ที่มา go6tv
วันนี้ (30พ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นางสดศรี สัตยธรรม
กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ
กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันหลังจากที่มีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม
องค์การพิทักษ์สยามว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นักการเมืองต้องตระหนักถึงสาเหตุว่าเหตุใด
ประชาชนถึงไม่พอใจและต้องการแช่แข็งนักการเมือง
ดังนั้นตนจึงเห็นว่าปัญหาที่เกี่ยวกับการเมือง
จะต้องแก้ด้วยนักการเมืองที่จะต้องมา พูดคุยกัน
เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ปัญหาของประเทศ ส่วนกรณีที่พล.อ.บุญเลิศ
แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ได้ออกมาระบุว่า
ในการชุมนุมครั้งต่อไปอาจมีการใช้อาวุธ เพื่อให้ผู้ชุมนุมป้องกันตัวนั้น
เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำความเข้าใจกับประชาชนถึงการทำงานของรัฐบาล
เพื่อสร้างความชัดเจนในสิ่งที่กลุ่มผู้ชุมนุมอยากทราบ
เมื่อ
ถามถึงกรณีที่ พล.อ.บุญเลิศได้นำคลิปวิดีโอที่ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนพูดจา
ในลักษณะที่เข้าข่ายล่วงละเมิดสถาบันนั้น มองเรื่องนี้อย่างไร นางสดศรี
กล่าวว่า เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องดำเนินการตรวจสอบต่อไป
แต่ในส่วนของกกต. อยากให้ทุกพรรคการเมือง นักการเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้อง ตระหนักให้สถาบันอยู่เหนือการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่สุด เนื่องจากกกต. เคยเรียกประชุมพรรคการเมือง และมีการปฎิญาณตนว่าจะไม่นำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง.
แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี
บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที
พุทธวจนคืออะไร
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
'ปลอดประสพ' ย้ำ โครงการบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องจริงจัง
ที่มา Voice TV
รองนายกฯผู้รับผิดชอบโครงการบริหารจัดการน้ำ
ยืนยันการดำเนินโครงการมีความโปร่งใส และมีการทำงานอย่างจริงจัง
พร้อมขอให้ผู้วิพากษ์วิจารณ์
ได้ตรวจดูข้อมูลอย่างละเอียดและให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้นำเสนอบ้าง
โดยมั่นใจว่าโครงการนี้ จะแก้ไขปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งได้อย่างถาวร
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ได้นำคณะสื่อมวลชนเข้าชมห้องเก็บเอกสาร ว่าด้วยรายละเอียดแผนการบริหารจัดการน้ำที่ถูกเสนอมาโดยบริษัทต่างๆ กว่า 37 บริษัทใน 8 กลุ่ม โดยเอกสารมีจำนวนมากกว่า 3 พันกล่อง น้ำหนักรวมทั้งหมดมากกว่า 15 ตัน โดยนอกจากนี้ยังได้พาเยี่ยมชมการทำงานของคณะกรรมการ 30 คน ประกอบไปด้วยนักวิชาการ นักสิ่งแวดล้อม และผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมือง ที่จะมาทำหน้าที่วิเคราะห์และพิจารณาแผนการจัดการน้ำภายใต้วงเงินกว่า 3 แสนล้านบาทเหล่านี้
โดยนายปลอดประสพได้กล่าวว่า ในขณะนี้ การทำงานอยู่ในระหว่างขั้นตอนการคัดเลือกบริษัท ที่จะมาดำเนินการในโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบใน 10 โครงการย่อย หรือ 10 โหมด โดยเกณฑ์การพิจารณา จะดูว่ามีข้อเสนอในด้านต่างๆ ครบถ้วนทั้ง 10 โหมดหรือไม่ โดยจะมีการคัดเลือกให้เหลือ 3 บริษัทต่อโหมด รวมเป็น 30 บริษัท ทั้งนี้จะเน้นบริษัทที่มีความรู้ความสามารถในการจัดการ และการใช้เทคโนโลยีเป็นสำคัญ
ซึ่งการคัดเลือกบริษัทที่จะมาดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำครั้งนี้ นายปลอดประสพ ยอมรับว่า ได้มีการแก้ไขระเบียบให้สามารถดำเนินการได้อย่างสะดวกขึ้นจริง แต่ก็เป็นการแก้ไขระเบียบโดยเปิดเผยมาตั้งแต่ก่อนจะมีการรับสมัครผู้เสนอ โครงการ โดยสามารถตรวจสอบได้ และมีการประกาศให้ทราบกันโดยทั่วไป ซึ่งบริษัทที่เข้าเสนอโครงการทุกบริษัท ต่างก็ยังไม่มีข้อร้องเรียนต่อว่าใดๆ จนถึงบัดนี้
