ที่มา siamintelligence
การเลือกตั้งผู้
ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2556 เสร็จสิ้นลงด้วยชัยชนะของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
บริพัตร ผู้ว่าฯ
คนเดิมจากพรรคประชาธิปัตย์ที่สามารถรักษาแชมป์ต่อได้อีกสมัย
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยเองก็ประกาศยอมแพ้อย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน
ไม่ว่าจะสมหวัง
หรือผิดหวังก็ตาม ผลคะแนนของการเลือกตั้งครั้งนี้มีประเด็นที่น่าสนใจ
และเป็นนัยสำคัญต่อการเมืองไทยหลายประการ SIU
ขอนำเสนอบทวิเคราะห์จากผลคะแนนเลือกตั้งดังนี้
1. การเมืองกรุงเทพ เข้าสู่ระบบสองพรรคใหญ่ ผู้สมัครอิสระเกิดลำบาก
ถ้าดูผลคะแนนการเลือกตั้งผู้ว่า 2556
เทียบกับผลคะแนนการเลือกตั้งผู้ว่าครั้งก่อนๆ จะเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่า
ผู้สมัครจากสองพรรคใหญ่ครองคะแนนเสียงรวมกันมากขึ้นเรื่อยๆ
และโอกาสของผู้สมัครอิสระหรือผู้สมัครจากพรรคเล็กก็มีน้อยลงเรื่อยๆ
การเลือกตั้งผู้ว่า 2556 ผู้สมัครจากสองพรรคใหญ่มีคะแนนรวมกันเกือบ 90% ของคะแนนเสียงทั้งหมด (คำนวณจากผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการที่เว็บไซต์ ThaiPBS รายงาน) เหลือพื้นที่ให้ผู้สมัครรายอื่นๆ ประมาณ 10% เท่านั้น ในขณะที่ผลการเลือกตั้ง พ.ศ. 2552 (อ้างอิงข้อมูลจากวิกิพีเดีย) ผู้สมัครสองพรรคใหญ่มีคะแนนรวมกันประมาณ 75% และถ้าย้อนไปไกลถึงการเลือกตั้ง พ.ศ. 2551 (อ้างอิง) ผู้สมัครสองพรรคใหญ่มีคะแนนรวมกันประมาณ 70%

สัดส่วนคะแนนเลือกตั้งผู้ว่า 52-56 (รวบรวมโดย SIU)
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นภาพสะท้อนของ “พัฒนาการการเมืองไทย” หลังรัฐธรรมนูญ
2540 เป็นต้นมา ที่มุ่งหน้าเข้าสู่ระบบการเมืองแบบสองพรรคใหญ่
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วสำหรับการเลือกตั้ง ส.ส. ที่เน้น
“พรรค” มากกว่า “คน”
ในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. เดิมที “คน” ยังมีความโดดเด่นใกล้เคียงกับ
“พรรค” และในอดีตก็มีผู้สมัครอิสระอย่าง ดร.พิจิตต์ รัตตกุล หรือ นายสมัคร
สุนทรเวช ที่เคยเอาชนะผู้สมัครจากพรรคใหญ่มาได้แล้ว อย่างไรก็ตาม
นับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครก็ถูกผูกขาดโดยพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างพรรคประชา
ธิปัตย์มาโดยตลอด (นายอภิรักษ์ 2 สมัย และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์อีก 2 สมัย)
โดยมีพรรคพลังประชาชน-เพื่อไทย ยึดครองอันดับสองในการเลือกตั้ง 3
ครั้งล่าสุด (2551-2552-2556) เช่นกัน
ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง 2 ขั้วนับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา
ผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.
ครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพยังแบ่งออกเป็น 2
ขั้วชัดเจน
และถ้าพิจารณาจากความคิดเห็นหรือเหตุผลในการเลือกตั้งครั้งนี้ของหลายๆ
คนแล้ว จะเห็นว่าเป็นการ “เลือกพรรคมากกว่าเลือกคน” หรือ “แสดงจุดยืนทางการเมืองมากกว่าดูเรื่องนโยบาย” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบการเมืองแบบสองพรรค สองอุดมการณ์ เริ่มมีบทบาทสำคัญเหนือบุคลิกภาพหรือศักยภาพของตัวผู้สมัครด้วย
ถ้ารวมปัจจัยทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องแนวโน้มของคะแนน
หรือความขัดแย้งทางการเมืองแบบสองขั้ว ก็จะเห็นว่า “โอกาส”
ของผู้สมัครจากพรรคเล็กหรืออิสระ ลดลงเรื่อยๆ ในระยะยาวนั่นเอง
เราคาดว่าในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งหน้า
สถานการณ์ก็ไม่น่าจะแตกต่างจากการเลือกตั้งครั้งนี้มากนัก
2. พรรคประชาธิปัตย์: รักษากรุงสำเร็จ แต่สถานะไม่เปลี่ยน
นัยที่สำคัญที่สุดต่อพรรคประชาธิปัตย์คือรักษาฐานที่มั่นสุดท้ายในเมืองหลวง
ได้สำเร็จ พรรคประชาธิปัตย์ยังสามารถคง “รอยต่อ”
ระหว่างการเมืองระดับชาติกับการเมืองท้องถิ่นเอาไว้ได้
ซึ่งในแง่ความเป็นประชาธิปไตยแล้วอาจเป็นผลดีมากกว่าการที่พรรคเพื่อไทยยึด
ครองอำนาจเบ็ดเสร็จก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์ ยังมีประเด็นที่น่าจับตาอีก 2 ส่วนดังนี้
กรุงเทพแบบเดิม
ชัยชนะของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ในครั้งนี้
ถึงแม้จะเป็นผลดีในเชิงการเมืองต่อพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม
แต่สำหรับคนกรุงเทพแล้วคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก
ต้องยอมรับว่าคะแนนนิยมในตัว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตลอด 4
ปีที่ผ่านมาถือว่าแย่พอตัว
(โดยเฉพาะถ้าเทียบกับผู้ว่าคนก่อนของพรรคเองอย่างนายอภิรักษ์)
และการเอาชนะในสมัยที่สองได้ก็เป็นผลมาจากปัจจัยเรื่องพรรค-อุดมการณ์ทางการ
เมือง มากกว่าเป็นเพราะผลงานของตัวผู้สมัครเอง
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ควรใช้โอกาสที่ได้รับจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวกรุงเทพ
ปรับปรุงผลงานในสมัยที่สองให้ดีขึ้นกว่าเดิม
เลิกใช้ทีมงานชุดเดิมของตัวเองเพียงอย่างเดียวโดยไม่ประสานงานกับทีมงานของ
พรรคและนักการเมืองท้องถิ่นในกรุงเทพ
รวมถึงหันมารับฟังปัญหา-จุดบกพร่องของการทำงานในสมัยแรกจากประชาชน
และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อไทยมากขึ้น
โดยอิงประโยชน์ของคนกรุงเทพเป็นสำคัญ
พรรคประชาธิปัตย์แบบเดิม
หลังความพ่ายแพ้อย่างยับเยินในการเลือกตั้ง 2554
หลายเสียงพูดตรงกันว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องปรับปรุง-ปฏิรูปขนานใหญ่
เพื่อให้กลับมาแข่งขันกับพรรคเพื่อไทยได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นับจากปี
2554 มาจนถึงปี 2556 ระยะเวลาประมาณปีครึ่งเรากลับไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงภายในพรรคประชาธิปัตย์มากนัก แกนหลักสำคัญยังเป็นทีมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอยู่เช่นเดิม
ก่อนการเลือกตั้งผู้ว่า 2556 มีการวิเคราะห์กันว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์แพ้
