เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา กลุ่มปฏิญญาหน้าศาลได้เชิญ
คุณภัควดี วีระภาสพงษ์ มาเป็นวิทยากรสนทนาเรื่อง “นักโทษการเมือง :
ภาพสะท้อนสงครามเย็นตกยุค” มีประเด็นที่สำคัญกว่า กลุ่มชนชั้นนำของไทยนั้น
เป็นกลุ่มที่เคยผ่านบทเรียนและประสบการณ์สมัยสงครามเย็น แม้ว่าในขณะนี้
สงครามเย็นในโลกจะยุติไปนานแล้ว แต่ทัศนะแบบสงครามเย็น
ทำให้ชนชั้นนำไทยเห็นประชาชนเป็นศัตรู และใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ
และการปราบปรามแบบยุคสงครามเย็น จึงทำให้เกิดการกวาดล้างเข่นฆ่าประชาชน
และจับกุมคุมขังคนที่คิดต่าง ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศอันล้าหลังทางการเมือง
โดยประจักษ์พยานสำคัญก็คือ การคุมขังนักโทษการเมือง
ซึ่งก็คือนักโทษทางความคิดนั่นเอง
ประเด็นที่คุณภควดีเสนอมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าพิจารณาว่า
ยุคแห่งสงครามเย็นในโลก
เป็นยุคเริ่มต้นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
โดยสถานการณ์โลกในขณะนั้น คือ
การเผชิญหน้าระหว่างสองอภิมหาอำนาจที่มีอุดมการณ์ต่างกัน นั้นคือ
สหรัฐอเมริกา ผู้นำฝ่ายโลกทุนนิยม และ สหภาพโซเวียต ผู้นำฝ่ายคอมมิวนิสต์
อภิมหาอำนาจทั้งสองมีความขัดแย้ง และแข่งอำนาจกันในดินแดนทั่วโลก
แต่ไม่สามารถที่จะก่อสงครามกันโดยตรงได้
เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธนิวเคลียร์มหาศาล
เครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการต่อสู้สมัยสงครามเย็นก็คือ
การใช้สงครามจิตวิทยา หรือการโฆษณาชวนเชื่อ
ซึ่งก็คือการใช้ข้อมูลด้านเดียวโฆษณาให้เห็นความเลวร้ายของฝ่ายตรงข้าม
เพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับฝ่ายของตน
ในยุคสงครามเย็นนั้น
ชนชั้นนำไทยก็ได้นำประเทศเข้าร่วมอยู่ในฝ่ายเดียวกับสหรัฐอเมริกา
โดยมีเป้าหมายร่วมในการต่อต้านคอมมิวนิสต์โซเวียต และต่อมา ก็คือ
ต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่และเวียดนามเหนือ ในการรณรงค์ต่อต้านคอมมิวนิสต์
ได้มีการใช้สงครามจิตวิทยา วาดภาพให้ราวกับคอมมิวนิสต์เป็นปีศาจร้าย
ใช้ข้อกล่าวหาอันปราศจากเหตุผลมาโจมตี เช่น
คอมมิวนิสต์เอาผู้หญิงเป็นของกลาง เอาคนชราไปทำปุ๋ย ฯลฯ และที่สำคัญคือ
คอมมิวนิสต์เป็นพวกขายชาติ ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า
ภาพคอมมิวนิสต์จะมี 2 ลักษณะ คือ เป็นระบบการเมืองสังคมตามที่เป็นจริง
นั่นคือ เป็นระบบที่ปฏิเสธทุนนิยม สร้างสวัสดิการโดยรัฐ ใช้เศรษฐกิจวางแผน
ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้าย แต่ที่เลวร้ายกว่าคือ
ผีคอมมิวนิสต์ที่ถูกวาดขึ้นมาตามจินตภาพของชนชั้นนำไทยที่เป็นอนุรักษ์นิยม
และหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง และความกลัวผีคอมมิวนิสต์นี้เอง
ที่นำมาสู่การเข่นฆ่าประชาชนในชนบทจำนวนมาก ในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร
และเช่นเดียวกัน คือ การนำมาสู่การกวาดล้างเข่นฆ่านักศึกษาในกรณี 6 ตุลาคม
พ.ศ.2519