โดยนายปลอดประสพยังได้กล่าวด้วยว่า ที่พาสื่อมวลชนมาดูการทำงานของคณะกรรมการในวันนี้ (30 พ.ย.55) ก็เพื่อให้สื่อมวลชนและประชาชน ได้เห็นว่าทางคณะกรรมการ ได้มีการลงมือทำงานอย่างจริงจัง มีรายละเอียดขั้นตอนที่สามารถตรวจสอบได้ โดยมีการร่วมมือกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ โดยได้ให้กลุ่มคนรุ่นใหม่มีบทบาทสำคัญ เพราะโครงการนี้ คือโครงการเพื่ออนาคตของชาติอย่างแท้จริง และยังขอร้อง ให้กลุ่มคนที่ออกมาคัดค้าน ซึ่งต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญน้ำในรุ่นเดียวกับตน ได้ให้โอกาสคนรุ่นใหม่นำเสนอความคิดบ้าง
นอกจากนี้ นายปลอดประสพ ยังคาดว่าโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ น่าจะสามารถเริ่มต้นได้ทันทีภายหลังการคัดเลือกบริษัทที่จะมาดำเนินโครงการ เสร็จสิ้นลงในช่วงเดือนเมษายน 2556 โดยมีความมั่นใจว่า เมื่อโครงการนี้เสร็จสิ้น จะสามารถป้องกันปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้งได้อย่างถาวร อีกทั้งจะสามารถทำให้ประชาชนไทยทุกคน สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำได้อย่างเสมอภาคกัน
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ได้นำคณะสื่อมวลชนเข้าชมห้องเก็บเอกสาร ว่าด้วยรายละเอียดแผนการบริหารจัดการน้ำที่ถูกเสนอมาโดยบริษัทต่างๆ กว่า 37 บริษัทใน 8 กลุ่ม โดยเอกสารมีจำนวนมากกว่า 3 พันกล่อง น้ำหนักรวมทั้งหมดมากกว่า 15 ตัน โดยนอกจากนี้ยังได้พาเยี่ยมชมการทำงานของคณะกรรมการ 30 คน ประกอบไปด้วยนักวิชาการ นักสิ่งแวดล้อม และผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมือง ที่จะมาทำหน้าที่วิเคราะห์และพิจารณาแผนการจัดการน้ำภายใต้วงเงินกว่า 3 แสนล้านบาทเหล่านี้
โดยนายปลอดประสพได้กล่าวว่า ในขณะนี้ การทำงานอยู่ในระหว่างขั้นตอนการคัดเลือกบริษัท ที่จะมาดำเนินการในโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบใน 10 โครงการย่อย หรือ 10 โหมด โดยเกณฑ์การพิจารณา จะดูว่ามีข้อเสนอในด้านต่างๆ ครบถ้วนทั้ง 10 โหมดหรือไม่ โดยจะมีการคัดเลือกให้เหลือ 3 บริษัทต่อโหมด รวมเป็น 30 บริษัท ทั้งนี้จะเน้นบริษัทที่มีความรู้ความสามารถในการจัดการ และการใช้เทคโนโลยีเป็นสำคัญ
ซึ่งการคัดเลือกบริษัทที่จะมาดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำครั้งนี้ นายปลอดประสพ ยอมรับว่า ได้มีการแก้ไขระเบียบให้สามารถดำเนินการได้อย่างสะดวกขึ้นจริง แต่ก็เป็นการแก้ไขระเบียบโดยเปิดเผยมาตั้งแต่ก่อนจะมีการรับสมัครผู้เสนอ โครงการ โดยสามารถตรวจสอบได้ และมีการประกาศให้ทราบกันโดยทั่วไป ซึ่งบริษัทที่เข้าเสนอโครงการทุกบริษัท ต่างก็ยังไม่มีข้อร้องเรียนต่อว่าใดๆ จนถึงบัดนี้
โดยนายปลอดประสพยังได้กล่าวด้วยว่า ที่พาสื่อมวลชนมาดูการทำงานของคณะกรรมการในวันนี้ (30 พ.ย.55) ก็เพื่อให้สื่อมวลชนและประชาชน ได้เห็นว่าทางคณะกรรมการ ได้มีการลงมือทำงานอย่างจริงจัง มีรายละเอียดขั้นตอนที่สามารถตรวจสอบได้ โดยมีการร่วมมือกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ โดยได้ให้กลุ่มคนรุ่นใหม่มีบทบาทสำคัญ เพราะโครงการนี้ คือโครงการเพื่ออนาคตของชาติอย่างแท้จริง และยังขอร้อง ให้กลุ่มคนที่ออกมาคัดค้าน ซึ่งต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญน้ำในรุ่นเดียวกับตน ได้ให้โอกาสคนรุ่นใหม่นำเสนอความคิดบ้าง
นอกจากนี้ นายปลอดประสพ ยังคาดว่าโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ น่าจะสามารถเริ่มต้นได้ทันทีภายหลังการคัดเลือกบริษัทที่จะมาดำเนินโครงการ เสร็จสิ้นลงในช่วงเดือนเมษายน 2556 โดยมีความมั่นใจว่า เมื่อโครงการนี้เสร็จสิ้น จะสามารถป้องกันปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้งได้อย่างถาวร อีกทั้งจะสามารถทำให้ประชาชนไทยทุกคน สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำได้อย่างเสมอภาคกัน
by
Anuthee
30 พฤศจิกายน 2555 เวลา 16:46 น.
