แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

โสภณ พรโชคชัย: วิพากษ์ความเห็นของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์

ที่มา ประชาไท


 
ตามที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงปาฐกถาความตอนหนึ่งว่า "ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์ฮิตเลอร์ยังได้เป็นผู้นำที่ได้มาจากการเลือกตั้ง เมื่อชนะการเลือกตั้งได้พรรคพวกมาในสภาก็ได้แก้ไขกฎหมายเพื่อรักษาอำนาจของ ตัวเอง ในที่สุดผู้นำเสียงข้างมากก็นำพาเยอรมันไปสู่หายนะก็คือประเทศเยอรมัน" {1} ข้อความนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง
 
แม้ฮิตเลอร์จะมาจากการเลือกตั้ง ก็เป็นการเลือกตั้งที่โกงมา รวมทั้งการทำลายคู่แข่ง และที่สำคัญไม่ได้ชนะด้วยเสียงส่วนใหญ่ ในการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2476 ฮิตเลอร์ได้คะแนนเสียง 44%  ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง  และแม้ฮิตเลอร์จะชนะการเลือกตั้งใน 33 จาก 35 เขตเลือกตั้ง ก็ไม่ใช่โดยเสียงส่วนใหญ่อยู่ดี {2}  ดังนั้นการที่ฮิตเลอร์นำเยอรมนีเข้าสู่สงครามจึงไม่ใช่มติของชาวเยอรมันส่วนใหญ่
 
บางคนเข้าใจว่าคนส่วนน้อยเห็นได้ถูกต้องกว่าคนส่วนใหญ่ เช่น คดี Perry v. Schwarzenegger ซึ่งศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาพิพากษาไปเมื่อ 4 สิงหาคม 2553 ว่า ผลการลงประชามติของชาวมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อ 8 พฤศจิกายน 2551 ที่มีมติห้ามคนเพศเดียวกันสมรสกันนั้น ขัดต่อหลักความเสมอภาคและขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา  คำพิพากษานี้ดูประหนึ่งว่าศาลตัดสินไปในทางที่ขัดต่อมติมหาชน (Anti-Majoritarian Decision) คล้ายกับว่า "เมื่อเสียงส่วนมากใช้ไปในทางที่ผิด ศาลซึ่งแม้เป็นเสียงข้างน้อยที่แสนจะน้อยก็มีหน้าที่ชี้ถูกชี้ผิดให้เสียง ข้างมากรับรู้ไว้” {3}
 
ข้อนี้ก็เป็นความเข้าใจผิด ความจริงก็คือประชามติของชาวมลรัฐหนึ่งจะไปขัดกับรัฐธรรมนูญของทั้งประเทศ (ซึ่งมาจากฉันทามติของคนทั้งประเทศ) ย่อมไม่ได้อยู่แล้ว ประชามติของคนกลุ่มย่อยเช่นนี้ย่อมไม่มีผล เช่น ชาวฮาวายจะลงประชามติแยกออกจากสหรัฐอเมริกาคงไม่ได้  หรือกรณีมติของคณะโจรว่าจะไปปล้นบ้านไหน ชุมชนไหน ย่อมใช้ไม่ได้เพราะโจรไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในสังคม
 
อย่างไรก็ตาม หากมีการลงประชามติกันทั่วประเทศห้ามการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน สหรัฐอเมริกาก็ต้องแก้กฎหมายตามเสียงส่วนใหญ่  ผู้พิพากษาก็คงไม่อยู่ในวิสัยที่จะออกมาพูดเป็นอื่นในที่สาธารณะหรือมา ตัดสินเป็นอื่นได้  ดังนั้นมันจึงเป็นคนละเรื่องกัน จะกล่าวว่าศาล (ผู้พิพากษาไม่กี่คน) ซึ่งแม้เป็นเสียงข้างน้อยก็มีหน้าที่ชี้ถูกชี้ผิดให้เสียงข้างมากไม่ได้
 
เสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้องนั้นเป็นสัจธรรม (แต่กฎทุกกฎก็มีข้อยกเว้น ในกรณีศิลปวิทยาการ เช่นจะสร้างจรวดไปดวงจันทร์ ก็ต้องถามผู้รู้ เป็นต้น)  ทั้งนี้ยกเว้นกรณีถูกโฆษณาชวนเชื่อ หรืองมงายเอง ซึ่งไม่ใช่พบเห็นแต่ในหมู่ปุถุชน แม้แต่อาจารย์ระดับดอกเตอร์ชื่อดังยังหลงคารมเปรตกู้มาแล้ว หรือกรณีพวกคุณหญิงคุณนาย นายทหารใหญ่ ๆ ก็ไปหลงเคารพอลัชชี เป็นต้น
 
