ที่มา Thai E-News
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ฉบับย่อ ตีพิมพ์ใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557
คำสั่งศาลแพ่งที่ให้รัฐบาลระงับมาตรการทั้ง 9
ประการภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
นับเป็นจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ระหว่างพวกเผด็จการกับฝ่าย
ประชาธิปไตย
ก่อนหน้านี้
แม้ฝ่ายจารีตนิยมจะใช้ตุลาการเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกำจัดพ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตรและเครือข่ายมาตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยในช่วงปี 2549-50
ถึงรัฐบาลพรรคพลังประชาชนในปี 2551 แต่องค์กรเหล่านั้น
ก็ยังเป็นเพียงองค์กรเฉพาะในรัฐธรรมนูญ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
บุคลากรก็มีสถานะเป็น “กรรมการ” หรือ “ตุลาการ” ที่ไม่ใช่ “ผู้พิพากษา”
องค์กรตุลาการเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้อมกรอบและจำกัดบทบาทของพรรคการ
เมืองและนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจเพียงยุบพรรค
ตัดสิทธิ์ทางการเมือง ลงโทษเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แต่มิได้มีบทบาทครอบคลุมไปถึงสวัสดิภาพและการดำเนินชีวิตโดยตรงของประชาชน
ทั่วไป
การที่พวกจารีตนิยมใช้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือไปทำลายพรรคการเมืองฝ่าย
ประชาธิปไตยถึงจะเป็นการละเมิดสิทธิ์ของประชาชนที่เลือกนักการเมืองและพรรค
การเมืองนั้น ๆ เข้ามา
แต่ก็ยังไม่กระทบถึงสิทธิ์ในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชนโดยตรง
ผลที่ตามมาในเวลานั้นก็คือ “ความเสื่อม”
ในสถานะความน่าเชื่อถือขององค์กรเหล่านี้
ทำให้ประชาชนได้เห็นเนื้อแท้ขององค์กรเหล่านี้ว่า
เป็นเพียงมือเท้าของพวกจารีตนิยมในทำลายพรรคฝ่ายประชาธิปไตยและรักษาไว้ซึ่ง
สถานะอภิสิทธิ์ชนของพวกเขาเท่านั้น
แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ยังไม่กระทบศาลยุติธรรม
ซึ่งในขณะนั้นยังมิได้แสดงบทบาททางการเมืองอย่างเด่นชัดนอกเหนือไปจาก
“คดีการเมือง” เช่น คดีป.อาญาม.112 ซึ่งยังถูกมองว่า “เป็นกรณีพิเศษ”
เท่านั้น
แต่ในการรุกครั้งใหญ่ของพวกจารีตนิยมในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน
ศาลยุติธรรมก็ได้มีบทบาทอย่างเด่นชัดในการระงับการใช้อำนาจโดยเจ้าหน้าที่
ตำรวจตาม พรก.ฉุกเฉินในกรณีเฉพาะหลายครั้งด้วยกัน กระทั่ง
คำสั่งศาลแพ่งที่ห้ามรัฐบาลใช้อำนาจตามมาตรการ 9 ข้อภายใต้ พรก.ฉุกเฉินนั้น
ถึงแม้จะมิได้ยกเลิก พรก.
แต่รัฐบาลและตำรวจก็ไม่สามารถใช้อำนาจตามพรก.ได้อีกต่อไป
จึงเท่ากับมีผลในทางปฏิบัติเสมือนยกเลิก พรก.ฉุกเฉินไปแล้วนั่นเอง
ทั้งหมดนี้มีผลสะเทือนถึงรากฐานทางนิติรัฐของสังคมไทยโดยตรง
เพราะศาลยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่ในการตีความและบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครอง
สิทธิ์เสรีภาพในชีวิตประจำวันของประชาชน
ยึดหลักการนิติรัฐที่ทุกคนเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย
ก็เพื่อให้ผู้ปกครองและประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมอย่างสันติ
นัยหนึ่ง ศาลยุติธรรรมคือ “ปราการด่านสุดท้าย”
ของสังคมที่ซึ่งผู้ปกครองและประชาชนจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ศาลเป็นหลักยึดทางกฎหมายที่ทำให้ประชาชน “ยินยอมพร้อมใจ”
ที่จะอยู่ใต้การปกครอง หากพ้นไปจาก “ปราการด่านสุดท้าย” นี้แล้ว สังคมก็คือ
บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไร้กฎหมาย
ที่ผู้ปกครองกดขี่ประชาชนได้ตามอำเภอใจนั่นเอง
หากว่า ศาลยุติธรรมในประเทศใด ๆ ก็ตามมีบทบาทเด่นชัดทางการเมือง
ศาลในประเทศนั้นก็จะสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์
ความน่าเชื่อถือและความมั่นใจในหมู่ประชาชนไป สิ่งที่ตามมาก็คือ
ศาลของประเทศนั้นก็จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนในที่สุด
ถึงแม้ว่าศาลจะมีสถานะพิเศษที่ได้รับการคุ้มครองจาก “การดูหมิ่น” ก็ตาม
