งหมด จนกลายเป็นกระแสการรุกที่มีลักษณะชนชั้นและลักษณะปฏิกิริยาถอยหลังอย่าง ชัดเจน

 การปะทะกันทางการเมืองครั้งนี้มีลักษณะทางชนชั้นอย่างเด่นชัด พลังมวลชนที่เป็นหลักของฝ่ายจารีตนิยมก็คือ คนชั้นกลางในกรุงเทพฯและหัวเมือง ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการขับไล่นายกรัฐมนตรีสุจินดา คราประยูรเมื่อพฤษภาคม 2535 เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พวกจารีตนิยมตระหนักถึงพลังทางการเมืองของคนกลุ่ม นี้ และนับแต่นั้นมา ก็ได้ดำเนินการอย่างแยบยลเข้าครอบงำและแบ่งปันผลประโยชน์ให้คนกลุ่มนี้อย่าง เป็นระบบทั้งในมหาวิทยาลัย สื่อมวลชนกระแสหลัก และองค์กรธุรกิจใหญ่ ทำให้คนชั้นกลางเหล่านี้ได้ประโยชน์มากที่สุดจากระบอบการปกครองและการพัฒนา เศรษฐกิจนับแต่ปี 2535 เป็นต้นมา

 แต่การพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2535 ก็ทำให้ประชาชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบทได้เข้าสู่ระบบตลาดของทุนนิยม อย่างเต็มตัว สามารถยกระดับสถานะทางเศรษฐกิจของตนขึ้น ประกอบกับการมีรัฐธรรมนูญ 2540 และนโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและพรรคไทยรักไทย ทำให้พวกเขาเกิดการตื่นตัวทางประชาธิปไตยจนสามารถเข้ามากำหนดผลของการเลือก ตั้งและกำหนดการจัดตั้งรัฐบาลในกรุงเทพฯได้อย่างเด็ดขาด แบ่งปันอำนาจบริหาร ทรัพยากรและงบประมาณไปพัฒนาเศรษฐกิจหัวเมืองและชนบทได้เป็นครั้งแรก บางคนจึงเรียกประชาชนเหล่านี้ว่า ชนชั้นกลางใหม่ ซึ่งแตกต่างจากชนชั้นกลางเก่าที่กลายเป็นหางเครื่องของศักดินาและจารีตนิยม

 การปรากฏขึ้นของประชาชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบทในฐานที่เป็นพลังการ เมืองแบบใหม่ เข้ามาท้าทายและแบ่งปันอำนาจในระบบการเมืองแบบเลือกตั้งนี้เองที่ได้สร้าง ความตกใจอย่างมากในหมู่ชนชั้นกลางในเมืองที่ไม่ต้องการแบ่งปันอำนาจ สถานะ ผลประโยชน์ ทรัพยากรและงบประมาณกับคนชนชั้นล่างเหล่านี้

 ความขัดแย้งทางการเมืองนับแต่ต้นปี 2549 ถึงปัจจุบัน เป็นการต่อสู้ทางชนชั้นที่ยืดเยื้อระหว่างประชาชนชั้นล่างทั้งในเมืองและ ชนบท (หรือ “ชนชั้นกลางใหม่”) ฝ่ายหนึ่งซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทนและมีสภาที่มาจากการเลือกตั้งเป็น เครื่องมือ กับกลุ่มเผด็จการจารีตนิยม กลุ่มทุนเก่าที่เกาะกินอยู่กับจารีตนิยมมานับร้อยปี และประชาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯและหัวเมือง (หรือ “ชนชั้นกลางเก่า”) อีกฝ่ายหนึ่ง ที่มีกลไกรัฐ ทั้งกองทัพ ศาล ตุลาการ ข้าราชการ และพรรคประชาธิปัตย์เป็นเครื่องมือ

 กระแสการรุกของฝ่ายเผด็จการครั้งนี้ยังมีลักษณะปฏิกิริยาถอยหลัง เพราะนอกจากจะมุ่งทำลายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและขบวนประชาธิปไตยทั้งหมดแล้ว พวกเขายังจะทำลายระบบการเลือกตั้งและระบอบรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 ของพวกเขาเองอีกด้วย แทนที่ด้วยระบอบการปกครองที่ให้ “คนดีมาปกครองบ้านเมือง” ที่เป็นเผด็จการของพวกจารีตนิยมอย่างเต็มรูปแบบ เป็นการฝืนกระแสประชาธิปไตยและกระแสเสรีนิยมอันเป็นที่ต้องการของประชาชนไทย ส่วนใหญ่ที่สุดและที่กำลังเป็นกระแสสะพัดไปทั่วโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ปัจจุบัน การปะทะกันในปัจจุบันจึงเป็นการต่อสู้สองแนวทางระหว่างประชาธิปไตย เสรีนิยมแห่งโลกาภิวัฒน์ กับเผด็จการจารีตนิยมที่ล้าหลังเข้าคลองอีกด้วย