ต่อมา สงครามเย็นในโลกผ่อนคลายและยุติลง
เนื่องจากการล่มสลายของคอมมิวนิสต์ยุโรปตะวันออก พ.ศ.2532
แล้วนำมาสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ.2534
ส่วนจีนก็เปลี่ยนแนวทางการบริหารประเทศไปสู่วิธีการแบบทุนนิยม
การเผชิญหน้ากันระหว่างประเทศในเวทีการเมืองโลกลดลง
ในขณะที่ระบบการเมืองของประเทศอื่นในโลกก้าวไปสู่ประชาธิปไตยมากขึ้น
จนกระทั่งแทบจะไม่เหลือประเทศที่เป็นเผด็จการทหารเลย
แม้กระทั่งในลาตินอเมริกา และอัฟริกา
ก็กลายเป็นระบอบประชาธิปไตยแทบทั้งสิ้น
ประเทศไทยก็ดูเหมือนจะก้าวหน้าไปสู่ประชาธิปไตยเช่นกัน จนกระทั่ง ในวันที่
19 กันยายน พ.ศ.2549 ก็เกิดการยึดอำนาจของฝ่ายทหาร
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ย้อนยุคอย่างไม่น่าเชื่อ
การสนับสนุนให้กองทัพยึดอำนาจเพื่อโค่นรัฐบาลที่ชนชั้นนำไม่ถูกใจ
โดยไม่ต้องสนใจเสียงของประชาชนนั้น
เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองในยุคสงครามเย็น
ที่สหรัฐฯเข้ามาสนับสนุนเผด็จการในประเทศเอเชีย
เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมือง และต่อต้านคอมมิวนิสต์ เพียงแต่ว่าในวันนี้
สหรัฐฯไม่ได้สนับสนุนการรัฐประหารแล้ว
แต่เป็นชนชั้นนำไทยเองที่เลือกใช้วิธีการนี้
ทั้งนี้เพราะกรอบความคิดของชนชั้นนำไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตย
ไม่เห็นว่าประชาชนเป็นที่มาแห่งอำนาจที่ชอบธรรม
แต่มีความคิดย้อนยุคแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเห็นว่า
สถาบันกษัตริย์เท่านั้นเป็นที่มาแห่งความชอบธรรมทางการเมือง ดังนั้น
การล้มล้างประชาธิปไตยจึงไม่เรื่องเสียหาย
ตราบเท่าที่สถาบันกษัตริย์ยังมั่นคง
และเพื่อสร้างความชอบธรรมในลักษณะนี้อย่างเป็นกระบวนการ ก็คือ
การสร้าง”ผีทักษิณ”ในลักษณะเดียวกับผีคอมมิวนิสต์ในอดีต เช่นกล่าวหา
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า เป็นที่มาแห่งความชั่วทุกอย่างในสังคมไทย
และที่ร้ายแรงคือ การสร้างภาพให้
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นศัตรูกับสถาบันกษัตริย์และมีความต้องการที่จะล้มเจ้า
ซึ่งเป็นวิธีการแบบสงครามจิตวิทยาที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วในสงครามเย็น
และเพื่อจะหล่อเลี้ยงข้อหาลักษณะนี้
จึงต้องมีการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือมาตรา 112
ในการจับกุมบุคคลที่คิดต่างมากขึ้น
แต่ปัญหาของชนชั้นนำไทยในสมัยหลังรัฐประหาร พ.ศ.2549 ก็คือ
ไม่สามารถควบคุมและโน้มน้าวการสนับสนุนของประชาชนได้ ในที่สุด
ก็นำมาสู่การพัฒนาของมวลชนคนเสื้อแดง ที่กลายเป็นพลังสำคัญมากขึ้นทุกที
ข้อเสนอหลักที่ฝ่ายขบวนการเสื้อแดงต้องการผลักดันก็คือ ประชาธิปไตยสมบูรณ์
ที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชน ถือเสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์อย่างแท้จริง
กรณีที่กลายเป็นกระแสใหญ่ที่สุด ก็คือ
การเคลื่อนไหวของขบวนการคนเสื้อแดงที่นำโดย
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ( นปช.)