ยิ่งกว่านั้นนายวสันต์ยังกล่าวว่า "เยอรมันจึงมีศาลรัฐธรรมนูญและมีอำนาจมาก และมีบทบัญญัติพิทักษ์รัฐธรรมนูญสำหรับประชาชน"  การที่ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีมีเกียรติภูมิสูงนั้นเป็นเพราะสภาเป็นผู้เลือก ตั้งผู้พิพากษาที่สมัครเข้ามาตามคุณสมบัติที่กำหนด {4}  แต่ กรณีศาลรัฐธรรมนูญของไทย กลับแตกต่างกัน โดยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 204 ระบุที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกา 3 คน  ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด 2 คน โดยทั้งสองกลุ่มนี้ได้รับเลือกโดยวิธีลงคะแนนลับ ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องอื่นอีก 2 คน {5}
 
อีกประเด็นหนึ่งที่พึงวิพากษ์การแสดงปาฐกถาของนายวสันต์ก็คือ ความไม่สมควรในวิจารณ์หรือเหน็บแนมการเมืองในฐานะที่เป็นตุลาการ  ทั้งนี้ตามประกาศศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องจริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่าตุลาการต้อง "ระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นต่อสื่อมวลชนหรือสาธารณชนในเรื่องที่เกี่ยว กับประเด็นปัญหาที่เสนอหรืออาจจะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย" {6}
 
นอกจากนั้นในประมวลจริยธรรมขาราชการตุลาการยังระบุว่า "ผู้พิพากษาไม่พึงแสดงปาฐกถา บรรยาย สอน หรือเข้าร่วมสัมมนา อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต่อสาธารณชน ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา" {7}  ดังนั้นการแสดงปาฐกถาครั้งนี้ซึ่งพาดพิงถึงบุคคลและพรรคการเมืองต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงไม่ควรทำ เว้นแต่จะลาออกจากสถานะตุลาการ
 
หากผู้เป็นตุลาการออกมาพูดการเมือง จะถูกติเตียนว่าเอนเอียงได้  ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน โดยผลจากการสำรวจเมื่อปี 2554 {4} พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ (57%) ไม่เชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ (ร้อยละ 37.62 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ส่วนร้อยละ 19.31 ไม่เชื่อมั่น) และมีส่วนน้อยที่เชื่อมั่น  เหตุผลที่ไม่เชื่อมั่นก็เพราะ “เพราะการตัดสินคดีที่ผ่านมา มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางคดีมองว่าเป็นการตัดสินแบบ 2 มาตรฐาน” {8}
 
ผู้เขียนเป็นห่วงใยต่อความมั่นคงของสถาบันตุลาการจึงแสดงความเห็นข้างต้นมาด้วยความเคารพและด้วยความบริสุทธิ์ใจ
 
 
อ้างอิง
 
{1} ข่าว "ปธ.ศาลรธน. ชี้ เสียงข้างมากหากยึดติดอำนาจ ประเทศจะหายนะ" ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 5 เมษายน 2556 ณ www.thairath.co.th/content/pol/337042
 
{2} การเลือกตั้งในเยอรมนี German federal election, March 1933. http://en.wikipedia.org/wiki/German_federal_election,_March_1933
 
{3} กิตติศักดิ์ ปรกติ. สิ่งที่คล้ายกันพึงได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน แต่ไม่พึงปฏิบัติอย่างเดียวกันกับสิ่งที่ต่างกัน ปรกติ 28 กันยายน 2554 www.manager.co.th/daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000123483
 
{4} ที่มาของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนี www.mpil.de/shared/data/pdf/constguarantjudindep_germany.pdf หน้า 276 และจากเว็บไซต์ของศาลดังกล่าว ณ www.bundesverfassungsgericht.de/en/organization/organization.html
 
{5} ที่มาของศาลรัฐธรรมนูญ www.constitutionalcourt.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=151&Itemid=82&lang=thindex.php
 
{6} ประกาศศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง จริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (พ.ศ.2548) http://www.constitutionalcourt.or.th/index.php?option=com_docman&task=cat_view&gid=175&Itemid=101&lang=th และ พ.ศ.2555 ณ www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2555/A/106/40.PDF
 
{7} ประมวลจริยธรรมขาราชการตุลาการ http://elib.coj.go.th/Article/copy%20of%20judge.pdf
 
{8} ดุสิตโพลคนกรุง 37.62% ไม่เชื่อศาล รธน.-“วสันต์” แนะตั้ง ส.ส.ร.แก้ รธน. ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2554 18:51 น. www.manager.co.th/Politics/Viewnews.aspx?NewsID=9540000103816

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น