รายงานโดย ระยิบ เผ่ามโน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มีนาคม ศกนี้ รศ. ดร. ปวิน
ชัชวาลพงศ์พันธ์ เดินทางไปบรรยายให้กลุ่มคนไทยที่เรียกตนเองว่า ‘เร็ด ยูเอสเอ’ ในนครลอส แองเจลีสฟังในหัวข้อ ‘สถาบันกษัตริย์กับการเมืองไทย’ หลังจากที่ได้ไปพบปะ
และเป็นผู้ดำเนินการสัมมนาย่อยกับนักวิชาการของสมาคมเอเซียศึกษา (Association
for Asia Studies) ที่นครซานดิเอโก้ เรื่อง ‘The Monarchy in
Post Bhumibol Thailand’ ซึ่ง ดร.ปวินบอกว่า
“การประชุมของ เอเอเอส เป็นการประชุมเอเซียศึกษาทางด้านวิชาการที่ใหญ่ที่สุดในโลก
คือสำคัญที่สุด และมีการมารวมตัวกันของนักวิชาการที่มีชื่อเสียงทั่วโลก
รวมถึงนักวิชาการไทยด้วย เพราะว่าเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทยเป็นเรื่อง Asian
studies ..สมาคมมีสมาชิกประมาณ ๘ พันถึง ๑ หมื่นคน ไม่ใช่องค์กรเล็ก
และก็มีการประชุมทุกๆ ปี ไม่ใช่มีแค่ครั้งเดียว ปีที่แล้วจัดที่โทรอนโต
ปีก่อนหน้านั้นจัดที่ฮาวาย..ปีนี้จัดที่ซานดิเอโก้ ปีหน้าจัดฟิลาเดลเฟีย
ปีต่อไปจัดที่ชิคาโก เวียนกันไป..ก็จะมีคนมาร่วมงานเยอะมาก อย่างอาทิตย์ที่แล้วนี่
๓ พันคน
แล้วก็มีการพรีเซ้นต์เพเปอร์ (เสนอรายงาน) เป็นร้อยๆ
จัดในเวลาเดียวกันหลายงาน..แล้วแต่เราจะไปเลือกฟังอะไร
ผมเองมีความสนใจเรื่องสถาบันกษัตริย์กับการเมืองไทย ผมก็จัดเป็น Roundtable ขึ้นมาเป็นสัมมนาโต๊ะกลม
ของผมเท่ากับว่าเป็นหนึ่งในงานสัมมนาที่มันมีอยู่เยอะแยะ..เพียงแต่ว่าหัวข้อมันอาจจะมีความละเอียดอ่อน ทางฝ่ายกรุงเทพฯ จึงจับตามองเป็นพิเศษ..
นี่คือต้นสายของปัญหาที่ ดร.ปวินเลยต้องเกริ่นก่อนการปาฐกถาว่า
“การ พูดในวันนี้เป็นการพูดทางวิชาการ..ผมไม่มีเป้าหมายอย่างอื่นนอกจากจะมา..ไม่ อยากพูดว่าให้ความรู้ด้วยซ้ำ..เอาเป็นว่าผมมาแชร์ข้อมูลในส่วนที่ผมมีก็แล้ว กัน ในมุมมองของนักวิชาการ และก็ผมไม่ได้เป็นนักการเมือง ไม่ได้ฝักใฝ่พรรคการเมืองใดเป็นพิเศษ และก็ทำงานทางด้านวิชาการจริงๆ”
ปัญหาดังกล่าวก็คือ “มีความพยายามของกลุ่มที่ส่งเสริมกลุ่มอำนาจเก่าในเมืองไทย
นำโดยคุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ ตำแหน่งเป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
ช่วงอาทิตย์ที่แล้วเขาเขียนบทความออกมา ภาษาไทย เขียนอยู่ ๓
ประเด็น..แต่ข่าวที่เอามาเขียนมันไม่ได้กรอง ไม่พอ มันเป็นข่าวที่ make
up ชุ่ย มันมี hidden agenda เห็นแล้วรู้สึกเศร้าใจกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วก็ยังแต่งเรื่องขึ้นมา...
ภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ |
เขาบอกว่าขณะนี้ที่สหรัฐอเมริกามีขบวนการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์จริงๆ
ข้อกล่าวหานี้มีมานานพอสมควร แต่คุณภุมรัตน์เอามา reinvent
ใหม่..มาเขียนใหม่ว่ามันมีขบวนการนี้จริงๆ
และก็มีกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ทำงานร่วมกับนักการเมืองของสหรัฐอเมริกา
ในการที่จะโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์
นี่เป็นพ้อยต์แรก
พ้อยต์
ที่สองบอกว่าในช่วงกลางปี ๒๕๕๖
กลุ่มล็อบบี้ยิสต์กลุ่มนี้ที่เขาพูดถึงพยายามที่จะผลักดันให้สมาคมเอเซีย
ศึกษา..ให้จัดการประชุม
ซึ่งอันนี้ข้อมูลมันผิด มันไม่ได้จัดกลางปี มันเพิ่งจัดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
และผมเพิ่งไปมา..ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ (เขาบอก)
ว่าองค์กรนั้นมีคนไทยคนหนึ่งที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง
ผมคาดว่าเขาหมายถึงอาจารย์ท่านหนึ่ง..ซึ่งได้รับตำแหน่งประธานของสมาคมเอเอ
เอสปีนี้..เป็นคนไทยคนแรกที่ขึ้นรับตำแหน่งสำคัญอันนี้
สองเรื่องที่มันเป็นเรื่องกวนใจผม
เรื่องทางวิชาการต้องตกมาเป็นประเด็นทางด้านการเมือง
มันสะท้อนว่าคนที่อยู่ฝ่ายเจ้าเก่งนักเรื่องตอแหล เกี่ยวกับการทำข้อมูลปลอมขึ้นมา
แล้วมันน่ากลัวตรงที่ในที่สุดแล้วข้อมูลปลอมกลายเป็นข้อมูลจริง
เรื่องที่แต่งขึ้นมาพูดกันมากๆ มันกลายเป็นเรื่องจริง เรื่องที่ใส่ร้ายป้ายสี
ทำไฟล์ขึ้นมา เขาหมายหัวใครเขาก็ทำไฟล์ขึ้นมา เอาเรื่องแต่งใส่เข้าไปในไฟล์
ถึงเวลาจะดำเนินคดีก็เอาไฟล์มาเปิดว่าคุณเคยทำเรื่องนี้ เรื่องนี้ มัน fake ทั้งหมด
แต่เราอยู่ในสังคมที่มันไม่ปกติ
สังคมที่มันพิกลพิการอย่างสังคมเมืองไทย เราคงได้แต่บ่น คงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้
แต่ว่าในส่วนของนักวิชาการอย่างพวกผม เราก็ยังถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม
ที่เราต้องทำเรื่องนี้ต่อไป
อีกเรื่องหนึ่งก็มีข่าวด้วยว่า ผมกลายเป็นคนดังไปแล้ว
ดังในทางลบ เป็นดาราในทางลบ เป็นดาวยั่ว ผมกลายเป็นดาวยั่วไปแล้ว
เพราะว่ายั่วโทสะของหลายๆ คนเลยกลายเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษ
และก็มีข่าวว่าเขาจะส่งคนจากสถานกงสุลที่ลอส แองเจลีสมา เขาก็ส่งไปจริงๆ
ส่งไปที่ซานดิเอโก้ เห็นมีหน้าแปลกๆ ถ่ายรูปเราไปบ้าง อัพเสียงไปบ้าง..”
อาคันตุกะมาขอแอบอัพเสียง 'อินแอลเอ' |
เมื่อเข้าสู่การบรรยายตามหัวข้อ
ดร.ปวินเอ่ยถึงอุดมการณ์กษัตริย์นิยมชนิดสุดโต่งที่เรียกว่า Hyper-royalism
“ที่แสดงความรักเจ้ามากล้นจนเลยผ่านเหตุผล และตรรกะการพิจารณาต่างๆ” ดร.ปวินกล่าวว่าจริงๆ มีสองประเภท
แรกคือรักสถาบันล้นเอ่อโดยไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง
อีกกลุ่มที่น่ากลัวยิ่งกว่า เป็นพวกที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วยังแสดงออกอย่างไฮเปอร์
ดร.ปวินวิเคราะห์สาเหตุที่มีอาการกันอย่างนั้นเนื่องจาก “คนพวกนี้มีผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์”
เกิดอาการ desperation (ตะเกียกตะกายใกล้สิ้นหวัง) และมี
anxiety (เร่าร้อนกระวนกระวาย)
ดร.ปวินกล่าวถึงฝ่ายทหารว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของเครือข่ายสถาบันพระมหากษัตริย์
หรือ Network Monarchy ตามทฤษฎีของศาสตราจารย์
Duncan McCargo แห่งมหาวิทยาลัยลีดส์ ในสหราชอาณาจักร
(ซึ่งมิได้หมายถึงพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว แต่รวมทั้งองคาพยพต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง และมีผลประโยชน์ร่วมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ “ตั้งแต่กองทัพ
