ที่มา พระนครสาส์น
ยังคงเป็น “คำถามคาใจ” สำหรับ “มวลชน กปปส.”
จำนวนมากว่า แท้ที่จริงแล้ว “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แกนนำ กปปส. ที่ประกาศถอย
“ยุบเวทีใหญ่” ปทุมวัน-ราชประสงค์และสีลม แล้วไปซุกตัวอยู่ภายใน
“สวมลุมพินี” ลดระดับการต่อสู้จาก “ม็อบโค่นล้มประชาธิปไตย” ไปเป็น
“ชาวกองทัพธรรม” ยึดสวนลุมฯ เป็นสรณะนั้นเพราะอะไร ??
แม้จะพยายามที่มีความเคลื่อนไหว ไปปิดสถานที่ราชการ และที่ทำการบริษัทเอกชนอยู่บ้าง แต่ที่หายไปอย่างชัดเจนก็คือ “พลัง” ที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เคยอวดอ้างมาก่อนหน้านี้
จากเดิมที่เคยเรียกตัวเองเต็มปากเต็มคำว่า “มวลมหาประชาชน” (แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก) คงเหลือเพียง “ม็อบพันธพาล” ที่เกะกะระรานไปทั่ว อย่างไร้ “ยุทธศาสตร์” !!!
โดย “กปปส.” นั้นชื่อเต็มคือ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นำโดย “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ประกาศ “เป่านกหวีด” นัดชุมนุมครั้งแรกวันที่ 31 ตุลาคม 2556 ที่บริเวณสถานีรถไฟสามเสน โดยอ้างว่า เป็นการค้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม
โดย “4 พ.ย. 2556” ได้ “ยกระดับการชุมนุม” ครั้งแรก โดยเคลื่อนไปปักหลักชุมนุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน โดยประกาศว่า “จะยกระดับการชุมนุมขึ้นอีกจนกว่าจะชนะ”
จากนั้น “7 พ.ย.2556” “สุเทพ” ขึ้นปราศรัยเวทีอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยกล่าวว่า ในวันที่ 11 พ.ย.เวลา 18.00 น. หากรัฐบาลไม่ถอนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้พ้นจากสารบบ จะตั้งศาลประชาชนขึ้นกลางถนนราชดำเนิน ซึ่งนับได้ว่าเป็นการ “ยกระดับ” การเคลื่อนไหวอีกครั้ง ไม่กี่วันหลังจากเพิ่งยกระดับครั้งแรก
11 พ.ย. 2556 “ส.ส.ปชป.” นำโดย “สุเทพ” ประกาศลาออกจากการเป็น “ส.ส.” รวมทั้งสิ้น 9 คน พร้อมทั้ง “ยกระดับการชุมนุม”ด้วย การเชิญชวนประชาชนหยุดงาน-หยุดเรียนทั้งประเทศ ระหว่างวันที่ 13-15 พ.ย. 2556 เพื่อมาร่วมชุมนุม และยังประกาศ 4 มาตรการขับไล่รัฐบาล ประกอบด้วย 1.หยุดงาน 2.ไม่จ่ายภาษี 3.ติดธงชาติที่บ้านและที่รถ และ 4.หากเจอตัวรัฐมนตรีให้เป่านกหวีดใส่
12 พ.ย.2556 “สุเทพ” ขึ้นเวทีปราศรัยอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ประกาศ “ซึ่งในวันศุกร์นี้ (15 พ.ย.)ขอเชิญชวนให้ประชาชนมาที่ราชดำเนินอีกครั้ง เพื่อจะประกาศแนวทางอารยะขัดขืนอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งขอยืนยันว่า มวลชนที่นี้จะต้องมีวันฉลองชัยชนะ ก่อนสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้แน่นอน” ยกระดับถี่ยิบ !