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่พวกจารีตนิยมใช้กลุ่มมวลชนอันธพาลติดอาวุธบนท้องถนน
ประสานกับกลุ่มทหาร สื่อมวลชนและองค์กรวิชาชีพที่เป็นเครือข่ายอุปถัมป์
เคลื่อนไหวล้มล้างนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
พรก.ฉุกเฉินก็คืออาวุธทางกฎหมายที่รัฐบาลจะใช้ในการรับมือกับการกระทำรุนแรง
ของกลุ่มอันธพาลติดอาวุธ และปกป้องสิทธิ์เสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์
บัดนี้
รัฐบาลก็ไม่มีเครื่องมือที่จะใช้ป้องกันตนและปกป้องประชาชนได้อีกต่อไป
นับแต่นี้ไป
กลุ่มอันธพาลจะยิ่งใช้มาตรการรุนแรงที่ละเมิดสิทธิ์เสรีภาพของประชาชนทั่วไป
เพื่อล้มล้างรัฐบาลได้โดยปราศจากการขัดขวางแต่อย่างใด
นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์
ชินวัตรและคณะรัฐบาลจึงกำลังตกอยู่ในสถานะที่สุ่มเสี่ยงและอันตรายอย่างยิ่ง
ที่จะถูกกระทำด้วยมาตรการรุนแรงต่าง ๆ จากกลุ่มอันธพาลติดอาวุธ ณ
เวลาและสถานที่ที่พวกนั้นต้องการ
โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ดำเนินมาตรการขัดขวางเนื่องจากขาดการคุ้มครอง
ทางกฎหมาย
ประเทศไทยได้มาถึงจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง
เมื่อประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มอันธพาลบนถนนรู้สึกว่า
ตนมิได้รับการคุ้มครองสิทธิ์ตามกฎหมาย
เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรมไม่สามารถอาศัยอำนาจตามกฎหมาย
ได้อีกต่อไป และกลับตกอยู่สภาพที่
“เป็ดง่อยที่ถูกรัฐประหารโดยตุลาการและกลุ่มมวลชนติดอาวุธ”
ในสถานการณ์อันคับขันเช่นนี้
นายกรัฐมนตรีจะต้องเสริมสร้างสภาวะผู้นำของตนออกมาให้ชัดเจนโดยเร็ว
ยุติความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่จะประนีประนอมและรอคอยความเมตตาจากพวกจารีตนิยม
จุดมุ่งหมายของคนพวกนั้นคือการทำลายพ.ต.ท.ทักษิณและนายกฯยิ่งลักษณ์
ตระกูลชินวัตร ตลอดจนเครือข่ายทั้งหมดอย่างถึงที่สุด “สัญญาณบวก” ใด ๆ
ล้วนหลอกลวงที่จะตามมาด้วยการฟาดฟันที่รุนแรงยิ่งขึ้น
เหมือนที่เป็นมาแล้วทุกครั้งในอดีต
ตระกูลชินวัตรมีแต่ตั้งหน้าสู้อย่างเด็ดเดี่ยวโดยอาศัยพลังสนับสนุนของ
ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น จึงจะอยู่รอดได้
ขณะนี้
กรุงเทพฯได้กลายเป็นฐานที่มั่นทางทหารและการเมืองของพวกจารีตนิยมอย่างเต็ม
รูปแบบ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้ดำรงอยู่ในกรุงเทพฯเสมือนเป็น “กวางน้อย”
ในทุ่งโล่งที่ล้อมรอบไปด้วยฝูงสิงโตกระหายเลือด รอวันที่จะถูกปปช.
ศาลรัฐธรรมนูญ และกองทัพรุมขย้ำ
นายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐบาลจะต้องตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
แหวกวงล้อมอำมหิตนี้ออกไปโดยเร่งด่วน
ย้ายศูนย์บัญชาการของรัฐบาลสู่ฐานที่มั่นในภูมิภาค
แล้วเร่งดำเนินการเสริมสร้างอำนาจรัฐของตนบนฐานการสนับสนุนของมวลชนอันเข้ม
แข็งในพื้นที่
นายกรัฐมนตรีต้องยืนหยัดไม่ยอมรับอำนาจและการชี้ขาดของ ปปช. ศาลรัฐธรรมนูญ
และองค์กรตุลาการใด ๆ ที่มิได้มาจากอำนาจอธิปไตยของปวงชน
และนายกรัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งไปก็ด้วยขั้นตอนที่เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น
รัฐบาลต้องเร่งสร้างเสริมอาสาสมัครปกป้องประชาธิปไตยขึ้นทั่วประเทศ
เปิดกว้างให้มวลชนในทุกพื้นที่ได้เข้าร่วมอย่างกว้างขวางและเป็นจำนวนมากที่
สุดในฐานะเป็นกองสนับสนุน
เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการต่อสู้ต่อต้านการรุกของพวกเผด็จการในกรุงเทพฯที่จะ
กระทำต่อฝ่ายประชาธิปไตย
ยิ่งรัฐบาลยืนหยัดอยู่ในภูมิภาคได้ยืดเยื้อนานเท่าไร
แรงสนับสนุนจากมวลชนและมิตรต่างชาติก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
พวกเผด็จการก็ยิ่งขาดความชอบธรรมและก็จะค่อย ๆ อ่อนกำลังลงและพ่ายแพ้ไป
มีแต่การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ลุกขึ้นยืนแล้วสู้กับการรุกของฝ่ายเผด็จการ
อาศัยความสนับสนุนอันแข็งขันจากประชาชนทั่วประเทศและเพื่อนมิตรนานาประเทศ
เท่านั้น ฝ่ายประชาธิปไตยจึงจะอยู่รอดและได้รับชัยชนะในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น