สูญเสียที่มั่นเมืองหลวง
ก็อาจเป็นปัจจัยเร่งให้พรรคต้องปรับปรุงตัวขนานใหญ่
และคณะผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบันอาจถึงเวลาต้องผลัดใบ
แต่เมื่อผลออกมาเป็นชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์
ก็น่าจะทำให้ปัจจัยกระตุ้นภายนอกนี้หมดไป
และโครงสร้างของพรรคประชาธิปัตย์ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมากนักในช่วง 1-2
ปีข้างหน้า
ในฐานะที่ SIU เคยแสดงจุดยืนหลังการเลือกตั้ง 2554 ว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องปฏิรูปตัวเองอย่างเร่งด่วน เพื่อ
ประโยชน์ของการเมืองไทยในภาพรวม
เราก็ยังยืนยันเช่นเดิมว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องปรับปรุงตัวให้มากกว่านี้
ถึงแม้จะสามารถคว้าชัยในศึกเลือกตั้งผู้ว่าได้แล้วก็ตาม

ภาพจาก Facebook พงศพัศ พงษ์เจริญ
3. พรรคเพื่อไทย: แพ้แต่คะแนนเพิ่ม
ในส่วนของพรรคเพื่อไทยที่ยังไม่เคยยึดกรุงเทพสำเร็จในการเลือกตั้งหลังรัฐ
ประหาร 2549 เป็นต้นมา คราวนี้ก็ยังทำไม่สำเร็จอีกครั้ง
แต่ถ้ามองโลกในแง่ดี
ก็ถือว่าพรรคเพื่อไทยมีพัฒนาการเพิ่มมากขึ้นจากการเลือกตั้ง 2552 มาก
คะแนนของพรรคเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และถ้าพิจารณาจากตัวผู้สมัครคือ
พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ
ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกการเมืองอย่างเป็นทางการไม่ถึง 2 เดือนดี
ก็ถือว่าทำผลงานได้เกินคาด
พงศพัศ ทำดีแต่ยังไม่พอ
สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยก่อนเปิดตัวผู้สมัครของพรรคนั้นเต็มไปด้วยความขัด
แย้ง เพราะมีเสียงเรียกร้องจากภายในพรรคให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ลงสมัคร แต่เจ้าตัวก็ยืนยันปฏิเสธตลอดมา
จนสุดท้ายเมื่อพรรคเพื่อไทยสงบศึกภายในพรรคได้ และเปิดตัว “โฆษกตำรวจ”
พล.ต.อ.พงศพัศ
ที่คุ้นเคยตามหน้าสื่อมานานแต่ยังไม่เคยสัมผัสการเมืองอย่างจริงจังมาก่อน
เส้นทางของ พล.ต.อ.พงศพัศ คล้ายๆ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2554
นั่นคือเป็น “หน้าใหม่” ของวงการการเมือง
และกระโจนเข้ามาชิงตำแหน่งสำคัญของประเทศโดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นฐานสนับสนุน
จุดต่างคงอยู่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีนามสกุล “ชินวัตร” ห้อยท้าย
และฐานเสียงของผู้มีสิทธิลงคะแนนทั่วประเทศ-กรุงเทพนั้นมีมุมมองทางการเมือง
ที่ต่างกัน (ซึ่งอาจยังอธิบายได้ด้วยทฤษฎี “สองนคราประชาธิปไตย” ของ
ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์)
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ พล.ต.อ.พงศพัศ จะได้รับคะแนนเสียงมากถึง 1 ล้านคะแนน
แต่ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นว่าเขายัง “ดีไม่พอ”
ที่จะเอาชนะใจคนกรุงเทพเหนือพรรคประชาธิปัตย์ได้ และก็ต้องยอมรับว่าตัวของ
พล.ต.อ.พงศพัศ ถึงแม้จะบุคลิกดี คล่องแคล่ว ออกสื่อเก่ง
แต่ก็ยังไม่มีผลงานเชิงบริหารให้เห็นมากนัก
ชื่อชั้นทางการเมืองก็ยังไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับว่าที่ผู้สมัครคนอื่นๆ
ของพรรค
ไม่สามารถสร้างโมเมนตัมทางการเมืองใหญ่พอสำหรับโค่นพรรคประชาธิปัตย์ลงได้
ความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ก็เป็นสัญญาณว่าพรรคเองต้องเร่งสร้าง
บุคลากรที่โดดเด่นกว่า พล.ต.อ.พงศพัศ
เตรียมพร้อมไว้สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าครั้งหน้า
เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค-ตัวผู้สมัครโดดเด่นไม่พอ
อย่างเช่นการเลือกตั้งครั้งนี้อีก
คนกรุงเทพยังหวาดกลัวทักษิณ
ในบทวิเคราะห์ก่อนการเลือกตั้งของ SIU เรา
ยกให้ “ทักษิณ” เป็นหนึ่งในสามปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้
ซึ่งผลคะแนนที่ออกมาก็แสดงให้เห็นว่า “ทักษิณ”
ยังมีบทบาทสำคัญต่อการลงคะแนนของคนกรุงเทพจำนวนไม่น้อย และสำหรับหลายๆ
คนแล้วเป็นการแสดงจุดยืนว่า “เอา-ไม่เอา” ทักษิณด้วยซ้ำ
ถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะสามารถชนะศึกเลือกตั้งทั่วประเทศในปี 2550 และ 2554
ได้ติดต่อกัน แต่ความพ่ายแพ้ในเมืองหลวงตลอดมาก็แสดงให้เห็นว่า ผีทักษิณ ยัง
คงอยู่ในใจของคนกรุงเทพ
ซึ่งทางแก้ไขมีเพียงทางเดียวคือพรรคเพื่อไทยต้องเร่งสร้างผลงานในระดับ
รัฐบาล ทั้งเชิงเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง-ธรรมาภิบาล
เพื่อซื้อใจคนกรุงเทพกลับคืนมาในระยะยาวให้จงได้

4. ผู้สมัครอิสระ: บทเรียนจากความพ่ายแพ้
ผู้แพ้อย่างชัดแจ้งของการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. 2556
คงหนีไม่พ้นผู้สมัครอิสระและผู้สมัครจากพรรคเล็ก
โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับคะแนนมากที่สุดในหมู่ผู้สมัครอิสระทั้ง 3 ราย
ซึ่งเราขอวิเคราะห์แยกรายบุคคล ดังนี้
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
“วีรบุรุษนาแก” ผู้นี้ทำคะแนนได้สูงสุดในหมู่ผู้สมัครอิสระทั้งหมด (166,582
คะแนน เป็นอันดับสามของการเลือกตั้ง) ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนัก
เพราะชื่อชั้นระดับอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ปรากฏตัวตามหน้าสื่อมาโดยตลอด
การเตรียมความพร้อมสำหรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่า กทม. มายาวนานก่อนใครเพื่อน
บวกกับฐานเสียงส่วนตัวที่มีไม่น้อย และการสนับสนุนจากมวลชนสายพันธมิตรฯ
ก็ช่วยให้เข้าป้ายมาเป็นอันดับสามได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม คะแนนที่ถูกทิ้งห่างจากผู้สมัครสองอันดับแรก
แสดงให้เห็นว่าระบบพรรคการเมืองกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อผู้สมัคร
และยังมีประเด็นว่าบุคลิกของตัว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เอง
ก็ยังดูเป็นข้าราชการตำรวจสมัยเก่า
ทำให้ขาดคะแนนเสียงของคนรุ่นใหม่ไปอีกมาก
สุหฤท สยามวาลา
“ดีเจเด็กแนว” และผู้บริหารกลุ่มบริษัทสยามวาลา
เป็นด้านกลับของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ชนิด 180 องศา
เพราะเขาก้าวเข้ามาสมัครผู้ว่าแบบคนรุ่นใหม่ คิดใหม่ทำใหม่
หาเสียงผ่านโลกออนไลน์เป็นหลัก และปฏิเสธการหาเสียงแบบเดิม ๆ
ที่อิงฐานเสียงหรือการเมืองระบบเก่าอย่างสิ้นเชิง
สุหฤท สร้างกระแสนิยมที่ดีมากในหมู่คนรุ่นใหม่และโลกออนไลน์ จนเกิดวาทกรรม
“อย่าเลือกผู้สมัครอิสระเพราะเดี๋ยวเสียงแตก”
ในช่วงท้ายของการหาเสียงด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อผลคะแนนออกมา
