Asean Review ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2556
- ลาวเดินหน้าทำ single-visa ร่วมกับไทยและกัมพูชา
- WHO เผยกัมพูชาจะกลายเป็นประเทศปลอดเอดส์ในอนาคต
- "ซูจี" ยืนยันรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันต้องแก้
ลาวเดินหน้าทำ single-visa ร่วมกับไทยและกัมพูชา
ทางการลาวออกมายืนยันว่า
การประสานความร่วมมือกับรัฐบาลไทย และกัมพูชา เพื่อดำเนินการเรื่อง
single-visa ไม่ได้ทำให้รัฐบาลลาว
สูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าจากชาวต่างชาติ
เหมือนที่หลายฝ่ายเข้าใจแต่อย่างใด แต่ในทางตรงกันข้าม
กลับช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
ที่จะเดินทางมายังลาวมากขึ้น เพราะพวกเขาสามารถขอวีซ่าที่ประเทศไทย
หรือกัมพูชาได้ ก่อนที่จะเดินทางมายังลาว ซึ่งเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงลาว
ทางการลาวก็จะเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าที่จุดตรวจคนเข้าเมือง
ส่วนทางการไทยหรือกัมพูชา ที่เป็นผู้ออกวีซ่าที่ต้นทางนั้น
ก็จะเก็บเพียงค่าธรรมเนียมในการให้บริการเท่านั้น
การออกวีซ่าในลักษณะดังกล่าว
เกิดขึ้นหลังจากที่ไทยและกัมพูชาได้ทำข้อตกลงร่วมกัน
และอนุญาตให้นักท่องเที่ยวขอวีซ่าแบบ single-visa ได้
ไม่ว่าจะเดินทางไปเที่ยวที่ไทยหรือกัมพูชาก็ตามเมื่อปีที่ผ่านมา
ถือเป็นการนำร่องประเทศสมาชิกอาเซียนประเทศอื่นๆ เนื่องจากการออกวีซ่าแบบ
single-visa นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางปฏิบัติ
ที่กลุ่มอาเซียนต้องมีร่วมกันในการรวมกลุ่มเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี
2558 นี้
WHO เผยกัมพูชาจะกลายเป็นประเทศปลอดเอดส์ในอนาคต
องค์การอนามัยโลกหรือ WHO เปิดเผยว่า
กัมพูชาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก
ที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ พร้อมคาดการณ์ว่า
ภายในปี 2563 กัมพูชาจะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลงได้
โดยจะเห็นได้จากอัตราการติดเชื้อ HIV ของชาวกัมพูชาลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งในปี 2541 จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV ของชาวกัมพูชาอายุระหว่าง 15-49 ปี
อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ขณะที่ในปี 2555 ที่ผ่านมา
จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงเหลือเพียงร้อยละ 0.7 เท่านั้น ดังนั้น
จึงมีความเป็นไปได้ว่า ชาวกัมพูชาในรุ่นถัดไป
จะเติบโตมาในสังคมที่ปลอดจากโรคเอดส์
ปัจจุบัน มีชาวกัมพูชา 75,000 คน
ที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ โดยในปี 2554 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ราว 1,000 คน
แตกต่างจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 15,500 คน
ซึ่งการลดลงของผู้ติดเชื้อดังกล่าวเป็นผลมาจาก
ความพยายามของรัฐบาลในการรณรงค์ป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการพัฒนาคุณภาพในการเข้าถึงยาต้านเชื้อไวรัส HIV
ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ
"ซูจี" ยืนยันรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันต้องแก้
นางอองซาน ซูจี
ผู้นำพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในเมียนมาร์
ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า
รัฐธรรมนูญของเมียนมาร์เป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ไขยากที่สุดฉบับหนึ่งของโลก
แต่อย่างไรก็ตาม
เธอมีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ให้ได้
โดยเน้น 3 ปัจจัยหลัก นั่นก็คือ
การเปลี่ยนแปลงบทบาททางการเมืองของกองทัพเมียนมาร์
การเพิ่มความแข็งแกร่งของระบอบสหพันธรัฐ และ การปฏิรูประบบตุลาการ
แต่นางซูจีไม่ได้กล่าวถึงการแก้ไขมาตราที่ห้ามมิให้ชาวเมียนมาร์
ที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ เข้ามาลงสมัครรับตำแหน่งประธานาธิบดี
และรองประธานาธิบดีเมียนมาร์แต่อย่างใด โดยระบุแต่เพียงว่า
เธอไม่ต้องการคาดการณ์ในเรื่องของอนาคต
และยังไม่พร้อมที่จะพูดเรื่องนี้ในตอนนี้
ทั้งนี้
การแก้ไขรัฐธรรมนูญของเมียนมาร์นั้น
ต้องอาศัยคะแนนเสียงรับรองของส.ส.ในสภามากกว่าร้อยละ 50 ซึ่งปัจจุบัน
เสียงส่วนใหญ่ในสภาเป็นของพรรค USDP พรรคต้นสังกัดของพลเอกเต็ง เส่ง
ประธานาธิบดีเมียนมาร์
และยังเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยอดีตรัฐบาลเผด็จการทหารอีกด้วย
by
Sutthiporn
13 พฤษภาคม 2556 เวลา 11:38 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น