กษัตริย์กายเน็นดรา พิกรม เทพ แห่งเนปาล |
"การที่พระมหากษัตริย์ทรงเข้าไปยุ่มย่ามกับการเมืองมีส่วนทำให้ระบอบสมบูรณายาสิทธิราชของเนปาลล่มสลายลงไป"
บทความวิชาการโดย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
บรรณาธิการรับเชิญของศูนย์ศึกษาเอซียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยเกียวโต
(ถอดความเป็นไทยโดย ระยิบ เผ่ามโน จากเรื่อง Monarchies in Southeast Asia )
(ถอดความเป็นไทยโดย ระยิบ เผ่ามโน จากเรื่อง Monarchies in Southeast Asia )
ศาสตราจารย์ไมเคิล ไลฟ์เฟอร์ นักวิชาการผู้ล่วงลับ ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านเอเซียอาคเนย์ศึกษา
เขียนคำนำไว้ในหนังสือชื่อกระฉ่อนเรื่อง สถาบันกษัตริย์ในเอเซียอาคเนย์ ของ
รอเจอร์ เคอร์ชอว์ ตอนหนึ่งว่า
“แม้เป็นที่ทราบกันดีว่าสถาบันกษัตริย์ได้ผันแปรไปแล้ว
ในเอเซียอาคเนย์ความจริงเรื่องนี้ใช้ได้เฉพาะบางกรณีเท่านั้น ทั้งๆ ที่เผชิญกับการล่มสลายในแง่ขององค์กร อันเนื่องจากลัทธิอาณานิคม
และการโค่นทำลาย
เอเซียอาคเนย์ก็ยังคงดำรงสถาบันกษัตริย์ในรูปแบบของผู้ปกครองไว้ได้แห่งหนึ่ง
(บรูไน) กับที่เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยการนำเข้าจากนอกแบบใดแบบหนึ่งอีกสามแห่ง
(กัมพูชา มาเลย์เซีย และไทย)*1
เคอร์ชอว์
เองนั้นได้ตั้งข้อสังเกตุต่อข้อเขียนของไลฟ์เฟอร์ไว้ว่า
“ความไม่แน่นอนของการที่สถาบันกษัตริย์จะอยู่รอด
เป็นเพราะค่านิยมทางการเมืองโดยธรรมชาติ
และเหนียวแน่น หรือว่าสามารถดำรงอยู่ได้เพราะโชคเข้าข้างก็ตาม
บัดนี้ได้ถูกชักใยโดยกลุ่มชนชั้นนำ (และแม้แต่กษัตริย์นั่นเอง)
เพื่อตัดหน้าช่วงชิงไม่ให้กระแสวิวัฒนาการยุคใหม่สามารถทำลาย
หรือกัดกร่อนได้
ความก้าวหน้าของวิวัฒนาการนั้นเองที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการคงไว้ซึ่ง
สถาบันกษัตริย์”*2
บทความสั้นๆ ต่อไปนี้เป็นผลจากเนื้อความที่ได้กล่าวมา หากแต่แทนที่จะพูดถึงหัวข้อข้างต้นเสมือนเป็นสิ่งผิดเพี้ยน
กลับจะแสดงให้เห็นการอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์ในเอเซียอาคเนย์ภายใต้บรรยากาศทางการเมืองแนวใหม่
เคอร์ชอว์กล่าวไว้อย่างถูกต้องทีเดียวว่าวิวัฒนาการยุคใหม่เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันกษัตริย์
แท้จริงแล้วไม่เพียงวิวัฒนาการยุคใหม่เท่านั้นที่ท้าทายต่อความเหมาะสมทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์
พัฒนาการประชาธิปไตยก็มีส่วนกดดันให้ฐานะของสถาบันกษัตริย์บังเกิดอาการง่อนแง่นด้วย
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคลื่นแห่งพัฒนาการประชาธิปไตยโหมกระหน่ำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไม่ลดละ
ในที่สุดอำนาจนิยมที่เกาะกุมอินโดนีเซียมานานปีก็สิ้นสุดลงเมื่อประเทศก้าวเข้าสู่การพัฒนาประชาธิปไตยอย่างจริงจัง
และเช่นเดียวกันหลังจากโดดเดี่ยวอยู่นอกประชาคมโลกมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ ในที่สุดพม่า-ชื่อดั้งเดิมของเมียนมาร์ ก็เปิดประตูสู่การปฏิรูป
