โดย กานต์ ยืนยง
การคงเวทีเพื่อปิดกั้นถนนหลัก ๆ เหล่านี้ของกปปส.
ในระยะหลังยิ่งส่งผลกระทบสะท้อนกลับ สร้างความไม่พอใจต่อประชาชนกรุงเทพฯ
ที่ต้องอาศัยการสัญจรผ่านเส้นทางต่าง ๆ เหล่านั้น
อีกทั้งการชุมนุมปิดกั้นยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ
และมีปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัยกับมวลชนที่ชุมนุมจากการลอบยิงและการ
ใช้ระเบิดของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย
โดยเฉพาะในระยะหลังเกิดการปะทะกันแทบทุกวันในช่วงกลางคืน
ในขณะที่การคง 5 เวทีย่อยที่มีขนาดมวลชนจำนวนน้อยกว่า
ทั้งเวทีที่สะพานชมัยมรุเชฐ นำโดยกลุ่ม คปท., เวทีที่สะพานผ่านฟ้า
นำโดยกลุ่ม กปท., เวทีที่กระทรวงพลังงาน บริเวณโรงพยาบาลหัวเฉียว โดยกลุ่ม
กคป, เวทีที่กระทรวงมหาดไทยโดยกลุ่มนปป. และเวทีที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ
ที่นำโดย หลวงปู่พุทธะอิสระ
ในด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า มวลชนที่เข้าร่วมการ
“ชัตดาวน์” กรุงเทพฯ ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่มีการนำและการดำเนินงานที่แยกเป็นอิสระจาก การนำของ กปปส. และคุณสุเทพ
เทือกสุบรรณ
การตัดสินใจยุบรวมเวทีไปไว้ที่สวนลุมพินี
นอกเหนือจากเหตุผลข้างต้นแล้ว
อีกด้านหนึ่งก็พิสูจน์ให้เห็นว่าลำพังเพียงการชุมนุมและการประท้วงของมวลชน
บนท้องถนน
ไม่เคยก่อให้เกิดการโค่นอำนาจรัฎฐาธิปัตย์ในบริบทของการเมืองไทยมาก่อนเลย
กลไกหลักที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฎฐาธิปัตย์ได้นั้น
จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นจากการทำรัฐประหารของกองทัพ และ/หรือ
การใช้อำนาจขององค์กรอิสระ อาทิเช่น ศาลรัฐธรรมนูญ หรือ ป.ป.ช. ฯลฯ
เพื่อตัดสินความผิดต่อรัฐบาลในปัจจุบันเพียงเท่านั้น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. (ขอบคุณภาพจาก โพสต์ทูเดย์)
|
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เท่าที่ปรากฎมาจนถึงปัจจุบัน
ไม่ปรากฎว่ากองทัพจะทำการเลือกข้าง
เพื่อยืนหยัดอยู่เคียงข้างมวลชนฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
จนกระทั่งมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจออกมาทำการรัฐประหารเหมือนที่เคยปรากฎใน
ช่วงปี พ.ศ.2549
ท่าทีของกองทัพในปัจจุบันเพียงแต่พยายามไม่ทำตัวสนับสนุนรัฐบาล
แต่ก็ไม่ได้ทำตัวสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกปปส. ไปด้วย
ท่าทีเช่นนี้เกิดขึ้นจากหลายเหตุผล
ไม่ว่าจะเป็นเพราะการแสดงสัญญาณอย่างชัดแจ้ง จากประเทศมหาอำนาจหลายประเทศ
ที่ไม่ต้องการสนับสนุนการทำรัฐประหารของกองทัพ
หรือการคาดคำนวณผลได้ผลเสียของฝ่ายเสนาธิการของกองทัพถึงผลกระทบภายหลังการ
ทำรัฐประหาร ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า
จะมีการต่อต้านอย่างหนักจากมวลชนฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล
ไปจนถึงข้อจำกัดในท้ายที่สุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.
คนปัจจุบันเอง ที่เขาเหลืออายุราชการอีกเพียงไม่กี่เดือน
ก็จะถึงวาระการเกษียณราชการภายในปีนี้
เพราะหากกองทัพตัดสินใจทำรัฐประหารจริง
แต่ช่วงเวลาอายุราชการที่เหลือสั้นเต็มทีของ พล.อ.ประยุทธ์
จะทำให้เขาไม่สามารถวางกำลังคนของตนในตำแหน่งที่ทำให้เขามั่นใจได้ว่า
เขาจะสามารถเกษียณราชการ และใช้ชีวิตหลังเกษียณไปได้อย่างไว้วางใจ
เพราะจากประสบการณ์ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.