15 พ.ย. 2556 ประกาศมาตรการอารยะขัดขืนขั้นสูงสุด โดย “สุเทพ” ประกาศยกระดับการต่อสู้ 4 มาตรการ 1.ร่วมกันจัดการกับส.ส. ทั้ง 310 คน ด้วยการลงชื่อถอดถอน 2. ไม่สังฆกรรมกับระบอบทักษิณ พบที่ไหนเป่านกหวีดใส่อย่างเดียว 3.ร่วมแรงรวมใจกันต่อต้านสินค้าเครือทักษิณ ส่วนมาตรการขั้นสูงสุด คือ ขอให้ข้าราชการทั่วประเทศหยุดงานและออกมาร่วมชุมนุม
17 พ.ย.2556 สุเทพ ขึ้นเวทีปราศรัยอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกล่าวว่า คณะกรรมการแกนนำได้ตัดสินใจแล้วว่า “วันล้านคนคือวันที่ 24 พ.ย. ซึ่งจะเป็นวันประวัติศาสตร์ของประเทศไทย มากันให้เกินล้าน”
19 พ.ย.2556 “สุเทพ” ปราศรัยอีก ว่า “ ขอประกาศเลยว่ารัฐบาลอยู่ไม่ถึงวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้แน่นอน เพราะวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ ฝีแตกแล้วทนไม่ได้แล้ว”
จากนั้น 24 พ.ย. 2556 ซึ่งเป็น “นัดหมายชุมนุมใหญ่” โดย “แกนนำม็อบ” คุยโวว่า “เกินล้าน” โดย “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” โฆษกการชุมนุม อ้างว่า วัดผลจาก “สติ๊กเกอร์” ที่แจกให้มวลชน 1 ล้านชิ้น
25 พ.ย. 56 “ม็อบ ปชป.” ยกระดับอีกครั้งด้วย ยุทธการ “เดินอารยะขัดขืน 13 เส้นทาง” และบุกยึด “สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังและตั้งเป็นเวทีชุมนุมอีกแห่ง
27 พ.ย. 2556 “สุเทพ” นำมวลชนเดินเท้าจากกระทรวงการคลังเข้ายึดศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ พร้อมประกาศให้ตำรวจออกจากพื้นที่ แล้ว 28 พ.ย. 2556 ได้ประกาศปักหลักชุมนุมตั้งเวทีปราศรัย 3 จุด คือ 1.อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 2.กระทรวงการคลัง และ3.ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ
29 พ.ย. 2556 ม็อบนกหวีด เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “กปปส.” โดย “สุเทพ” ในฐานะ “เลขาธิการ” ใหญ่ ประกาศ “ยกระดับ” อีกครั้ง โดยเดินหน้าบุก-ปิด-ยึด หน่วยราชการต่างๆ
3 ธ.ค.2556 สุเทพ ปราศรัยเปิดเผยแนวทาง “ปฏิรูปประเทศ” ตั้ง “สภาประชาชน” ซึ่งผลักดัน “นายกรัฐมนตรีมาตรา 7”
7ธ.ค.2556 “สุเทพ” ปราศรัย “ยกระดับ” อีกครั้ง ในวันที่ 9 ธ.ค.ซึ่งจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่และจะต้องมีการเผด็จศึกให้ได้ แต่ที่สำคัญคือ “สุเทพ” ประกาศด้วยตัวเองว่า “หากวันที่ 9 ธ.ค. ประชาชนไม่มาร่วม มาไม่เยอะ ไม่ออกมาต่อสู้ ก็ยินดีที่จะเดินเข้ามอบตัวกับตำรวจทันที” !!
8 ธ.ค.2556 ส.ส.ประชาธิปัตย์ทั้ง 153 คนประกาศลาออก จาก ส.ส.