ในที่อื่นๆ ของโลกนอกเหนือจากนี้ โดยเฉพาะตะวันออกกลาง
ประชาธิปไตยกลายเป็นคุณค่าอันจำเป็นต้องแสวงหา ด้วยแนวโน้มนี้เองสถาบันกษัตริย์ในเอเซียอาคเนย์ถูกจับตามองตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
ในบรรดาประเทศที่ยังคงมีสถาบันกษัตริย์อยู่ประชาชนเริ่มตั้งคำถามที่ไม่อาจละเลยอีกต่อไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ว่า สถาบันกษัตริย์สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
ในปี ๒๕๕๑
เนปาลยกเลิกราชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จแล้วประกาศจัดตั้งเป็นสหสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนขึ้น
การสิ้นสุดของราชวงศ์ชาห์แห่งเนปาลอันเก่าแก่ ๒๓๙ ปี
แสดงให้เห็นความเปราะบางของสถาบันกษัตริย์เมื่อปรากฏว่าพยายามที่จะขัดขวางประชาธิปไตย
มีความเห็นที่แปลกแยกมากมายในบรรดาผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมือง
รวมทั้งภายในพระบรมวงศานุวงศ์เองต่อสถานะอันเหมาะควรของกษัตริย์ในประเทศเนปาลยุคใหม่
ขณะที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงยืนกรานที่จะมีบทบาทแข็งขันในทางการเมือง
และเป็นแก่นสำคัญของศูนย์รวมแห่งชาติ นักการเมืองกลับมองว่าพระราชภารกิจของกษัตริย์มีแต่เพียงลายลักษณ์ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กษัตริย์ทรงประทับแต่บนบัลลังก์ มิได้เสด็จลงมาปกครอง*3
การที่พระมหากษัตริย์ทรงเข้าไปยุ่มย่ามกับการเมืองมีส่วนทำให้ระบอบสมบูรณายาสิทธิราชของเนปาลล่มสลายลงไป
สถาบัน
กษัตริย์ในเอเซียอาคเนย์บางแห่งสามารถยืนหยัดทำการปกครองอยู่ได้โดยทัดทานก
ระแสประชาธิปไตย บ้างก็ตกเป็นเป้าของการโค่นล้มทำลาย
ปัจจุบันมีอยู่สี่แห่งในสิบประเทศเอเซียอาคเนย์ที่ยังคงรักษาระบอบราชา
ธิปไตยไว้ได้ด้วยรูปแบบที่หลากหลาย
นับแต่แบบสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ หรือชนิดยึดแนวรัฐธรรมนูญ
และประเภทที่เป็นเพียงสัญญลักษณ์ทางด้านพิธีการ
ในบทความพิเศษชิ้นนี้จะมีการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในอนาคตของสถาบัน
กษัตริย์ในประเทศไทย
กัมพูชา มาเลย์เซีย และบรูไน
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชของประเทศไทยทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลก
และทรงเป็นศูนย์รวมแห่งโครงสร้างทางการเมืองต่างๆ ของไทย ทรงเสด็จเสวยราชย์เมื่อปี
๒๔๘๙ หลังจากเหตุการณ์อันน่าฉงนที่มีผู้ปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระเชษฐาของพระองค์
สุลต่าน
ฮัสซานัล โบเกียห์ แห่งบรูไน
ได้พิสูจน์พระองค์ในความหนักแน่น
และทรงปกปักความชอบธรรมแห่งพระราชอำนาจสมบูรณ์เอาไว้ได้ท่ามกลางกาลสมัยที่
เต็มไปด้วยรัฐชาติประชาธิปไตย
กษัตริย์สีหมุณีแห่งกัมพูชาซึ่งพระราชกรณียกิจส่วนใหญ่มีแต่เพียงด้าน
พิธีกรรม
ทรงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเสริมสร้างอัตลักษณ์แห่งชาติของชาวเขมร