คาเธย์ แปซิฟิก ฮ่องกง ตั้งกรรมการด่วน "แอร์โฮสเตทสาว" คิดอาฆาตร้ายสาดกาแฟใส่ “แพทองธาร”
ที่มา go6tv
30 พฤศจิกายน 2555 go6TV - นายยงยุทธ์ ลุจินตานนท์ ผู้จัดการฝ่ายขายประจำประเทศไทยและพม่า
สายการบินคาเธย์ แปซิฟิก เปิดเผย "มติชนออนไลน์" ว่า ขณะนี้ทางสำนักงานใหญ่สายการบินคาเธย์
แปซิฟิก ในฮ่องกง ได้ดำเนินการตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าวันที่ 30
พฤศจิกายน 2555 โดยออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที
ที่มีกระแสข่าวแพร่สะพัดถึงกรณีของลูกเรือสายการบินคาเธย์ แปซิฟิก
กระทำผิดมารยาทในระหว่างการให้บริการผู้โดยสารเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-ฮ่องกง
โดยจะดำเนินการสรุปแล้วนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะด้วยข้อมูลที่ถูกต้องให้เร็วที่สุด
โดยได้แต่งตั้งฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจากฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคล ฝ่ายบริหารพนักงานให้บริการบนเครื่องบิน และ
ฝ่ายอื่น ๆ เข้ามาร่วมเป็นผู้พิจารณาในคณะกรรมการชุดนี้
ซึ่งเน้นการสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
พร้อมทั้งกำหนดขั้นตอนการทำงานชัดเจน
เริ่มต้นจากการตรวจสอบหาข้อมูลเบื้องต้นลงมือตรวจสอบแล้ว
ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมด เมื่อรวบรวมได้ทั้งหมดแล้ว
หากพบพนักงานที่ถูกกล่าวถึงในสังคมออนไลน์กระทำผิดจริง
ทางบริษัทจะประกาศบทลงโทษพนักงานต่อไป
เพราะทางสำนักงานใหญ่และบริษัทได้กำหนดนโยบายสูงสุดที่พนักงานทุกระดับต้องยึดปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
คือจะต้องเป็นสายการบินระดับนานาชาติที่ให้บริการลูกค้าดีที่สุด
โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ๆ
ก็ตาม
อย่างไรก็ตามทางสำนักงานใหญ่สายการบินคาเธย์
แปซิฟิก ยืนยันจะเร่งตรวจสอบข้อมูล
โดยให้คณะกรรมการบริหารที่ได้รับการแต่งตั้งสรุปข้อมูลเพื่อนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะทั่วโลกทันทีภายใน
1-2
วันนี้
ประกาศแล้ว ! 300 บาท ทั่วประเทศ 1 มกราคม 56 เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา วันนี้ !
ที่มา มติชนออนไลน์
มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ ๗)
ประกาศดังกล่าวระบุว่า ด้วยคณะกรรมการค่าจ้างได้มีการประชุมศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ อัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ และมีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อใช้บังคับแก่นายจ้างและ ลูกจ้างทุกคน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗๙ (๓) และมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ คณะกรรมการค่าจ้างจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกข้อ ๓ ข้อ ๔ ข้อ ๕ ข้อ ๖ ข้อ ๗ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ ข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๔ ข้อ ๑๕ ข้อ ๑๖ ข้อ ๑๗ ข้อ ๑๘ ข้อ ๑๙ ข้อ ๒๐ ข้อ ๒๑ ข้อ ๒๒ ข้อ ๒๓ ข้อ ๒๔ ข้อ ๒๕ ข้อ ๒๖ ข้อ ๒๗ ข้อ ๒๘ ข้อ ๒๙ ข้อ ๓๐ ข้อ ๓๑ และข้อ ๓๒ ของประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ ๖) ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๒ ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยบาท ในท้องที่จังหวัดกระบี่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นครนายก นครพนม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พังงา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ พะเยา มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยะลา ยโสธร ร้อยเอ็ด ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สงขลา สตูล สมุทรสงคราม สระแก้ว สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อุดรธานี อุทัยธานี อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ
ข้อ ๓ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฉบับนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์
ปลัดกระทรวงแรงงาน
ประธานกรรมการค่าจ้าง
เปิดดูประกาศ 300 บาท ที่นี่
มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ ๗)
ประกาศดังกล่าวระบุว่า ด้วยคณะกรรมการค่าจ้างได้มีการประชุมศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ อัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ และมีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อใช้บังคับแก่นายจ้างและ ลูกจ้างทุกคน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗๙ (๓) และมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ คณะกรรมการค่าจ้างจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกข้อ ๓ ข้อ ๔ ข้อ ๕ ข้อ ๖ ข้อ ๗ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ ข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๔ ข้อ ๑๕ ข้อ ๑๖ ข้อ ๑๗ ข้อ ๑๘ ข้อ ๑๙ ข้อ ๒๐ ข้อ ๒๑ ข้อ ๒๒ ข้อ ๒๓ ข้อ ๒๔ ข้อ ๒๕ ข้อ ๒๖ ข้อ ๒๗ ข้อ ๒๘ ข้อ ๒๙ ข้อ ๓๐ ข้อ ๓๑ และข้อ ๓๒ ของประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ ๖) ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๒ ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยบาท ในท้องที่จังหวัดกระบี่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นครนายก นครพนม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พังงา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ พะเยา มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยะลา ยโสธร ร้อยเอ็ด ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สงขลา สตูล สมุทรสงคราม สระแก้ว สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อุดรธานี อุทัยธานี อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ
ข้อ ๓ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฉบับนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์
ปลัดกระทรวงแรงงาน
ประธานกรรมการค่าจ้าง
เปิดดูประกาศ 300 บาท ที่นี่
คาที่!แอร์คาเธ่ย์สาวกพันธมิตรโดนสอบคาดโทษหนัก อุ๊งอิ๊งถามเจ็บ'ชาหรือกาแฟ'ดีคะที่คิดจะสาดใส่หน้า?