เมื่อเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พ.ศ.2553 ที่เรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่
ซึ่งเป็นประเด็นประชาธิปไตยธรรมดาที่ไม่มีความแหลมคมด้วยซ้ำ
ปรากฏว่าชนชั้นนำไทยได้ตอบโต้อย่างเต็มรูปแบบลักษณะเดียวกับสมัยสงคราม
เย็น เช่น
การประกาศภาวะฉุกเฉินขั้นร้ายแรงและระดมทหารติดอาวุธพร้อมมารับมือกับ
ประชาชน จากนั้น ก็มีการอุปโลกน์ผังล้มเจ้าขึ้นมา
แล้วสร้างกระแสใส่ร้ายป้ายสีขบวนการเสื้อแดงโยงเข้ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ
ในข้อหาว่าจะล้มเจ้า แล้วก็ใช้กำลังทหารเข้าเข่นฆ่าปราบปราม
วิธีการทั้งหมดนี้ มาจากทัศนะที่เห็นประชาชนเป็นศัตรู
แทนที่จะเห็นว่าเป็นเพียงพวกมาเรียกร้องความเป็นธรรม
จึงเลือกใช้วิธีการทางการทหารมาปกป้องอำนาจรัฐจากประชาชน
แล้วก็ใช้วิธีการใส่ร้ายป้ายสีโจมตีฝ่ายคนเสื้อแดงว่ามีอาวุธร้ายแรง
ซึ่งไม่ต่างกับการใส่ร้ายป้ายสีนักศึกษาเมื่อครั้งกรณี 6 ตุลาคม พ.ศ.2519
ว่า สะสมอาวุธจำนวนมากไว้ในธรรมศาสตร์นั่นเอง
หลังจากที่ใช้การเข่นฆ่าสังหารจนมีประชาชนเสียชีวิตนับร้อยคน
และบาดเจ็บนับพันคนแล้ว
ก็กวาดล้างโดยการจับประชาชนฝ่ายต่อต้านดำเนินคดีและขังคุก
จนก่อให้เกิดนักโทษการเมืองจำนวนมาก โดยเฉพาะในคดี 112
ที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีนักโทษทางความคิด
จนกลายเป็นที่กังขาในโลกนานาชาติ ต่อมา กระบวนการใส่ร้ายอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากการโจมตีว่าล้มเจ้าแล้ว
ยังสร้างกระแสโจมตีเรื่องการเผาบ้านเผาเมือง
เพื่อสร้างความชอบธรรมในหมู่ชนชั้นกลาง
และเป็นวิธีการที่ใช้ในยุคสงครามเย็นเช่นกัน
ดังนั้น ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยที่ยังคงรุนแรง
และหาทางสมานฉันท์ได้ยากในขณะนี้
จึงมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากชนชั้นนำไทยที่มีทัศนคติอันตกยุคสมัย
คือยังยึดอยู่กับความคิดในบริบทแบบสงครามเย็น เห็นประชาชนเป็นศัตรู
และใช้วิธีการที่สู้กับคอมมิวนิสต์มาต่อสู้กับประชาชน
การแก้ไขสถานการณ์คงจะทำได้ยาก นอกจากจะต้องรณรงค์ให้เห็นว่า
ความคิดเช่นนี้เป็นเรื่องเหลวไหล ตกยุค
และไม่เหมาะกับการเมืองแบบประชาธิปไตย
และประชาชนก็จะต้องก้าวให้พ้นชนชั้นนำอันล้าหลังเหล่านี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น