แต่ว่าสถานะของพระองค์เริ่มที่จะไม่แน่นอนเมื่อสมเด็จพระราชบิดา
สมเด็จนโรดมสีหนุ กษัตริย์พระองค์ก่อนเสด็จสวรรคตลงเมื่อเดือนตุลาคม
๒๕๕๕
ในมาเลย์เซียนั้นมีระบบกษัตริย์แบบที่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ยัง ดิ-เปอตวน อากง เป็นตำแหน่งสูงสุดของประเทศซึ่งกำหนดโดยรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐมาเลย์เซีย
ยัง ดิ-เปอตวน อากง องค์ปัจจุบันเป็นรัชกาลที่ ๑๔ ทรงพระนามว่า สุลต่าน อับดุล
ฮาลิม สุลต่านแห่งเคดาห์ ทรงเข้าสู่ตำแหน่งเมื่อวันที่ ๑๓ธันวาคม ๒๕๕๔
จากมติการเลือกโดยสมัชชาแห่งเจ้าผู้ครองนคร
สุลต่านอับดุล ฮาลิม แห่งมาเลย์เซีย และชายา |
ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ร่องรอยแห่งโบราณกาลที่ผ่านเลยไปแล้วภายใต้การปกครองของกษัตริย์
และสุลต่าน ยังคงดำรงอยู่รอดได้ในยุคประชาธิปไตย
แต่จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหนนั้นเป็นปัญหา
วิกฤต
ทางการเมืองอันยืดเยื้อในประเทศไทยที่ซึ่งต่างฝ่ายต่างหักหาญเพื่อยึดครอง
ความยิ่งใหญ่ในอำนาจกลับเหนี่ยวรั้งให้พระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูลล้น
พ้นต้องจมลงสู่ห้วงลึกมิอาจหยั่งถึงของการเมือง
แต่ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้วพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่
ทรงนิ่งเฉยมาโดยตลอด*5
และนับแต่การรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ เป็นต้นมา
พระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์มิต้องทรงการเมืองอย่างปกปิดอีกต่อไป ได้มีการแสดงบทบาทเบื้องหน้าอย่างโจ่งแจ้ง
ดังตัวอย่าง.....งานศพของสมาชิกเสื้อเหลืองพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยผู้จงรักภักดีรายหนึ่ง
นั่นเป็นที่กล่าวถึงว่าสถาบันกษัตริย์เข้าไปมีบทบาทในทางการเมืองมากยิ่งขึ้น......
เท่าที่เป็นมาองค์สุลต่านแห่งบรูไนแสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถในการปรับระบบการเมืองภายในประเทศให้เข้ากันได้กับการท้าทายใหม่ๆ
ทรงกระชับความชอบธรรมในสถานะของพระองค์ด้วยอุดมการณ์พระราชามลายูอิสลาม (เอ็มไอบี)
ซึ่งเปิดโอกาสให้ศาสนาอิสลามเข้าไปมีบทบาทต่อกิจการแห่งรัฐ
แต่กระบวนการเช่นนี้มีลักษณะจำเพาะเจาะจง และเสี่ยงกับการถูกปฏิเสธโดยประชากรที่ไม่ใช่ชนมุสลิม
ขณะเดียวกันราชวงศ์อื่นๆ
ต่างต้องประสบกับปัญหาเรื่องอื้อฉาว และพฤติกรรมผิดทำนองคลองธรรม เหล่านี้ทำให้ภาพลักษณ์ของราชวงศ์ด่างพร้อย
และกลายมาเป็นภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์ ดังตัวอย่าง เต็งกู
เตเม็งกอง มูฮัมมัด ฟาคหรี เจ้าฟ้าชายแห่งมาเลย์เซียจากรัฐกลันตัน
ถูกกล่าวหาว่าทรงปฏิบัติต่อพระชายาอดีตนางแบบวัย ๑๗ ปีประดุจนางทาสบำเรอสวาท
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นมากมายภายในหมู่สมาชิกของราชวงศ์มาเลย์เซีย
ฮัซลิซ่า อิซัค อดีตนางแบบวัย ๒๖ ปี ชายาคนที่สองของราชา จาฟาร์ ราชา มูดา มูซ่า
ซึ่งเป็นอันดับสองในสายการขึ้นครองบัลลังก์มาเลย์เซียของรัฐเปรัค เธอเสียชีวิตลงในปี