 การต่อสู้ทางชนชั้นและการต่อสู้สองแนวทางนี้ดำเนินมาตั้งแต่ต้นปี 2549 จนถึงปัจจุบัน จึงนับเป็นสงครามกลางเมืองอย่างแท้จริงเมื่อประเทศแตกแยกออกเป็นสองค่ายที่ ฝ่ายหนึ่งมีมวลชนทั้งประเทศ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งมีกลไกรัฐและพลังทางเศรษฐกิจ เพียงแต่ยังเป็น “สงครามกลางเมืองที่ไม่หลั่งเลือด” เพราะถึงแม้จะมีการปะทะใหญ่ด้วยกำลังแล้วสองครั้งคือ กรณีสงกรานต์เลือด 2552 และการสังหารหมู่ประชาชนเมษายน-พฤษภาคม 2553 แต่รูปแบบหลักของการต่อสู้ถึงปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นการใช้กลไกทางการเมืองที่ไม่รุนแรงคือ การเลือกตั้ง การระดมมวลชน พรรคการเมือง และตุลาการ

 ในการปะทะครั้งล่าสุดนี้ ฝ่ายจารีตนิยมกำลังผลักดันความขัดแย้งให้คลี่คลายขยายตัวไปสู่ “สงครามกลางเมืองที่หลั่งเลือด” อย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวคนชั้นกลางในเมืองออกมาขับไล่รัฐบาล การให้สื่อมวลชนกระแสหลักเร่งปั่นกระแสอนาธิปไตยและจลาจล การติดอาวุธให้กลุ่มมวลชนที่บ้าคลั่งเข้ายึดสถานที่ราชการ ทำร้ายบุคคลและประชาชนที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเปิดเผย การใช้ตุลาการเข้ามาบิดเบือนหลักนิติธรรมและรัฐธรรมนูญที่พวกตนร่างขึ้นมา เอง ตลอดจนการใช้อันธพาลติดอาวุธก่อกวนและทำร้ายประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย และท้ายสุดคือ การใช้กองทัพเข้ามาโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ในครั้งนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยได้เติบใหญ่เข้มแข็ง มีฐานมวลประชาชนอยู่ทั่วประเทศจะไม่ยินยอมให้ดำเนินไปได้โดยง่ายอีกต่อไป หนทางข้างหน้าจึงเป็นการปะทะแตกหักระหว่างสองชนชั้นและสองแนวทางอย่างมิอาจ หลีกเลี่ยงได้

 ประสบการณ์ในประเทศที่เป็นอารยะและเป็นประชาธิปไตยแล้วคือบทเรียนที่เราจะ ต้องศึกษา ประเทศไทยไม่ได้แปลกพิเศษและไม่ใช่ข้อยกเว้นแต่อย่างใด การได้มาซึ่งประชาธิปไตยในหลายประเทศทั่วโลก ที่เรียกว่า “การปฏิวัติประชาธิปไตย” ล้วนผ่านการต่อสู้ทางชนชั้นและการต่อสู้สองแนวทางที่ยืดเยื้อ รุนแรง และนองเลือดมาแล้วทั้งสิ้น ระหว่างประชาชนส่วนข้างมากที่ต้องการสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคทางการเมือง กับอีกฝ่ายที่เป็นคนส่วนข้างน้อยที่ต้องการผูกขาดอำนาจ สถานะอันเป็นอภิสิทธิ์ และโภคทรัพย์ไว้ในมือตน ฝ่ายหนึ่งมีจำนวนคนมากกับสองมือเปล่า ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งมีจำนวนคนน้อย แต่สองมือเต็มไปด้วยอาวุธร้ายแรง

 ปัจจัยชี้ขาดว่า ความขัดแย้งจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองที่หลั่งเลือดหรือไม่นั้น ถูกกำหนดโดยผู้ปกครองที่มีกำลังอาวุธอยู่ในมือ หากเขาไม่ยินยอมให้สิทธิเสรีภาพและเสมอภาคแก่ประชาชนส่วนใหญ่ แล้วมิหนำ ยังใช้กำลังรุนแรงเข้าปราบปรามประชาชน กดหัวให้ยอมจำนนแล้ว เมื่อนั้น สงครามกลางเมืองที่หลั่งเลือดก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น