ที่มา Thai E-News
Honey Lochanachai อ้าง
ตัวเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินคาเธย์แปซิฟิค
ได้โพสต์ข้่อความที่ช็อคผู้โดยสารว่าเธอแทบจะกลั้นไม่ไหวเกือบเอาแฟราดหัว
ลูกสาวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะแค้นใจที่ม็อบเสธ.อ้ายพ่ายแพ้
ภาพจากfacebookและขณะเธอร่วมชุมนุมกับพธม.
ทั้งนี้มีผู้เข้่าไปเขียนข้อความในเวบเพจของ Cathay Pacific Airways หลายราย เรียกร้องให้มีการสอบสวนและลงโทษแอร์โฮสเตสรายนี้
จัดหนัก มาแล้ว เอารายชื่อผู้โดยสารมาเปิดเผย
I would like to complane about your staff
BTW,
she threatened by stating that "i want to pour something over her
(customer's)'s head". .... more... How arrogant and ignorant she is..
she posted "company has to choose one is it bher (customer) or
me?????"...... You have to do something with this kind of behavior and
let us know.
now
I feel uncomfortable that the person who was supposed to be a hostess
actually wanted to pour coffee on my face....tea or
coffee????-"-(คำแปล-ตอนนี้รู้สึกไม่สบายใจเลยที่โดนแอร์โฮสเตสคิดจะสาดกาแฟ
ใส่หน้า ..ว่าแต่ที่คิดจะสาดใส่หน้าหนะ จะเป็นชาหรือกาแฟดีคะ????"ข้อความในอินสตราแกรมของอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร(หมายเหตุไทยอีนิวส์:เรา
เข้าใจว่าอุ๊งอิ๊งต้องการเสียดสีแอร์โฮสเตสรายนี้
เพราะแอร์โฮสเตสมักสอบถามผู้โดยสารในการเสิร์ฟเครื่องดื่มบนเครื่องบิืนว่า
ชาหรือแฟดีคะ?- tea or coffee?)
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
30 พฤศจิกายน 2555
งานเข้าแอร์คาเธ่ย์ฯสาวกพธม.โดนสอบสวนและคาดโทษ
30 พฤศจิกายน 2555
งานเข้าแอร์คาเธ่ย์ฯสาวกพธม.โดนสอบสวนและคาดโทษ
เฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ในประเทศไทยhttp://www.facebook.com/cathaypacificTH ได้
โพสต์ข้อความว่า "สายการบินคาเธ่ย์
แปซิฟิคขอขอบคุณสำหรับความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว
ขณะนี้สายการบินอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
และจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบในภายหลัง
"ทางสายการบินขอ เรียนให้ทราบว่า ขณะนี้ทางสายการบินกำลังดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง สายการบินขอยืนยันว่าเรามุ่งเน้นการบริการที่ดีที่สุด รวมถึงการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้โดยสารเป็นสิ่งที่ทางสายการบินถือ ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ในกรณีที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้ละเมิดข้อบังคับ สายการบินจะดำเนินการต่อบุคคลดังกล่าวตามกฏของบริษัทฯ "
"ทางสายการบินขอ เรียนให้ทราบว่า ขณะนี้ทางสายการบินกำลังดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง สายการบินขอยืนยันว่าเรามุ่งเน้นการบริการที่ดีที่สุด รวมถึงการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้โดยสารเป็นสิ่งที่ทางสายการบินถือ ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ในกรณีที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้ละเมิดข้อบังคับ สายการบินจะดำเนินการต่อบุคคลดังกล่าวตามกฏของบริษัทฯ "
ขณะที่เฟซบุ๊คสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิคฮ่องกง
ได้โพสต์ข้อความ
ตอบกลับผู้ร้องเรียนในทำนองเดียวกันว่า
จะดำเนินการสอบสวนกรณีนี้อย่างรวดเร็ว
และหากพบข้อเท็จจริงว่าพนักงานคนใดกระทำผิดไปจากมาตรฐานการให้บริการที่มุ่ง
เน้นให้บริการด้วยมาตรฐานสูงสุดแก่ผู้โดยสารจะได้รับการลงโทษที่เหมาะสมต่อ
ไป
Dear Surachai Saoboontan and Nopporn Narmchaingtai,
thanks for sharing your thoughts and concerns, we are very sorry to
disappoint you and are taking this matter very seriously. Our entire
team have always strive to provide our passengers with only the highest
standards of customer service, and we shall definitely keep that going.
For no doubt, we will take swift and appropriate actions if the facts
ultimately show someone has broken that commitment -Lisa
ทางด้านน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง โพสต์ข้อความลงในแอพอินสตาแกรมส่วนตัว Ingshin21 ถึงกรณีดังกล่าว โดยเขียนไว้ว่า "แค่
เดินทางไปหาพ่อเพราะคิดถึง และเดินทางไปทำงานเพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ
ถ้าเคยทำอะไรให้โกรธก็ขอโทษด้วยละกันนะคะ ไม่คิดเลยว่าจะมีความคิดแบบนี้
เพราะเดินทางบ่อยก็เจอแต่แอร์น่ารักๆทั้งนั้น now i feel uncomfortable
that the person who was supposed to be a hostess actually wanted to pour
coffee on my face..tea or coffee????"