9 ธ.ค.2556 ผู้ชุมนุม เคลื่อน 9 ขบวนล้อมทำเนียบ โดยแบ่งผู้ชุมนุมเป็น 9 กลุ่ม เพื่อเดินไปทำเนียบรัฐบาล พร้อมประกาศปฏิเสธการเลือกตั้ง ภายหลังมีการประกาศ “ยุบสภา” พร้อมเรียกร้องให้จัดตั้ง “สภาประชาชน” มาทำหน้าที่ “นิติบัญญัติ” โดยเรียกว่าปฏิบัติการณ์ประชาภิวัฒน์
12 ธ.ค.2556 “สุเทพ” หารือร่วมกับ 7 องค์กรภาคเอกชน พร้อมเปิดเผยที่มาสภา ประชาชนว่า “มีไม่เกิน 400 คน โดย 300 คน จะมาจากการเลือกตั้งจากกลุ่มวิชาชีพต่างๆ และอีก 100 คน จะมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ กปปส.ร่วมกันสรรหา
17 ธ.ค.2556 “สุเทพ” แอ็คชั่นอีกครั้ง ด้วยการประกาศว่า วันที่ 19-20 ธ.ค. จะเดินขบวนรณรงค์ให้พี่น้องใน กทม. ออกมาร่วมชุมนุมใหญ่ 22 ธ.ค. ซึ่งจะมีผู้ชุมนุมผู้หญิงล้วนไปที่บ้านพักนายกรัฐมนตรี
22 ธ.ค. 2556 กปปส. ตั้งเวทีใหญ่ 5 จุดกลางกรุง พร้อมเวทีย่อยอีก 10 จุด โดยไม่มีการปักหลักยืดเยื้อข้ามวัน
1 ม.ค. 2557 ประกาศ “ยกระดับ” อีกครั้ง ด้วยยุทธการ “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ 13 ม.ค.” โดยมีการเดินขบวนวอร์มอัพ 5,7,9 ม.ค. โดย “สุเทพ” ประกาศแนวทาง “อารยะขัดขืนขั้นสำคัญ” ตัดน้ำ-ตัดไฟ สถานที่ราชการ , บ้านนายกรัฐมนตรี , คณะรัฐมนตรี
3 ม.ค.2557 “สุเทพ” ขึ้นเวทีปราศรัยประกาศ “ทุบหม้อข้าว-ปิดเวทีราชดำเนิน” ตามปฏิบัติการณ์ “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” จนกว่าจะได้รับชัยชนะ
13 ม.ค.2557 “สุเทพ” ยืนยันว่า “ปฏิบัติการณ์ชัตดาวน์กรุงเทพ” นั้นจะต้อง “สู้จนจบเกมส์ ไม่มีการกลับบ้าน และจะสู้ถึงวันสุดท้าย ถ้าแพ้ก็เดินเข้าคุก” และ “ไม่ชนะไม่เลิก” อีกครั้ง
จากนั้น 14 ม.ค.2557 “สุเทพ” ขึ้นเวทีขึ้นปราศรัยที่เวทีอโศก ระบุว่า ถ้านายกรัฐมนตรียังดื้อด้านอยู่ ก็จะบุกจับตัวนายกฯ และรัฐมนตรีเป็นรายคน
16 ม.ค.2557 “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ประกาศ รับสมัครผู้ชุมนุม 500 คน โดยมีภารกิจไล่ล่า นายกรัฐมนตรี”
22ม.ค.2557 “สุเทพ” ประกาศขึ้นเวทีสวนลุมพินีว่า “รัฐบาลจะจนแต้ม จนไม่มีทางออก และสัปดาห์นี้จะนำมวลชนปิดสถานที่ราชการทุกแห่ง”
23 ม.ค.2557 “สุเทพ” ปราศรัยปลุกระดมให้มวลชนขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้า 26 ม.ค.2557 ทุกรูปแบบ โดยกล่าวว่า “เลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีวันสำเร็จ กปปส.ไม่เอาการเลือกตั้ง ประชาชนจะจัดการให้ไม่มีการเลือกตั้ง กปปส.จะเตรียมขัดขวางการเลือกตั้ง เราต้องการปฏิรูปประเทศ”
25 ม.ค.2557 “สุเทพ” สั่งให้มวลมหาประชาชนขัดขวางการเลือกตั้งอีกครั้ง โดยระบุให้เริ่มปฏิบัติการขัดขวางการเลือกตั้ง ตั้งแต่เวลา 07.30 น.ของวันที่ 26 ม.ค.