นายสุหฤทกลับได้เพียง 78,825 คะแนน น้อยกว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์
เป็นเท่าตัว และถ้าเทียบกับจำนวนคนกดไลค์เพจของนายสุหฤทในเฟซบุ๊กประมาณ 73,000 คน ก็มีข้อเปรียบเทียบว่าต่างกันเพียงหลักพันด้วยซ้ำ
ทิศทางที่กลับกันของกระแสในโลกไซเบอร์กับคะแนนสุดท้ายของนายสุหฤท
เป็นบทเรียนที่ดีว่าการสร้างกระแสในหมู่คนรุ่นใหม่เพียงอย่างเดียว
ยังใช้ไม่ได้ผลกับระบบการเมืองในปัจจุบัน
ที่ยังต้องคำนึงถึงคะแนนเสียงนอกโลกออนไลน์
และการจัดตั้งฐานเสียงในระบบเก่าอยู่เหมือนเดิม
ทำให้ผู้สมัครอิสระในอนาคตต้องพิจารณายุทธศาสตร์ระยะยาว
การจัดตั้งองค์กรสนับสนุนล่วงหน้าเป็นระยะเวลานาน
มีการระดมทุนสนับสนุนอย่างเป็นระบบ ลักษณะเดียวกับที่มิตต์ รอมนีย์
ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ จัดตั้งองค์กร Romney for President, Inc. เพื่อสนับสนุนการหาเสียงชิงประธานาธิบดีของตน
สิ่งที่น่าจับตาคือสุหฤทที่สร้างกระแสสนับสนุนของตัวเองขึ้นมาได้บ้างแล้ว
จะเดินหน้าอย่างไรต่อไปบนเส้นทางการเมือง
ซึ่งเขาอาจไปได้ดีกว่าในการเมืองระดับชาติที่ระดมคะแนนเสียงได้กว้างไกลกว่า
พื้นที่ กทม. อย่างเช่น การลงสมัคร ส.ส. ในระบบปาร์ตี้ลิสต์
(ลักษณะเดียวกับนายชูวิทย์หรือนายปุระชัย)
โฆสิต สุวินิจจิต
ผู้บริหารภาคเอกชนอย่างโฆสิต รวมข้อด้อยของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และนายสุหฤท
เข้าด้วยกัน โดยเขาใช้การหาเสียงแบบเก่า เน้นแค่การระดมป้ายเช่นเดียวกับ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ในขณะที่ไม่มีฐานเสียงสนับสนุนเช่นเดียวกับนายสุหฤท
รวมถึงสร้างกระแสแบบนายสุหฤทไม่ได้ด้วยซ้ำ
จึงไม่น่าแปลกใจนักที่เขาได้เพียง 28,640 คะแนน น้อยกว่านายสุหฤทประมาณ 3
เท่า และน้อยกว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เกือบ 6 เท่า
อย่างไรก็ตาม โฆสิต อาจประสบความสำเร็จในแง่การใช้เวทีเลือกตั้งผู้ว่า กทม.
เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเมืองของตนต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรี หรือร่วมทีมเป็นรองผู้ว่าฯ ในอนาคต
5. การเมืองไทยปี 2556 เดินหน้าสู่การแก้รัฐธรรมนูญ
เมื่อปลายปี 2555 ทาง SIU ได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยปี 2556 ว่า
มีเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ที่ควรจับตา อย่างแรกคือการเลือกตั้งผู้ว่า
กทม. ช่วงต้นปี
และอย่างหลังคือความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งจะอยู่ในช่วงกลางปี
บัดนี้ การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ผ่านพ้นไปแล้ว
โดยสถานการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้งไม่มีความเปลี่ยนแปลง
เรายังได้ผู้ว่าคนเดิม พรรคประชาธิปัตย์ยังครองกรุงเทพ
และพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเหมือนเดิม
ดังนั้นปมปัญหาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ซึ่งจะรวมไปถึงการนิรโทษกรรมทางการเมืองที่หยุดชะงักมาพักใหญ่ๆ
จะเริ่มกลับมาปะทุอีกครั้ง และเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จะต้องหาเส้นทางเดินที่ได้รับการยอมรับจากคนไทยทุกฝ่ายต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น