เมื่อพูดถึงสถาบันศาลในสังคมไทยปัจจุบัน
ก็ต้องเข้าใจว่าผู้เขียนไม่ได้หมายถึงเฉพาะสถาบันศาลหรือตุลาการที่เคยถือ
ว่าเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยสูงสุดของสังคมไทย
ที่มีประธานศาลฎีกาซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีและประธานรัฐสภาเป็น
ประมุขสูงสุด นับตั้งแต่มีการใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นต้นมา
จนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
สถาบันศาลใหม่ๆหลายศาลได้เกิดขึ้นในฐานะเป็นองค์กรอิสระเช่น ศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลปกครอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองฯ
ศาลเหล่านี้ดูเหมือนไม่ได้มีความผูกพันกับสถาบันตุลาการเดิมในเชิงอำนาจ
แต่อาจกลายเป็นอำนาจอธิปไตยใหม่ที่อาจมีอำนาจเหนือกว่าอำนาจอธิปไตยเก่า
อย่างรัฐบาลหรือรัฐสภาด้วยซ้ำไป
ดังนั้นเมื่อพูดถึงสถาบันศาลในบทความนี้ผู้เขียนก็จะหมายรวมศาลเหล่านี้เข้า
ไปด้วยกัน
ที่ผ่านมาถ้ามองตามกรอบแนวคิดเรื่องประชาธิปไตย
กล่าวได้ว่าสถาบันศาลหรือตุลาการนั้นเป็นระบบที่สอดคล้องกับระบอบ
ประชาธิปไตยน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร
เพราะสถาบันศาลนั้นยังเป็นเรื่องของข้าราชการโดยสมบูรณ์
ไม่โยงยึดกับประชาชน ประชาชนไม่มีโอกาสเลือกหรือบอกว่าผู้พิพากษาคนใด
ที่ประชาชนต้องการหรือไม่ต้องการให้ทำหน้าที่ ถ้าคำว่า
“ระบอบอำมาตยาธิปไตย”ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันตรงกับที่ฝรั่งเรียกว่า
Bureaucratic polity ซึ่งหมายถึง
ระบบการเมืองที่ข้าราชการเป็นใหญ่เหนือกว่าฝ่ายอื่นๆ
กล่าวได้ว่าสถาบันศาลนั้นมีความสอดคล้องกับคำว่าระบอบอำมาตยาธิปไตย
มากกว่าระบอบประชาธิปไตย
ดีไม่ดีจะไปสอดคล้องกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชด้วยซ้ำไป
เพราะคนในระบบตุลาการมักกล่าวเสมอว่าศาลได้รับมอบพระราชอำนาจมาจากพระมหา
กษัตริย์โดยตรง
ทำให้ประชาชนไม่สามารถโต้เถียงหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลได้
ใครบังอาจกระทำก็อาจถูกข้อหาหมิ่นศาล ถูกศาลจำคุกได้
ไม่เหมือนฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งมีที่มาที่ไปหรือความสัมพันธ์กับ
สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้แตกต่างกับศาล
แต่ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตาม
แม้จะมีความสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยน้อยที่สุด
แต่สถาบันศาลกลับได้รับความเชื่อถือจากประชาชนเป็นอย่างมาก
จนเกิดเป็นคำพูดว่า “ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน คือ ศาลยุติธรรม”
ซึ่งหมายความว่าเมื่อเกิดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ประชาชนทุกคนจะรับฟังศาล
ศาลตัดสินอย่างไรทุกฝ่ายก็พร้อมใจกันยอมรับตามคำตัดสินนั้น
ไม่มีการโต้เถียงกันอีกต่อไป
การยอมรับอำนาจของสถาบันตุลาการหรือศาลโดยดุษฎีของประชาชน
แน่นอนส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อว่าศาลเป็นเสมือนตัวแทนขององค์พระมหากษัตริย์