๒๕๔๕ ใกล้เมืองอิโปห์ แล้วก่อให้เกิดเรื่องราวอื้อฉาวเกี่ยวกับราชวงศ์เป็นที่ติดตามของทั้งประเทศอยู่เป็นเวลาหลายเดือน
สรี
ราม เชาเลีย
นักวิชาการชาวอินเดียแสดงความเห็นว่าอนาคตของสถาบันกษัตริย์ในเอเซียอาคเนย์
ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่คละเคล้ากันของความสามารถส่วนตัวกับสมรรถภาพทางการ
เมือง
และกรรมวิธีในการปรับตัวเข้ากับองค์ประกอบประเภทที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อ
ประชาธิปไตย*6
การอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์ในบริบทของเอเซียอาคเนย์ก็เช่นกัน
ต้องพึ่งพาความสามารถในการชุบตัวเองใหม่ในสามระดับ คือส่วนบุคคล ระดับชาติ และในทางระหว่างประเทศ
ด้านตัวบุคคล กษัตริย์จำเป็นต้องแสดงออกอย่างชนิดไม่เคยมีมาก่อน
ถึงการรับผิด และรับชอบต่อการกระทำของพระองค์ รวมทั้งความโปร่งใส
และความใส่ใจในพันธะหน้าที่ ถ้าหากทรงมีพระประสงค์จะดำรงอยู่เคียงข้างกับรัฐบาลประชาธิปไตย
บนภาคพื้นทวีปของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ กรอบความคิดเรื่องกษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพยังคงเป็นเรื่องเร้นลับยิ่งนัก
พระมหากษัตริย์ของไทย และเขมรถูกคาดหมายให้เป็นธรรมราชา หรือกษัตริย์ในอุดมคติ เพื่อเสริมสร้างพระบารมี
และตามมาด้วยศรัทธาจากบรรดาพสกนิกร
สุลต่าน
แห่งมาเลย์เซียก็อยู่ในแนวคิดเดียวกัน
ต้องแสดงพลานุภาพแห่งเจ้าเหนือหัวให้สอดคล้องกับหลักอิสลาม
ความศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาของราชบัลลังก์ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการ
คงอยู่ของสถาบันกษัตริย์
มันแสดงให้เห็นความเกี่ยวโยงต่อกันและกันของความเป็นเจ้าเหนือหัวกับศาสนา
และถ้าหากนำมาใช้อย่างชาญฉลาด
มันสามารถยกระดับความเป็นเทพเจ้าของกษัตริย์ขึ้นไปอีกโสตหนึ่งได้
การที่ราชาธิปไตยเบ็ดเสร็จภายใต้การปกครองของกษัตริย์กายเน็นดรา
พิกรม เทพ แห่งเนปาลถูกล้มล้างลงไป
ส่วนหนึ่งมาจากการขาดซึ่งพระบารมีทางศาสนาของพระองค์
เชาเลียกล่าวไว้ว่า “ตำนานที่มาแห่งความเป็นเทพมักเป็นฐานมั่นคงของอำนาจกษัตริย์เสมอ
แต่ก็ย่อมหมายรวมถึงความคาดหมายจากมวลชนด้วยว่า
กษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ควรที่จะทรงปกครองด้วยสไตล์เที่ยงตรง และสะอาดสดใส บารมีมิได้เกิดได้โดยอัตโนมัติ
แม้แต่ในการสืนสานตำแหน่งชั้นสูงทางศาสนา
หากแต่สั่งสมผ่านมาทางกรณีกิจที่ทำให้ประชาชนรำลึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาของราชบัลลังก์
กษัตริย์กายเน็นดราแห่งเนปาลทรงลืมมิติอันสำคัญนี้ไป
แล้วทำลายสายใยแห่งความเคารพเทิดทูลที่บรรพบุรุษของพระองค์สร้างสมไว้ นับแต่การไร้ซึ่งคุณธรรมส่วนพระองค์ไปถึงเรื่องอาชญากรรม
ความอื้อฉาว
และการเสื่อมเสียภาพพจน์สาธารณะภายในพระราชวงศ์ที่พระเจ้ากายเน็นดราไม่ทรงสามารถยับยั้งได้
กลายเป็นการขุดหลุมศพพระองค์เองในสายตามหาชน”*7
ในระดับชาติ