ก่อนหน้านี้เมื่อค่ำวันที่29
โลกโซเชียลเน็ตเวิร์คกระจายข่าวพนักงานแอร์โฮสเตสของสายการบินคาเธย์แปซิฟิค
โพสต์ข้อความว่าแค้นที่ม็อบเสธ.อ้ายพ่ายแพ้
เลยแทบกลั้นไม่ไหวเกือบเอากาแฟรดหัว"แพทองธาร"ลูกสาวทักษิณบนเครื่องบิน
ขณะบินไปฮ่องกง
ข้อมูลการเดินทางของแพทองธาร ชินวัตร
ที่แอร์โฮสเตสผู้นี้นำมาเปิดเผย
แต่ล่าสุดได้ถูกลบออกจากfacebookของเจ้าตัวแล้ว
แต่มีผู้แคปเจอร์ภาพไว้และเผยแพร่ในวงกว้างอย่างแพร่หลาย
ช่วงค่ำวันที่ 29 พฤศจิกายน ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คได้มีการแชร์ข้อมูลเรื่องที่มีผู้ใช้ชื่อ
Honey Lochanachai อ้าง
ตัวเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินคาเธย์แปซิฟิค
ได้โพสต์ข้่อความที่ช็อคผู้โดยสารว่าเธอแทบจะกลั้นไม่ไหวเกือบเอาแฟราดหัว
ลูกสาวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะแค้นใจที่ม็อบเสธ.อ้ายพ่ายแพ้
facebookของเธอให้ข้อมูล"มุมมองทางด้านการเมือง"ไว้ว่า เป็นพันธมิตร เสื้อเหลือง รักชาติ รักสถาบัน เทิดทูนพระมหากษัตริย์
โดยข้อความละเอียดที่เธอโพสต์ไว้เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังม็อบเสธ.อ้ายประกาศสลายการชุมนุมเพียง 1 วัน มีดังต่อไปนี้
Honey Lochanachai
เศษกระดาษแผ่นนี้พวกอาชีพเดียวกับฉันรู้ดีว่ามันคืออะไร ดูชื่อผู้โดยสารของฉันวันนี้เที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปฮ่องกงเช้านี้สิ ตอนที่รู้ว่ามีผู้โดยสารคนนี้บนเครื่อง ประตูเครื่องกำลังจะปิดพอดี
ที่
จริงฉันเคยได้ยินเพื่อนๆบอกว่าไอ้อีตระกูลนี้
มันเดินทางไปฮ่องกงกับพวกเราบ่อยๆ ฉันยังเคยคิดว่าถ้ามีพวกมันบนเครื่อง
ก็ต้องไม่มีฉันทำงานบนนั้น.
ฉันรีบบอกหัวหน้าว่าวันนี้คงทำงานไม่ได้แล้ว หัวหน้าตกใจว่าเป็นไร เมื่อกี้ยังดีๆอยู่ ไฟลท์ก็เต็ม ถ้าอยู่ๆใครไม่ทำงานซักคนที่เหลือก็เหนื่อยเลยนะนั่น
พอบอกเหตุผล หัวหน้าก็น่ารักบอกว่าเดี๋ยวย้ายให้ไปทำงานจุดอื่นไม่ต้องเจอกับมันก็ได้ แล้วเตรียมออกเดินทาง
ฉันรีบโทรหาที่ปรึกษาด่วน บอกว่าเอาอะไรไปราดหัวมันในไฟลท์นี้ได้มั้ย ได้
คำแนะนำว่าอย่าทำ เพราะจะผิดกฎหมายฮ่องกงและไม่คุ้มค่ากัน ความรู้สึกโกรธ
เกลียดพวกมันยังไม่จางหายจากเหตุการณ์การชุมนุมเมื่อวาน
ทำให้คับแค้นใจยิ่งขึ้นจนน้ำตาไหลออกมา
ขณะ
เครื่องบินขึ้นฉันนั่งสงบสติอารมณ์ จนดีขึ้นแล้ว ก็คิดได้ว่า
คนตระกูลนี้มันทำลายความสุขของคนไทยมามากพอแล้ว
ฉันจะไม่ให้โอกาสพวกมันทำลายความสุขและความดีอีก ใจก็สงบขึ้นมาบ้าง
บอกหัวหน้าว่าจะทำงานตามปกติ หัวหน้าก็ตกลงแต่ไม่ต้องไปบริการมัน
(คงป้องกันปัญหาด้วย)
ตลอดเที่ยวบินมันสวมแว่นกันแดดและหลับเป็นส่วนใหญ่
มีแอบคิดแผนกับน้องคนไทยที่ไม่ชอบพวกมันเหมือนกัน ว่าจะเข้าไปพูดถากถางพ่อมันก่อนเครื่องลงดีมั้ย.แต่
แล้ว สติก็ทำงานมากกว่าอารมณ์ ไม่เข้าไปตอแยกับมัน รู้สำนึกว่า
ทำไปก็ไม่มีผลต่อคนที่จิตสำนึกบอดอย่างพวกมัน
แถมเราอาจจะต้องเพิ่มภาระเรื่องที่ต้องต่อสู้ขึ้นอีก
"อย่าเพิ่มศัตรูในการต่อสู้ จากความโง่ไร้สติของตัวเอง"
ฉันนั่งสงบใจคิดขณะเครื่อง
ลง ความรู้สึกของเสธ. อ้าย ตอนที่พูดคำว่า " เสธ. อ้าย ได้ตายไปแล้ว "
เมื่อเย็นวานนี้
คงเจ็บปวดมากกว่าฉันตอนนี้นัก ฉันกลั้นน้ำตาที่อยากไหลออกมาไว้แค่นั้น
กลืนมันกลับเข้าไปในอก. บอกตัวเองว่า
เราจะต้องต่อสู้กับคนเลวในบ้านเมืองอย่างมีสติ ด้วยปัญญา
และความถูกต้องชอบธรรม
อย่างน้อยวันนี้ ฉันเอาชนะความโกรธ ความเกลียดอย่างแรง ที่มีอยู่ ไม่ให้มันมามีอำนาจสร้างปัญหาเพิ่มทุกข์ให้ฉันได้
แพรทองธาร วันนี้ไม่โดนฉันเอากาแฟสาดหน้า แต่มันไม่รู้ว่าฉันจะต่อสู้ ทำให้พวกมันไม่ได้อยู่เป็นเสนียดจัญไรบนแผ่นดินไทยอีกต่อไป
มีการเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปในวงกว้าง ขณะที่facebookของ Honey Lochanachai ได้ลบเรื่องอื้อฉาวนี้ออกไปแล้ว และยังไม่มีถ้อยแถลงใดๆจากสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค Cathay Pacific Airways ต้นสังกัดของแอร์โฮสเตสรายนี้
ทั้งนี้มีผู้เข้่าไปเขียนข้อความในเวบเพจของ Cathay Pacific Airways หลายราย เรียกร้องให้มีการสอบสวนและลงโทษแอร์โฮสเตสรายนี้