29 ม.ค.2557 “สุเทพ” ขึ้นเวทีปทุมวันประกาศว่า “เราจะเดินขบวนขับไล่รัฐบาลเป็นขบวนใหญ่ทั่วกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. ,31 ม.ค. และ 1 ก.พ. เพื่อให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง โดยไม่ต้องโนโหวต (No Vote) แต่เอาชัด ๆ เลยว่าไม่ต้องไปเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557”
2 ก.พ.2557 มีการเลือกตั้งทั่วไป
3 ก.พ.2557 “สุเทพ” ขึ้นเวทีปราศรัยแยกปทุมวันถึงเหตุปะทะที่หลักสี่ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.พร้อม ขอบคุณ “มือปืนกลุ่มคนชุดดำ”
จากนั้น 17 ก.พ.2557 “สุเทพ” ประกาศระดมพลใหญ่เพื่อแตกหักอีกครั้ง โดยระบุว่า “วันที่ 19 ก.พ.คือวันที่เราจะรบแตกหัก”
23 ก.พ.2557 “สุเทพ” ปราศรัยเวทีปทุมวันประเทศ จัดทีมติดตามไล่ล่านายกรัฐมนตรีทุกแห่ง เพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้งสภาประชาชน
เมื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” นำพา “ม็อบ กปปส.”ประกาศ “ยกระดับการต่อสู้” มาแล้วรวมกว่า 21 ครั้ง อีกทั้งยัง ประกาศชัยชนะ” มาแล้วมากกว่า 7 ครั้ง ก็หักดิบคำพูดตัวเอง ประกาศ “ถอย” อย่างเป็นทางการ
28 ก.พ.2557 “สุเทพ” ปราศรัยว่า กปปส.ชุมนุม
มากว่า 4 เดือนและได้ทำทุกอย่าง ด้วยการปิดกรุงเทพฯ กว่าเดือนครึ่งแล้ว
เพื่อให้ส่วนราชการทำงานไม่ได้ แต่ปรากฎว่าไม่ได้รับความสนใจ
ทางแกนนำจึงได้ประเมินและขบคิดเรื่องนี้แล้ว
เห็นว่าขอคืนพื้นที่จราจรทุกสามแยก สี่แยกทั้งที่แยกปทุมวัน ราชประสงค์
อโศก สีลมตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.จากนี้จะไปตั้งเวทีใหม่ที่สวนลุมพินี
เพียงเวทีเดียว”
“แต่ก็เชื่อมั่นว่าเกม
ต้องจบภายในเดือน มี.ค. ซึ่งตั้งแต่วันที่ 2-3 มี.ค.
จะได้เห็นสัญญานความพ่ายแพ้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชัดเจนขึ้น พอถึงวันที่
13-15 มี.ค. ก็อาจปิดเกมส์ได้”
เป็นคำประกาศถึง “ชัยชนะ” ครั้งที่เกินกว่า 21+ ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่ยังไม่เห็นหนทางว่า จะ “ชนะ” ได้อย่างไร หากประเทศยังอยู่ในบรรยากาศของประชาธิปไตย
ซ้ำร้ายคำประกาศ “ถอย 1 ครั้ง” ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ก.พ.2557 กลับสร้างผลกระทบให้กับ “กปปส.” ทั้งขบวน
… เพราะไม่เพียง “ภาพโมฆะบุรุษ” ที่ติดตัว “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่ “ยกระดับการต่อสู้” และ “ประกาศชัยชนะ” แล้วไม่สามารถทำตามคำพูดของตัวเองได้แม้แต่ครั้งเดียว เท่านั้น แต่ “คำปฏิเสธ” อย่างตรงไปตรงมาของ “พุทธะอิสระ” ที่จะ “ไม่ยอมถอย” ไปด้วย ยังทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ไม่สามารถสร้างเอกภาพภายในขบวนการกบฎ กปปส. ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกต่อไป
…กระทบก้าวต่อไป ของ กปปส. อย่างปฏิเสธไม่ได้ !!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น