ที่มา Thai Free News
แต่มากด้วยความคม มากด้วยเขี้ยวเล็บ
ยังความปวดเจ็บไป 2 รายทางแปลกที่
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เงียบแปลกที่
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
เงียบทั้งๆ ที่ท่านแรกเป็นคนลงมือกระทำการ
เมื่อเดือนกันยายน 2549 ทั้งๆ ที่ท่าน
หลังเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ
เดือนตุลาคม 2549คนที่เอะอะกลับเป็นคนที่
ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคม 2551
ปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กวาดรวมเอาบรรดาลูกมือ
หรือผู้ที่เสพเสวยประโยชน์จากการรัฐประหารมาอยู่ในมุมเดียวกัน
และล้วนแสดงความเจ็บปวดออกมาเป็นความเจ็บปวดเหมือนแผล
ในเนื้อตัวถูกราดด้วยน้ำกรด และเปล่งอุทานด้วยผรุส-วาทะ
อันใกล้เคียงยิ่งกับอารมณ์ ความรู้สึกบางคนถึง
กับหลุดคำอันไม่ควรหลุดทั้งๆ ที่สำแดงตนเป็นดั่ง
"ผู้ดี"ในฐานะนักเรียนรัฐศาสตร์
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แสดงออกอย่างเด่นชัดว่า
มีความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า
อำนาจรัฐ และกลไกอำนาจรัฐ เป็นอย่างดี
จึงได้กล่าวถึงกระบวนการ
"รัฐประหาร" อย่างแทงทะลุจึงได้ยืนยันว่า
แม้รัฐบาลจะได้อำนาจมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ตามกระบวนการประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตย
ก็ยังไม่บังเกิดในทางเป็นจริงรัฐบาล
ที่ชนะเลือกตั้งถึง 2 ครั้งจึงถูก "รัฐประหาร"
ขณะเดียวกัน รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อันมาจากฉันทานุมัติของประชาชนในการเลือกตั้ง
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554
จึงอยู่ในสภาพ "ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก"จะเสนอร่าง พ.ร.บ.
ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ก็ถูก "ต้าน"ไปติดแหง็กอยู่ใน "องค์กรอิสระ"
จะเสนอร่าง พ.ร.บ.รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ไม่ว่ายกร่างทั้งฉบับ
ไม่ว่าแก้ไขเป็นรายมาตราก็ถูก
"ต้าน" และไปติดแหง็กอยู่ใน
"องค์กรอิสระ"
เพราะมีบางกลไกอำนาจรัฐที่ทรงอำนาจเหนือกว่า "รัฐธรรมนูญ"
เท่ากับชี้ชัดว่ากระบวนการ "รัฐประหาร" ยังดำรงอยู่
ประชาธิปไตยจึงไม่มีหลักประกันปาฐกถาพิเศษ
ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จึงเหมือนกับ "น้ำกรด" และ "แสง" อันสาดฉายสาดฉาย
เห็นด้านอัปลักษณ์อันดำรงอยู่ และราดรดลงไปบนแผลเน่าเปื่อย
ของสิ่งปฏิกูลที่ไม่ต้องการให้มีการพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตย
ของประชาชนอย่างแท้จริงบางส่วนจึงรับไม่ได้และคร่ำครวญอย่างปวดเจ็บ
http://www.tfn5.info/board/index.php?topic=46093.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น