จัดหนัก มาแล้ว เอารายชื่อผู้โดยสารมาเปิดเผย
ขู่จะทำร้ายผู้โดยสารแบบนี้เอาไว้ไม่ได้
ถ้าสายการบินไม่ดำเนินการใด ผมจะไปร้องเรียนต่อรัฐบาลของฮ่องกงต่อไป
I would like to complane about your staff
Your flight attendent had posted in facebook on 25 November that
She was not happy to give sevice to passenger
Who are Ms.Paethongthan shinavatara she happened to be the daughter of Ex Pm. of Thailand
Mr.Thaksin shinnavatara
and she said that she would like to put coffee on her face
and she show the name of passenger on facebook
Is it suppose to be confident ?
this is show the world how professional of you company
I will not fell save to fly with you airline anymore
Nopporn Narmchaingtai
185/54 Sathorn rd. Soi 3 bangkok 10120 Thailand
Who are Ms.Paethongthan shinavatara she happened to be the daughter of Ex Pm. of Thailand
Mr.Thaksin shinnavatara
and she said that she would like to put coffee on her face
and she show the name of passenger on facebook
Is it suppose to be confident ?
this is show the world how professional of you company
I will not fell save to fly with you airline anymore
Nopporn Narmchaingtai
185/54 Sathorn rd. Soi 3 bangkok 10120 Thailand
One of your flight attendent "Honey Lochanachai" posted hate message on her fb today regarding your customer. She's very disgraceful after threatening to harm her on fb. What is your responsibility to the public? Besides your manager knew about it and did noting.... still put her on that flight....... Wow what kind of airline is this ?????????
BTW,
she threatened by stating that "i want to pour something over her
(customer's)'s head". .... more... How arrogant and ignorant she is..
she posted "company has to choose one is it bher (customer) or
me?????"...... You have to do something with this kind of behavior and
let us know.
Many of us using your service and we are now wondering
if your employees who are unhappy with us will put something in the food
behind the closed door???
แอร์โฮสเตสของสายการบินคาเธย์แปซิฟิครายหนึ่งเพิ่งตกเป็นข่าวอื้อฉาวว่าทำออ
รัลเซ็กซ์ให้กัปตันเมื่อปีกลาย ต่อมาถูกไล่ิออกทั้งแอร์ฯและกัปตัน
ส่วนกรณีอื้อฉาวล่าสุดเกี่ยวกับแอร์ฯคลั่งการเมืองจนแทบจะทำร้ายผู้โดยสาร
ที่เป็นลูกสาวนักการเมืองที่เธอเกลียดจะลงเอยอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป
หลังจากสายการบินคาเธ่ย์ฯบอกว่าจะสอบสวนกรณีนี้แล้ว
ข้อมูลเพิ่มเติมเวลา 16.50 น.
Buena Dang ได้ทำการโพสต์เพิ่มเติมในเฟซบุ๊คของ Cathay Pacific ถึง พนักงานบริการอีกรายหนึ่งที่ได้ไปแสดงความคิดเห็นบนเฟซบุ๊คของ Honey Lochanachai ดังรายละเอียดด้านล่างนี้
Buena Dang ได้ทำการโพสต์เพิ่มเติมในเฟซบุ๊คของ Cathay Pacific ถึง พนักงานบริการอีกรายหนึ่งที่ได้ไปแสดงความคิดเห็นบนเฟซบุ๊คของ Honey Lochanachai ดังรายละเอียดด้านล่างนี้
Honey Lochanachai: แพรทองธาร วันนี้ไม่โดนฉันเอากาแฟสาดหน้า แต่มันไม่รู้ว่าฉันจะต่อสู้ ทำให้พวกมันไม่ได้อยู่เป็นเสนียดจัญไรบนแผ่นดินไทยอีกต่อไป
Pat Chanee : หนูเพิ่งเสิร์ฟมันสองตัวพี่น้องเมื่อต้นเดือน มาแนวนี้ล่ะ ใส่แว่นดำปกปิดและก้อหลับ.. อิแร่ด หนูมารู้ตอนหลังจากเด็กเจหนึ่ง ว่าตะแรกมันไม่เก็บกระเป๋าจะให้เด็กหนูเก็บ แต่เด็กหนูบอกว่า ถ้าเก็บเองไม่ไหวชั้นก้อจะออฟโหลดให้ เพราะชั้นก้อคงจะช่วยยกไม่ได้.. สะใจ
25 พฤศจิกายน เวลา 19:03 น. · ถูกใจ · 10
"Pat Chanee" claimed she served both sisters in the beginning of November.........here is her service mind " bitches I knew it later from "Jay Nueng" team. She (the customer) asked for help from my girl, but she flatly refuse stated "I can't help"..... what a Joke..