แต่เหตุผลในการยอมรับอีกส่วนหนึ่งก็มาจากความจริงที่ว่าคนในกระบวนการ
ยุติธรรม โดยเฉพาะผู้พิพากษาทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก
ล้วนวางตัววางบทบาทของตนได้อย่างเหมาะสมดี
ท่านมักจะวางตนเองให้อยู่เหนือความขัดแย้งในสังคม
มีความเป็นกลางทางการเมือง ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง
พยายามเก็บตัวเงียบๆ
ไม่ค่อยไปปรากฏตัวแสดงความคิดเห็นใดๆในที่สาธารณะหรือสื่อสารมวลชน
เมื่อทำหน้าที่ตัดสินคดีความก็จำกัดบทบาทของตนเองให้อยู่ในประเด็นของกฎหมาย
อย่างแท้จริง ตัดสินคดีโดยอิงกับตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ไม่มีการตีความกฎหมายตามอำเภอใจหรือใส่ดุลยพินิจจนเกินเลย
ประกอบกับความขัดแย้งหรือคดีความส่วนมาก
ก็มักเกิดจากความเข้าใจข้อกฎหมายไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
ผู้พิพากษาจึงสามารถอธิบายให้คู่ความเข้าใจกฎหมายและตัดสินคดีความให้เกิด
ความยุติธรรมสอดคล้องกับหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติเป็นอย่างดี
การยอมรับต่อสถาบันศาลของประชาชนจึงมีค่อนข้างสูงตลอดมา
นั่นเป็นภาพในอดีต วันนี้ภาพลักษณ์ของสถาบันศาลในสายตาประชาชน
ไม่ได้สวยงามอย่างนี้ สาเหตุส่วนหนึ่งนั้นมาจากด้านประชาชน
ประชาชนในวันนี้มีความคิด มุมมองหรือกระบวนทัศน์(paradigm)
ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไปมาก สิ่งที่เคยยอมรับ
เคยปฏิบัติตามโดยปราศจากความสงสัยในอดีต ถูกตั้งคำถาม
และคนของรัฐที่เกี่ยวข้องก็มักจะตอบให้สมเหตุสมผลไม่ค่อยได้ เช่น
เขาถามว่าทำไมประชาชนจะวิจารณ์ศาลไม่ได้
ในเมื่อรัฐธรรมนูญบอกว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยซึ่งรวมถึงอำนาจศาล
ด้วย แต่อีกส่วนหนึ่งก็เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสถาบันศาลนั่นเอง
ตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา
บุคลากรในวงการศาลส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนบทบาทตัวเองไปจากเดิม
สถาบันตุลาการได้ถูกดึงให้เข้ามามีบทบาทในทางการเมือง
ในลักษณะการใช้อำนาจศาลเข้ามาแก้ไขปัญหาการเมือง
หรือพูดง่ายๆสถาบันศาลถูกดึงเข้ามาเป็นผู้ชี้ขาดว่าพรรคการเมืองใด
นักการเมืองคนใดควรได้หรือควรหมดอำนาจทางการเมือง
ช่วงหลังการรัฐประหารเราได้เห็นบุคลากรระดับสูงของศาลไปร่วมเป็นรัฐบาลที่มา
จากการรัฐประหาร
ร่วมเป็นองค์กรอิสระเพื่อตรวจสอบนักการเมืองที่ถูกรัฐประหาร
เห็นบุคลากรของศาลหลายต่อหลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองที่ถูกรัฐ
ประหารผ่านสื่อสาธารณะ พูดได้ว่าหลังการรัฐประหาร 2549
บุคลากรในสถาบันศาลส่วนหนึ่ง
ซึ่งเคยวางตนอยู่ห่างจากความขัดแย้งทางการเมืองทั้งปวง
ได้พลอยเข้ามามีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองกับเขาด้วย
เมื่อย่างก้าวเข้ามาสู่เวทีแห่งความขัดแย้ง
แน่นอนบุคลากรในวงการศาลหลายคน ก็หลีกหนีความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาไม่ได้