คนก่อนที่ได้ตัดสินใจทำรัฐประหารไปนั้น
แม้จะมีอายุราชการอยู่นานพอจะวางกำลังคนที่เขาไว้วางใจในตำแหน่งต่าง ๆ
แต่เขาเองก็ยังไม่สามารถวางมือจากเกมอำนาจได้อย่างเต็มที่
และจำเป็นต้องสร้างพรรคการเมืองและเลือกเล่นการเมืองในระบบ
เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นงานเขาในภายหลัง
เมื่อเป็นเช่นนี้
การที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ที่ฝ่ายยุทธศาสตร์ของ กปปส. ต้องการให้เกิด
คือสร้างสภาวะสุญญากาศทางอำนาจ เพื่อนำไปสู่การตั้ง “นายกรัฐมนตรีคนกลาง”
และ “สภาประชาชน” เพื่อทำหน้าที่ “บริหารประเทศชั่วคราว”
จนกว่าจะคืนอำนาจให้กับประชาชน
เพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งในกำหนดเวลาที่ฝ่าย กปปส.
ได้เคยประกาศเอาไว้คือในอีก 18 เดือนหรือหนึ่งปีครึ่งข้างหน้า
จึงหนีไม่พ้นจะต้องใช้กลไกที่เป็นองค์กรอิสระ โดยกลไกที่ต้องจับได้แก่
การที่ ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์เรียก
“ยิ่งลักษณ์”รับทราบข้อกล่าวหาถอดถอนออกจากตำแหน่ง
ในกรณีนโยบายการรับจำนำข้าว
ขอบคุณภาพจาก FB : พลังประชาชน โค่นล้มระบบทักษิณ
|
อันที่จริง การสร้างวาทกรรมให้นโยบายรับจำนำข้าว = โกง
และทำให้ประเทศชาติล่มสลาย เป็นเรื่องที่น่าสนใจและต้องศึกษา
การโหมกระแสการคอร์รัปชั่นต่อนโยบายการรับจำนำข้าว
ของหน่วยงานอิสระและผู้ปราศรัยบนเวที กปปส.
ต่างก็สร้างภาพให้ประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาล
รู้สึกตอกย้ำถึงความรู้สึกที่จะต้องปรับรัฐบาลออกจากอำนาจ
และยอมรับรัฐบาลที่ “เป็นกลาง” ทางการเมือง อาทิเช่น คำปราศรัย
ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ประเทศไทย “เรื่อง การจ่ายเงินใต้โต๊ะ หรือติดสินบน
ประเทศไทยติดอันดับที่ 77 ของโลก เป็นที่ 4 ใน ASEAN” http://on.fb.me/1mxSFFH ทั้ง
ที่ในความเป็นจริงรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีตัวเลข Corruption Perception Index
(CPI) อยู่ในระดับ 3.5 ตกลงจากปีที่แล้วซึ่งทำได้สูงที่ 3.7
(เป็นรองเฉพาะรัฐบาลทักษิณ) ซึ่งอาจเป็นปัญหาเรื่องนโยบายการรับจำนำข้าว
แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลขน้อยที่สุด (ตัวเลข CPI ที่ 3.2
เป็นช่วงตอนต้นรัฐบาลทักษิณ / ปลายรัฐบาลชวน) โปรดดูข้อมูล CPI ของ 23
ประเทศ ในรอบ 12 ปี (ไฟล์https://www.dropbox.com/sh/l3sbmgzxgo8d53e/B5cXrEXJ1T/APAC_CPI_2002_2013.xlsx)
แต่ในที่สุดเสียงแห่งเหตุผลที่พยายามแสดงข้อเท็จจริงที่
ว่า ไม่สามารถตัดสินได้อย่างเหมารวมว่า รัฐบาลมีปัญหาเรื่องการฉ้อโกง
จนกระทั่งต้องยอมรับรัฐบาลที่ไม่มาจากการเลือกตั้ง
ก็ไม่มีพลังทัดทานกระแสมวลชนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้มากพอ
อารมณ์ร่วมของมวลชนและประชาชนส่วนหนึ่งสร้างโอกาสให้ความสามารถในการผลัก
รัฐบาลปัจจุบันให้ตกไป จากการรักษาการ และสร้างสภาวะสุญญากาศให้เกิดขึ้น
มีเพิ่มขึ้นมากอย่างไม่เคยมีปรากฎมาก่อน
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี (ขอบคุณภาพจาก FB : พลังประชาชน โค่นล้มระบบทักษิณ)
|
ในทันทีที่ป.ป.ช. ตัดสินว่า
คดีในกรณีการรับจำนำข้าวของนายกรัฐมนตรีมีมูลจริง
จะนำไปสู่การยุติการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี
ซึ่งขั้นตอนนี้คงเกิดขึ้นในช่วงเวลาปลายเดือนมีนาคมไปจนถึงกลางเดือนเมษายน
ปัญหาคือการยุติการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี
จะนำไปสู่การพ้นสภาพของครม. ทั้งคณะด้วยหรือไม่ ฝ่ายรัฐบาลคงยืนยันว่าไม่
เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ
และคงจะผลักดันรองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งขึ้นมาทำหน้าที่แทนที่คุณยิ่ง
ลักษณ์ต่อไป ซึ่งอาจจะเป็นคุณพงษ์เทพ เทพกาญจนา แต่อีกฝ่ายหนึ่งยืนยันว่า
จะต้องให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นไปจากหน้าที่ตามนายกรัฐมนตรีไปด้วย
ทั้งนี้เพื่อสร้างสภาพให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ
