แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

พิเคราะห์คำตัดสินศาล ให้การเลือกตั้งโมฆะ

ที่มา Thai E-News




ถอดคำ ละเลียดความ และขยายผล (โดย ระยิบ เผ่ามโน) ข้อวินิจฉัยของ สปป. ต่อคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้การเลือกตั้ง ๒ กุมภาพันธ์เป็นโมฆะ
โดยที่ประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้ระบอบปกครองแบบประชาธิปไตยทางรัฐธรรมนูญ อันมีประชาชนเป็นอธิปัตย์ และใช้การเลือกตั้งกับระบบเสียงข้างมากเป็นสรณะแห่งการตัดสิน
ดังนั้นการที่กลุ่มหรือองค์กรเอกชนทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานแห่งรัฐ ไม่ว่าเจ้าพนักงานนั้นๆ จะอยู่ในเครือข่ายของอำนาจตามรัฐธรรมนูญแขนงใด ย่อมเป็นการกระทำอันชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฏหมายสูงสุดของประเทศ ควรแก่การขยายผล
เหตุ นี้ผู้เขียนขอนำถ้อยแถลงแห่งคำประกาศของสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗ ในสาระที่จะเป็นประโยชน์ต่อความเข้าใจอันดีในข้อกฏหมายและเนื้อนาแท้จริงทาง การเมืองต่อคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญโดยสังเขป มาเรียบเรียงใหม่เพียงเล็กน้อย ฃยายผลด้วยลายลักษณ์อักษร
สปป. วินิจฉัยว่า คำตัดสินของศาล รธน. ขาดความชอบธรรมตามตัวบทกฏหมายรัฐธรรมนูญ และไม่มีความชอบธรรมในทางการเมืองด้วย
ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นคำร้องด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๔๕ (๑) และศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ โดยอ้างว่าในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๕๗ ไม่มีการเลือกตั้งใน ๒๘ เขตที่ถูกขัดขวาง ดังนั้นจึงตีความว่าไม่มีการเลือกตั้งทั่วราชอาณาจักรในวันเดียวกัน อันขัดกับเนื้อหาตอนหนึ่งของมาตรา ๑๐๘ วรรค ๒ แห่งรัฐธรรมนูญ