ยิ่งความขัดแย้งมีลักษณะเป็นการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
ระหว่างฝ่ายอนุรักษ์ดั้งเดิมที่มักอาศัยความได้เปรียบที่เคยมี
สถาปนาตนเองเป็นฝ่ายคนดีฝ่ายธรรม
กับฝ่ายตรงข้ามที่มักถูกตราหน้าว่าเป็นฝ่ายอธรรมคนชั่ว
ทำให้บุคลากรของศาลหลายคนหลงลืมจุดยืนดั้งเดิมที่เคยยึดถือมาช้านาน
ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาการเข้ามาสู่ความขัดแย้งทำให้บุคลากรในสถาบันศาล
หลายคน ต้องเลือกข้างเลือกฝ่ายทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อเกิดการเลือกฝ่าย ก็ย่อมไปมีผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของสถาบันศาล
การตัดสินคดีความที่เคยจำกัดอยู่ในประเด็นของกฎหมายหรืออิงกับตัวบทกฎหมาย
อย่างเคร่งครัดก็เริ่มน้อยลง มีการใส่ดุลยพินิจใส่ความรู้สึกเข้าไปมากขึ้น
สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมในเรื่องนี้
ก็คือการพิจารณาคดีเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังการรัฐประหาร
ศาลได้ละทิ้งหลักการพื้นฐานสำคัญของกฎหมายซึ่งเป็นหลักความยุติธรรมตาม
ธรรมชาติไปค่อนข้างมาก เช่น หลักความเป็นกลางในคดีของผู้พิพากษา
ประชาชนได้เห็นว่ามีบุคคลที่เคยเป็นผู้ร่วมก่อการรัฐประหารหรือมีความขัด
แย้งโดยตรงกับผู้ถูกรัฐประหาร
มานั่งเป็นผู้ทำคดีฟ้องร้องหรือเข้าไปเป็นผู้ตัดสินคดีความขัดแย้งที่ตนมี
ส่วนร่วมอย่างภาคภูมิใจ
หรือหลักการผู้ถูกกล่าวหายังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบเท่าที่ยังไม่มีคำ
พิพากษาว่ากระทำผิด
มีคดีที่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองหลายคดีที่ศาลไม่อนุญาตให้ผู้ต้อง
หาได้รับการประกันตัวในระหว่างรอพิจารณาคดีโดยไม่ได้มีเหตุผลที่ชัดเจน
อีกทั้งไม่ได้มีการเร่งรัดการพิจารณาคดีแต่อย่างใด
ปล่อยให้ผู้ถูกกล่าวหาถูกคุมขังเป็นเวลายาวนานเหมือนจงใจลงโทษทางอ้อม
หรือแม้แต่หลักการยกประโยชน์ให้จำเลย
หากไม่สามารถพิสูจน์ด้วยหลักฐานได้อย่างชัดเจนว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง
ศาลก็ต้องปล่อยตัวจำเลยไป แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าในคดีความบางประเภท
แม้ศาลจะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
แต่ศาลกลับเห็นว่าสมควรให้ถือว่าจำเลยกระทำผิดไว้ก่อน เป็นต้น
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประชาชนสามารถมองเห็นได้ และ
เริ่มรู้สึกว่าการตัดสินคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง
ของศาล มีความยุติธรรมน้อยลง
จนมีคำพูดว่าการดำเนินหรือการตัดสินคดีของศาลมีสองมาตรฐานออกมาเสมอ
ไม่มีความคงเส้นคงวาเหมือนสถาบันศาลในอดีต
ศาลไม่สามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ว่าทำไมจึงตัดสินคดีความที่คล้ายคลึง
กันหรือเหมือนกันแต่เกิดขึ้นกับคู่กรณีต่างฝ่ายกัน
ให้มีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้กัน หรือทำไมข้อกฎหมายเขียนไว้อย่างนี้
จึงตัดสินไปเช่นนั้นได้