เมื่อนั้นก็จะอ้างมาตรา 7
เพื่อให้มีการดำเนินการเป็นไปตามประเพณี
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
โดยความหมายคือการขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี
แต่เนื่องจากกรณีนี้ไม่ใช่การโค่นรัฎฐาธิปัตย์ โดยการทำรัฐประหาร
กฎหมายรัฐธรรมนูญยังมีอยู่ จึงจะมีการอ้างมาตรา 3 โดยอ้างว่า
อำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของปวงชนชาวไทย ดังนั้นโดยอาศัยอำนาจนี้
จึงจะมีการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
เพื่อขอให้มีการตั้งนายกรัฐมนตรีโดยไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง
และมีการจัดตั้งสภาประชาชน
ปัญหาทางทฤษฎีการเมืองที่สำคัญก็คือว่า หากเชื่อว่ามาตรา 7
จะนำไปสู่ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุข นั่นหมายถึงการกลับไปสู่ “พระราชอำนาจ”
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยมีพระราชดำรัสว่า การใช้มาตรา 7 นั้น
“ไม่เป็นประชาธิปไตย”
และนอกจากนั้นการใช้พระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว
เป็นการใช้พระราชอำนาจเกินกว่าที่มีความเห็นกันในทางทฤษฎีทางการเมือง
ที่กำหนดให้พระมหากษัตริย์ไม่ทรงทำผิด (The King can do no wrong)
เนื่องจากการกระทำของพระมหากษัตริย์จำเป็นต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
และผู้รับสนองพระบรมราชโองการนั้นเอง
จะเป็นผู้รับการวิพากษ์วิจารณ์แทนพระมหากษัตริย์
พระองค์จึงไม่อยู่ในฐานะที่ทรงกระทำผิดได้ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
จึงเป็นเรื่องภายในระหว่างพระองค์กับผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พระราชอำนาจนั้นโดยทั่วไปจึงจำกัดอยู่ที่ การที่ทรงตักเตือน
การที่ทรงให้คำแนะนำ และการเป็นที่ปรึกษา
ขอบคุณภาพจาก FB : พลังประชาชน โค่นล้มระบบทักษิณ
|
คณะทำงานฝ่ายยุทธศาสตร์ของ กปปส.
บางคนพยายามไม่ผูกเรื่องมาตรา 3 และมาตรา 7 เข้ากับเรื่องพระราชอำนาจ
เพราะตระหนักดีว่า มีความเสี่ยงในการถูกครหา
ว่าเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องทางการเมือง
พวกเขาให้เหตุผลว่า เรื่องเหล่านี้มีเป็นเรื่องของประชาชนโดยแท้
แต่ข้อเท็จจริงคือ (1) ความเห็นของประชาชนที่เห็นด้วยกับ กปปส.
นั้นเป็นความเห็นของประชาชนทั้งประเทศหรือไม่
หรือเป็นเพียงความเห็นของประชาชนส่วนหนึ่ง
และมีประชาชนอีกอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของประเทศก็ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ
กปปส. เช่นเดียวกัน และ (2) กรณีการเกิดสุญญากาศทางอำนาจนั้น เป็น
“สุญญากาศทางอำนาจเทียม” ที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นหรือไม่
หรือในความเป็นจริงหากยึดหลักประชาธิปไตยในที่สุดก็ยังมีหนทางเดินหน้า
ประเทศต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และสภาประชาชนขึ้น
ในทางตรงข้ามการผลักดันให้เกิดสุญญากาศเทียมดังกล่าวขึ้น
รังแต่จะสร้างความขัดแย้งเรื้อรังบานปลายหนักยิ่งขึ้นไปอีก
ด้วยปัญหาเหล่านี้
ทำให้นักทฤษฎีทางการเมืองอีกหลายคนมองว่า
ถึงที่สุดแล้วจำเป็นจะต้องเชื่อมโยงการอ้างอิงการใช้ มาตรา 3 และมาตรา 7
ในการสร้างสุญญากาศทางอำนาจนี้ เข้ากับพระราชอำนาจ
จึงจะเกิดความชอบธรรมโดยสมบูรณ์
โดยอาศัยเหตุผลเฉพาะบริบทของเมืองไทยที่เรียกว่า “ราชประชาสมาศรัย”
หรือการใช้อำนาจร่วมกันระหว่างพระมหากษัตริย์และประชาชน
แต่นั่นก็มีปัญหาทางทฤษฎีอีกว่า
จริงหรือไม่ที่ความพยายามดังกล่าว
เป็นความพยายามที่จะย้อนกลับโครงสร้างทางการเมืองการปกครองไปก่อนปี
พ.ศ.2475 อันเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน
และจริงหรือไม่ที่ความพยายามดังกล่าว
เป็นการดึงให้สถาบันพระมหากษัตริย์เกิดความขัดแย้งกับประชาชนขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากที่ในปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยได้ผ่านความขัดแย้งนั้นมาแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น