อำนาจของสถาบันกษัตริย์ยืนหยัดอยู่ได้เพราะมีความเกี่ยวเนื่องอย่างซับซ้อนกับคณะทหาร
ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องยืนยันว่าโดยพันธะกรณีกองทัพเป็นผู้ปกปักพิทักษ์สถาบันเจ้านายเชื้อพระวงศ์
กษัตริย์ทั้งในอดีต และปัจจุบันทรงแสวงหาสายสัมพันธ์มั่นแม่นไว้กับกองทัพ
ดังที่ปรากฏในบางประเทศที่กองทัพจะมีคำนำหน้าว่า “ในพระองค์” (รอยัล)
กองทัพไทยก็เป็นกองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นสัญญลักษณ์ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด
ในกรณีของไทยเป็นที่ชัดแจ้งว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงโปรดเป็นอย่างยิ่งที่มีกองทัพคอยสนับสนุน
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.๒๕๒๓-๒๕๓๑)
อันเป็นตำแหน่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง เคยพูดไว้ในคราวหนึ่งว่า “เหล่าทหารเปรียบเสมือนม้าคอยรับสนองต่อองค์พระมหากษัตริย์
ไม่ใช่รับใช้นักการเมือง”*8
กองทัพนั้นคงไว้ซึ่งอาณัติอันทรงพลังที่ใช้เป็นเครื่องกำหนดว่ารัฐบาลไหนจะมีอายุยืนยาวเพียงใด
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลในระบอบราชาธิปไตย เผด็จการ หรือแม้แต่ประชาธิปไตย
ศูนย์กลางแห่งความอยู่ยงคงกระพันของสถาบันกษัตริย์นั้นก็คือความจงรักภักดีของกองทัพ
ทว่าความสัมพันธ์อันล้ำลึกระหว่างองค์กษัตริย์กับเหล่าทหารก็ไม่อาจเป็นหลักประกันความมั่นคงแห่งราชบัลลังก์ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากสายใยสัมพันธ์นั้นคุกคามต่อประชาธิปไตย
วิกฤต
ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าความเป็นพันธมิตรระหว่าง
กษัตริย์กับทหารกำลังเสื่อมคลายความแน่นแฟ้นในการเกาะกุมอำนาจลงไป
ขบวนการเสื้อแดงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับการกุมบังเหียนการเมืองโดยฝ่ายทหาร
และการเข้าไปพัวพันการเมืองของสถาบันกษัตริย์ก่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ที่
เรียกว่า ‘พวกไม่เอาเจ้า’ ขึ้นมา
ท้ายสุดในขอบข่ายระหว่างประเทศ
สถาบันกษัตริย์อาจจะจำเป็นต้องทำให้มั่นใจว่าการคงอยู่ของตนสอดคล้องกับผลประโยชน์ของมิตรประเทศ
และยังคงเป็นสถาบันที่จำเป็นภายในประเทศ
การสนับสนุนของมหามิตรต่างประเทศจะเป็นประโยชน์แก่สถาบันกษัตริย์ในยามคับขันที่ถูกคุกคามโดยฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
สหรัฐเคยเป็นหลักประกันความปลอดภัยของกษัตริย์ไทยในช่วงที่คอมมิวนิสต์แผ่ขยายอิทธิพลในภูมิภาค
แนวทางไปสู่ความอยู่ยงของสถาบันกษัตริย์ในเอเซียอาคเนย์เหล่านี้มิได้เป็นภาพหรูสำหรับอนาคตได้เสมอไป
ปัจจัยใหม่ๆ ก่อเกิดขึ้นมาท้าทายศักดิ์ศรี และความชอบธรรมในการปกครองของสถาบันกษัตริย์เป็นครั้งคราว
การใช้เครื่องมือไม่ชอบธรรมในการต่อสู้กับการท้าทายเหล่านั้นอาจกลายเป็นผลร้ายย้อนกลับก็ได้
การ
ใช้กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพปราบปรามพวกไม่เอาเจ้าก่อให้เกิดการเพ่งเล็ง
เรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