บางครั้งศาลกลับอธิบายในลักษณะเหมือนใช้สีข้างเข้าถู เช่น
บอกว่าตีความตามพจนานุกรม ตีความกฎหมายตามภาษาอังกฤษ
หรือตามวัตถุประสงค์ในการร่างรัฐธรรมนูญบ้าง
ดังนั้นวันนี้ในสายตาของประชาชนส่วนใหญ่จึงมองว่าสถาบันศาลหรือตุลาการใน
ภาพรวมมีความเสื่อมถอยลงหรือเสื่อมถอยไปจากเดิมหรือบางคนอาจจะมองไปถึงขั้น
ว่าสถาบันศาลวันนี้ไม่มีความยุติธรรม ตัดสินเป็นสองมาตรฐาน
แน่นอนบุคลากรของศาลก็ย่อมโต้แย้งได้ว่าเรื่องนี้ไม่จริง
ศาลตัดสินคดีความอย่างยุติธรรมเสมอมา
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของศาลไม่เกี่ยวกับประชาชน
เพราะการที่ประชาชนมีความรู้สึกว่าสถาบันศาลไม่น่าเชื่อถือ ขาดความยุติธรรม
เลือกข้างเลือกฝ่าย นั้นเป็นเรื่องของการรับรู้ (perception) ของประชาชน
ไม่เกี่ยวกับเรื่องว่าศาลจะเลือกข้างจริงหรือไม่จริง
แต่ประชาชนเขามีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น เป็นเรื่องที่ห้ามปรามกันไม่ได้
จะใช้อำนาจศาลไปลงโทษ ไปจำคุก
ก็คงไปบังคับให้คนเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของคนหรือกลุ่มคนได้ยากมาก
วันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่ามีประชาชนจำนวนหนึ่ง
ซึ่งอาจเป็นจำนวนมากด้วย
เขามีความรู้สึกนึกคิดต่อสถาบันตุลาการไปในทำนองเช่นนั้น
ปัญหาการรับรู้ของคนที่ก่อให้เกิดผลเชิงลบกับบุคคล องค์กรหรือสถาบัน
เป็นเรื่องที่แก้ไขยาก
เรื่องนี้ถ้าปัญหาเป็นเพียงสถาบันศาลหลงลืมตัวไปชั่วขณะ
จนทำให้ไปตัดสินคดีความไม่ยุติธรรม กลายเป็นสองมาตรฐานจริง
ก็จะแก้ไขปัญหาได้ไม่ยาก แค่เพียงให้บุคลากรในสถาบันศาลมีสติกลับคืนมา
อย่าไปร่วมวงในความขัดแย้ง ระมัดระวังในการตัดสินคดีความ
ให้ยึดกฎหมายเป็นหลักอย่างเคร่งครัดเหมือนในอดีตที่ผ่านมาปัญหาก็จะหมดสิ้น
ไปได้ทันที
แต่กรณีที่ประชาชนเกิดความรู้สึกหรือมีการรับรู้ว่าศาลไม่ยุติธรรม
แม้สถาบันศาลจะไปปรับปรุงกระบวนการพิจารณาคดีให้ดีเพียงใดก็คงไม่สามารถแก้
ปัญหานี้ได้
ปัญหาการรับรู้ในลักษณะนี้เท่ากับประชาชนมองว่าระบบตุลาการที่มีอยู่ใน
ปัจจุบัน ขาดความน่าเชื่อถือไปแล้ว การจะแก้ไขปัญหานี้ได้
อาจถึงขั้นต้องมีการปรับโครงสร้างและกระบวนการด้านตุลาการกันใหม่
หรือพูดกันแบบตรงไปตรงมาอาจถึงขั้นต้องรื้อระบบตุลาการกันใหม่ทั้งระบบ
ให้มีความแตกต่างไปจากปัจจุบันเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในหมู่ประชาชน
สถาบันด้านตุลาการปัจจุบันยังเป็นลักษณะระบบปิด
เป็นระบบที่ประชาชนไม่มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดๆ
อาจถึงเวลาที่เราต้องคิดกันว่าระบบตุลาการควรเป็นอย่างไรจึงจะสามารถเชื่อม
โยงกับอำนาจของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่าย
บริหาร ระบบควรเป็นอย่างไร ที่จะไม่ทำให้อำนาจของผู้พิพากษาเพียงคนสองคน
หรือเพียงไม่กี่คนมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายคนอื่นมากเกินไป
ไม่เช่นนั้นเราก็จะได้ยินคำโจษจันเรื่อง “ศาลไทยกับสองมาตรฐาน”ไปอีกนาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น