สถาบันตุลาการ บริษัทผูกขาดขนาดใหญ่ ตลอดจนองค์กร และบุคคลที่พึ่งพิง และพึ่งพาสถาบันกษัตริย์”)*
“ทหารจะอยู่รอดไม่ได้ถ้าไม่โหนสถาบันฯ ในทางตรงกันข้ามก็เช่นเดียวกัน มันเกี่ยวโยงกัน แยกไม่ออก
ทหารใช้สถาบันฯ เป็นเครื่องมืออ้างว่าปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ..ที่น่าตกใจ
สมัยก่อนเครือข่ายฯ ยังพูดคุยกัน ยังรู้ว่าจะทำอะไร สมัยนี้เนื่องจากเทคโนโลยี่
เนื่องจากมีตัวแสดงมากขึ้น เนื่องจากมีทักษิณ คิดว่าเขามีการสื่อสารต่อกันน้อยลง
ผลก็คือคนพวกนี้คิดจะทำอะไรก็ทำโดยไม่รับคำสั่งจากข้างบน
หมายความว่าคนพวกนี้เริ่มทำอย่างเป็นเอกเทศ ซึ่งบางครั้งไม่ได้รับคำสั่งจากข้างบน
ยกตัวอย่างการจับกุมตาม (มาตรา ) ๑๑๒
ปัญหา
ก็คือว่า เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด
ต้นทุนทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม (กับทักษิณ-ประชาธิปไตย)
เอาไปเทิดทูลไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเดียว..ผมอยากจะเจาะลงไปด้วย
ว่าเป็นการไปเทิดพระเกียรติไว้กับพระมหากษัตริย์องค์นี้องค์เดียว..ซึ่งเป็น
เรื่องที่น่ากลัว
ที่น่ากลัวเพราะว่า ขอใช้ภาษาอังกฤษ มันเป็นเรื่องที่ “not
universal, but exclusive” หมายความว่าเป็นการเทิดพระเกียรติที่ไปลงไว้กับพระมหากษัตริย์องค์นี้
ที่ไม่สามารถถ่ายทอดไปสู่พระมหากษัตริย์องค์หน้าได้ in other words หรือพูดอีกทางหนึ่งก็คือ
ความรัก ความภักดี ผลประโยชน์ทั้งหมดไปตกอยู่กับบุคคล ไม่ใช่สถาบัน
ซึ่งมันจะเกิดปัญหากับรัชสมัยหน้า..”
เกี่ยวกับรัชสมัยหน้า ดร.ปวินให้ข้อคิดเป็นคำถามไว้สี่ประการ
คือเรื่องแรกเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านก็ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อสถาบันฯ
ต้องเปลี่ยนแปลงแล้วจะเปลี่ยนไปในทางไหน ทางบวกที่ดีขึ้น หรือทางลบที่แย่ลง
แย่ลงนี่หมายความว่ามีการกดขี่ข่มเหงกันมากขึ้นด้วยกฏหมาย ๑๑๒
“อันที่สอง ความเกี่ยวพันทางการเมืองระหว่างสถาบันกษัตริย์
และเครือข่ายฯ มันมีอยู่อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดมา ๔๐-๕๐
ปีนี่จะส่งผลต่อรัชสมัยหน้าแน่ๆ เครือข่ายสถาบันกษัตริย์จะยังคงอยู่
แต่ไม่รู้ว่าจะมีบทบาททางด้านการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน เราอ่านวิกิลี้คส์เรารู้แล้วว่าแม้แต่สมาชิกบางคนของเครือข่ายฯ
อย่างคุณเปรมเองก็ออกมาพูดในเชิงวิพากษ์วิจารณ์รัชสมัยหน้า
แต่เป็นเพราะคุณเปรมก็เป็นคุณเปรม ก็เลยเอาตัวรอดไปได้ไม่มีใครกล้าเล่นอะไร”
ประการที่สาม
ในเรื่องการเปลี่ยนผ่านอำนาจภายในพระราชวังของสถาบันกษัตริย์ มันเป็นกระบวนการที่ยาวนานต่อเนื่อง
ขึ้นอยู่กับรัชสมัยหน้าจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร
พระมหากษัตริย์พระองค์หน้าจะทำอย่างไรในการสร้างความนิยม (ทั้งนี้
ดร.ปวินบรรยายไว้ก่อนหน้าแล้วว่าความสำเร็จของรัชกาลปัจจุบันมีมากจนเทียบเคียงกับรัชสมัยของรัชกาลที่
๕ จึงเป็นเรื่องยากที่รัชกาลหน้าจะคงไว้ “shoes have become too big”)
ประการสุดท้ายเป็นคำถามว่า
สังคมจะมีการตอบสนองต่อการจะมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่อย่างไร
บอกไม่ได้เพราะตอนนี้สังคมมันแตกเป็นเสี่ยงๆ มีทั้งแดงทั้งเหลือง
“เหลืองนี่บอกตรงๆ น่าสนใจ ผมเคยคุยกับเสื้อเหลืองหลายคน หมอคนหนึ่งขอไม่เอ่ยชื่อ
เขาบอกว่าความรัก และความจงรักภักดีของเขานี้ มีต่อพระมหากษัตริย์องค์นี้เท่านั้น”
ดร.ปวินปิดท้ายการบรรยายด้วยคำกล่าวว่า “ความไม่แน่นอนทั้งหมด
ความแตกแยกทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น จะแก้ไขได้หรือไม่
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์องค์หน้า..สิ่งแรกที่จะสามารถทำได้คือการ win hearts and minds ของประชาชน คือปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น