การใช้มาตรการรุนแรงมิได้แสดงถึงอำนาจสุดยอดของกษัตริย์เสมอไป
มันอาจแสดงอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นการพยายามเกาะเกี่ยวอำนาจเช่นนั้นไว้เมื่อ
ใกล้สิ้นหวัง
ระบบกษัตริย์นั้นมีมานานนับพันปี
มันได้ผ่อนปรนความกร้าวแกร่งลงไป ในบางกรณีล่มสลายไปแล้วก็มี
โดยที่นานาประเทศในโลกรับเอาระบบปกครองแบบประชาธิปไตยไว้เป็นสรณะ
แน่ละในเกณฑ์ความเข้มข้นที่ลดหลั่นกันไป และในต่างสไตล์รูปแบบ
ดังนั้นกุญแจสำคัญสุดยอดในการอยู่รอดของสถาบันพระมหากษัตริย์จึงขึ้นอยู่กับวิธีการกระทำ
และตอบสนองในท่วงทำนองเอื้อเฟื้อต่อความปรารถนาของประชาชนที่กำลังเกิดขึ้นเรื่อยๆ
เชิงอรรถ
1. Roger Kershaw, Monarchy in Southeast Asia: The Faces
of Tradition in Transition (London: Routledge, 2001), p.
XI.
2. Ibid, p. 6.
3. See, Bhuwan L. Joshi and Leo E.
Rose, Democratic Innovations in Nepal: A Case Study of Political Acculturation
(Berkeley and Los Angeles: University of California Press, 1966),
pp. 386--7.
4. Quoted in José M. Magone, Contemporary European
Politics: A Comparative Introduction (Oxon: Routledge, 2011),
p. 176.
5. See, Thongchai Winichakul, “The
Monarchy and Anti-Monarchy: Two Elephants in the Room of Thai Politics and the
State of Denial,” in ‘Good Coup’ Gone Bad: Thailand’s Political Developments
since Thaksin’s Downfall, edited by Pavin Chachavalpongpun (Singapore:
Institute of Southeast Asian Studies, 2013).
6. Sreeram Chaulia, “Monarchies in Asia: Crowns Die Hard”,
Opinion Asia, 11 June 2008 <sreeramchaulia.net/publications/Monarchies%20in%20Asia.doc> (accessed 27 December 2012).
7. Ibid.
8. In his interview with Far Eastern
Economic Review, see <http://testfeer.wsj-asia.com/free-interviews/ 2006/september/general-prem-tinsulanonda1>
(accessed 27 December 2012).
เอกสารอ้างอิง
Chaulia, Sreeram. 2008. Monarchies
in Asia: Crowns Die Hard. Opinion Asia, 11 June
<sreeramchaulia.net/publications/Monarchies%20in%20Asia.doc> (accessed 27 December 2012).
Joshi, Bhuwan L. and Rose, Leo E. 1966. Democratic
Innovations in Nepal: A Case Study of Political Acculturation. Berkeley and Los
Angeles: University of California Press.
Kershaw, Roger. 2001. Monarchy in
Southeast Asia: The Faces of Tradition in Transition. London: Routledge.
Magone, José M. 2011.
Thongchai, Winichakul. 2013. The
Monarchy and Anti-Monarchy: Two Elephants in the Room of Thai Politics and the
State of Denial. In ‘Good Coup’ Gone Bad: Thailand’s Political Developments
since Thaksin’s Downfall, edited by Pavin Chachavalpongpun. Singapore:
Institute of Southeast Asian Studies.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น