แต่ สปป. เห็นว่าคำตัดสินนั้นมีปัญหาดังนี้

๑.     มาตรา ๒๔๕ (๑) กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเห็นว่า บทบัญญัติกฏหมายใดไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ วัตถุแห่งคดีจึงต้องเป็น บทบัญญัติแห่งกฏหมาย แต่ในคำตัดสินของศาล รธน. ไม่ได้มีบทบัญญัติแห่งกฏหมายเป็นวัตถุแห่งคดี ศาลนำเอาการจัดเลือกตั้งมาเป็นวัตถุแห่งคดีแทน ซึ่งไม่ตรงต่อ รธน. ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ควรนำเสนอให้ศาลพิจารณาแต่แรกแล้ว แม้เมื่อผู้ตรวจการฯ นำเสนอไป ศาลเองก็มีหน้าที่ต้องไม่รับคำร้อง การที่ศาลรับและตัดสินเท่ากับว่าศาลทำการแก้รัฐธรรมนูญด้วยตนเอง โดยที่ไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราใดบ่งบอกให้อำนาจศาลกระทำการเช่นนั้นได้
ขยายผล :นี่ทำให้พิเคราะห์ได้ว่า ทั้งผู้ตรวจการแผ่นดินและศาลรัฐธรรมนูญ สำคัญผิด ในข้อกฏหมาย หรือจงใจตีความนอกกรอบของเนื้อถ้อยในบทบัญญัติ อย่างใดอย่างหนึ่ง
๒.     มาตรา ๑๐๘ วรรค ๒ บัญญัติว่าการยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยการออกพระราชกฤษฎีกา กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ภายในไม่น้อยกว่า ๔๕ วันแต่ไม่เกิน ๖๐ วัน และวันเลือกตั้งต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้มีการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเดียวกันคือวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลได้นำเอาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังการกำหนดวันเลือกตั้งมาเป็นฐานในการพิจารณา ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญไม่ได้เจาะจงว่าการเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นได้เฉพาะภายในวันเดียวกันเท่านั้น เมื่อมีเหตุสุดวิสัยก็ย่อมไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้
ขยายผล :นี่ก็ชี้ให้เห็นว่าศาลตีความอย่างจงใจให้เป็นความผิดไว้ก่อนโดยละเลยข้อเท็จจริง และไม่คำนึงถึงเนื้อความแห่งกฏหมาย อาจจัดเป็นความ สำคัญผิด ในขอบข่ายแห่งอำนาจและหน้าที่ของตนเองก็เป็นได้
๓.     ในประเด็นแห่ง ข้อเท็จจริงนั้น การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๕๗ ผ่านไปด้วยความเรียบร้อยเป็นส่วนใหญ่ แต่ศาลนำเอาเหตุของการไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ในบางเขตเพราะมีการขัดขวางเกิดขึ้น มากล่าวอ้างเพื่อตัดสินให้พระราชกฤษฎีกาขัดรัฐธรรมนูญ นอกจากจะไม่ต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั่นเองแล้ว ยังก่อให้เกิดข้อสงสัยว่าคำตัดสินของศาลนี้มุ่งทำลายสิทธิเสียงของประชาชน ๒๐ ล้านคนที่ไปลงคะแนนเลือกตั้งด้วยหรือไม่
๔.    ทางด้านมิติการเมืองนั้น อุปสรรคต่อการเลือกตั้งเกิดจากการประทำของ กปปส. และผู้สนับสนุนกลุ่มประท้วงนี้ทั้งในและนอกสภา ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย ในอันที่จะทำลายระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยทางรัฐสภา อีกทั้งคณะกรรมการเลือกตั้งเองก็ไม่ได้แสดงถึงเจตจำนงแน่วแน่ในการทำงานตามกรอบอำนาจหน้าที่ในการจัดเลือกตั้งให้สำเร็จลุล่วง การตัดสินของศาล รธน. จึงเป็นผลส่งเสริมปฏิบัติการต่อต้านระบอบประชาธิปไตย เป็นการใช้ดุลยพินิจอย่างละเลย และมองข้ามสิทธิของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
๕.    การ ร่วมมือกันของกลุ่มผู้ประท้วงและองค์กรอิสระขัดขวางระบอบประชาธิปไตยนี้จะ ยังคงดำเนินต่อไปเพื่อสร้างสุญญากาศทางการเมืองให้เกิดขึ้นจนได้ แล้วเปิดทางให้แก่การเข้าสู่อำนาจของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลแบบนอกรัฐธรรมนูญ เพื่อทำการผลักดัน แก้ไข ตัดต่อ ดัดแปลงรัฐธรรมนูญ โดยหวังผลให้ระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเกิดความอ่อนแอ
     ขยายผล :เปิดทางไปสู่การยกเลิกระบบเลือกตั้ง และ/หรือถูกกำจัดออกไปในท้ายที่สุด
๖.     นับแต่มีการรัฐประหารในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้นมา บรรดาองค์กรอิสระและอำนาจตุลาการกลายเป็นเครื่องมือของพลังเสียงข้างน้อย ที่ปฏิบัติการต่อต้านระบอบประชาธิปไตย เพียงเพื่อต้องการทำลายกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามให้ได้อย่างเด็ดขาดรวดเร็วเท่านั้น การปล่อยให้มีการบิดเบือนและฉวยใช้องค์กรอิสระและอำนาจตุลาการเพื่อทำลายประชาธิปไตย แล้วยังทำร้ายเศรษฐกิจของชาติจนไม่สามารถเติบกล้าได้เต็มที่นี้ รังแต่จะทำให้ประเทศจมปลักในวังวนอับตันของความขัดแย้งรุนแรงไม่สิ้นสุด ถึงเวลาแล้วจะต้องปฏิรูปองค์กรอิสระและอำนาจตุลาการ สร้างกลไกถ่วงดุลตรวจสอบขึ้น นี่เป็นภาระที่ประชาชนต้องร่วมกันเดินหน้าผลักดันให้ถึงที่สุด
๗.    กระบวนการทำลายการเลือกตั้งทำให้ประเทสไทยตกอยู่ในภาวะขัดแย้งรุนแรงมาเกือบทศวรรษ และจะเป็นเช่นนี้ต่อไปจนกว่าทุกฝ่ายจะมีการเคารพสิทธิเท่าเทียมกันในการเลือกตั้ง สปป. ยืนยันว่าทางออกมีแต่การยอมรับหลักสี่ประการข้างล่างนี้โดยถ้วนทั่วเท่านั้น
๗.๑ หลักการว่าด้วย คนเท่ากัน
๗.๒ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
๗.๓ ความชอบธรรมของเสียงข้างมาก
            ๗.๔ การเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคล และเสียงข้างน้อย



เรื่องเกี่ยวเนื่อง http://thaienews.blogspot.com/2014/03/2_23.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น