11 minutes ago · Like
ด่วน!!! ศาลอาญา สั่งเพิกถอนประกัน "ก่อแก้ว" ชี้มีพฤติกรมยั่วยุปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวาย ส่วน 4 แกนนำที่เหลือ รอด
ที่มา uddred
ทีมข่าว นปช.
30 พฤศจิกายน 2555
เมื่อเวลา 16.10 น.ศาลเริ่มอ่านคำสั่งคำร้องขอเพิกถอนประกัน 5 ส.ส.แกนนำนปช.คดีก่อการร้ายแล้ว
และศาลสั่งไม่เพิกถอนประกันตัว4 แกนนำ คุณณัฐวุฒิ หมอเหวง การุณและ วิภูแถลง แต่ห้ามขึ้นเวที ห้ามออกนอกประเทศ แต่ศาลสั่งเพิกถอนประกัน คุณก่อแก้ว เนื่องจากศาลเห็นว่าในการแถลงข่าวที่รัฐสภาเมื่อวัน ที่17ก.ค.2555 และกรณีไปปราศรัยที่ย่านมีนบุรีผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว เพราะคำแถลงดังกล่าวเป็นการมุ่งร้าย ช่มขู่ต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
4 ส.ส.แกนนำนปช.พบมวลชนหน้าศาล ขอให้เคารพคำสั่งศาลที่เพิกถอนประกันก่อแก้วโดยมวลชนคนเสื้อแดงต่างร่ำไห้เสียใจกับคุณก่อแก้ว
ด้าน อ.ธิดาบอกอย่าเสียใจ ก่อแก้วถูกถอนประกันจะเตรียมหารือทนายขอยื่นประกันตัว ตามกฎหมายต่อไป
ทีมข่าว นปช.
30 พฤศจิกายน 2555
เมื่อเวลา 16.10 น.ศาลเริ่มอ่านคำสั่งคำร้องขอเพิกถอนประกัน 5 ส.ส.แกนนำนปช.คดีก่อการร้ายแล้ว
และศาลสั่งไม่เพิกถอนประกันตัว4 แกนนำ คุณณัฐวุฒิ หมอเหวง การุณและ วิภูแถลง แต่ห้ามขึ้นเวที ห้ามออกนอกประเทศ แต่ศาลสั่งเพิกถอนประกัน คุณก่อแก้ว เนื่องจากศาลเห็นว่าในการแถลงข่าวที่รัฐสภาเมื่อวัน ที่17ก.ค.2555 และกรณีไปปราศรัยที่ย่านมีนบุรีผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว เพราะคำแถลงดังกล่าวเป็นการมุ่งร้าย ช่มขู่ต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
4 ส.ส.แกนนำนปช.พบมวลชนหน้าศาล ขอให้เคารพคำสั่งศาลที่เพิกถอนประกันก่อแก้วโดยมวลชนคนเสื้อแดงต่างร่ำไห้เสียใจกับคุณก่อแก้ว
ด้าน อ.ธิดาบอกอย่าเสียใจ ก่อแก้วถูกถอนประกันจะเตรียมหารือทนายขอยื่นประกันตัว ตามกฎหมายต่อไป
"สุณิสา" เผยทีม ก.ม พ.ต.ท ทักษิณ เตรียมฟ้องหมิ่นประมาท"ชวนนท์"
ที่มา ข่าวเืพื่อไทย
ร.ท.ญ สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ ทีมกฎหมายของ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อฟ้ องร้องดำเนินคดีกับ นาย ชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากได้กล่าวพาดพิงและหมิ่ นประมาท ทำให้ พ.ต.ท ทักษิณ เสียหาย โดย นาย ชวนนท์ ได้กล่าวโทษตระกูลชินวั ตรทำนองว่าทำให้ประเทศชาติเสี ยหาย และกล่าวหาว่า พ.ต.ท ทักษิณ มีพฤติกรรมโกงกินชาติ ทั้ง ๆ ที่ ความจริงแล้ว พ.ต.ท ทักษิณ เป็นเหยื่อหรือเป็นฝ่ายถู กกระทำโดยกลุ่มอำมาตย์ที่อิ จฉาริษยา พ.ต.ท ทักษิณ เพราะได้รับความนิยมจากพี่น้ องประชาชน
จึงพยายามกำจัด พ.ต.ท ทักษิณ ทุกวิถีทาง จนทำให้ประเทศชาติเสียหาย
จากการรัฐประหารเมื่อปี 2549 แต่ก็ทำให้พรรคการเมืองบางพรรค
เข้าสู่อำนาจได้เพราะการรั ฐประหาร
ดังกล่าว โดยนักการเมืองที่ดีแต่พูด และไร้ฝีมือ แต่อยากเป็นนายกฯ
ได้เข้าไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จากนั้น ก็มีกระบวนการทำลายยุบพรรคฝ่าย
พ.ต.ท ทักษิณ ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่ชอบด้ วยกฎหมาย นี่คือเหตุผลว่าทำไม จึงมีประชาชนยอมตายเกือบร้อยศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 ราย เพียงเพื่อคัดค้านการเข้าสู่ อำนาจของรัฐบาลที่ไม่ได้ มาจากประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น ก่อนที่ นาย ชวนนท์ จะตำหนิ พ.ต.ท ทักษิณ ก็ขอให้ย้อนไปดูกำพืดของหัวหน้ าพรรคและพรรคของตัวเองก่อนว่ าเป็นเช่นไร จึงพ่ายแพ้ พ.ต.ท ทักษิณ ในการเลือกตั้ง ทั้งนี้ พ.ต.ท ทักษิณ อาจไม่เป็นที่ถู กใจ
ของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะชนะพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด
แต่ท่านก็ไม่เคยสั่งฆ่าประชาชน ไม่เคยตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ไม่เคยหนีทหาร
และไม่เคยติดการพนันฟุ ตบอลงอมแงมจนถูกไล่ออกจากมหาวิ ทยา
ลัย จึงขอให้ นาย ชวนนท์ รอรับหมายศาลในเร็ว ๆ นี้ ส่วน สส
ประชาธิปัตย์คนอื่น ๆ ที่กล่าวพาดพิง พ.ต.ท ทักษิณ ขณะนี้ ฝ่ายกฎหมายของ
พ.ต.ท ทักษิณ กำลังตรวจสอบเทปการอภิปรายอย่ างละเอียดเพื่อดำเนินคดี ตามกฎหมายเช่นกัน หากพบว่าครบองค์ประกอบของการหมิ ่นประมาท
ร.ท.ญ สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ ทีมกฎหมายของ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อฟ้
"อุ๊งอิ๊ง" ไม่โกรธ หลังแอร์สาวแก่มุ่งอาฆาตวางแผนนำกาแฟร้อนสาด
ที่มา go6tv
30 พฤศจิกายน 2555 go6TV - นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หลานสาวนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป็นบุตรสาวของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเครือข่ายสังคมออนไลน์อินสตาแกรม (Instagram) กรณี แอร์โฮสเตสสาวแก่ของสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค ที่มีความคิดมุ่งอาฆาต และจ้องทำร้าย นางสาวแพทองธาร บนเครื่องบิน ด้วยการนำเครื่องดื่มร้อน สาดใส่หน้าและบริเวณศีรษะ ระหว่างเดินทางไปยังฮ่องกง โดยมีข้อความดังต่อไปนี้
“แค่
เดินทางไปหาพ่อเพราะคิดถึงและเดินทางไปทำงานเพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ
ถ้าเคยทำอะไรให้โกรธก็ขอโทษด้วยละกันนะคะ ไม่คิดว่าจะมีความคิดแบบนี้
เพราะเดินทางบ่อยก็เจอแต่แอร์น่ารักๆทั้งนั้น”
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก ต่างโพสต์ข้อความในเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้กำลังใจนางสาวแพทองธาร เป็นจำนวนมาก อาทิ "สายการบินไรนิ จะได้ไม่ต้องใช้บริการ แอร์มีจิตใจอย่างนี้นะน้องออกมาอยู่บ้านดีกว่าจิตใจต่ำแต่บินสูง ใครรู้ช่วยบอกสายการบินไรจะได้ให้รู้ไปว่ามีแอร์จิตใจอย่างนี้อยู่แล้วการ บินคุณจะเจริญ" และ "ทนไม่ไหวก็โดดเครื่องบินตายไปเลยซี่ อีตัวอิจฉา" เป็นต้น
ทั้ง นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุด ทางผู้บริหารระดับสูงของสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิคอยู่ระหว่างการหารือโดยคาด ว่าจะมีมาตรการลงโทษขั้นสูงสุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
30 พฤศจิกายน 2555 go6TV - นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หลานสาวนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป็นบุตรสาวของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเครือข่ายสังคมออนไลน์อินสตาแกรม (Instagram) กรณี แอร์โฮสเตสสาวแก่ของสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค ที่มีความคิดมุ่งอาฆาต และจ้องทำร้าย นางสาวแพทองธาร บนเครื่องบิน ด้วยการนำเครื่องดื่มร้อน สาดใส่หน้าและบริเวณศีรษะ ระหว่างเดินทางไปยังฮ่องกง โดยมีข้อความดังต่อไปนี้
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก ต่างโพสต์ข้อความในเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้กำลังใจนางสาวแพทองธาร เป็นจำนวนมาก อาทิ "สายการบินไรนิ จะได้ไม่ต้องใช้บริการ แอร์มีจิตใจอย่างนี้นะน้องออกมาอยู่บ้านดีกว่าจิตใจต่ำแต่บินสูง ใครรู้ช่วยบอกสายการบินไรจะได้ให้รู้ไปว่ามีแอร์จิตใจอย่างนี้อยู่แล้วการ บินคุณจะเจริญ" และ "ทนไม่ไหวก็โดดเครื่องบินตายไปเลยซี่ อีตัวอิจฉา" เป็นต้น
ทั้ง นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุด ทางผู้บริหารระดับสูงของสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิคอยู่ระหว่างการหารือโดยคาด ว่าจะมีมาตรการลงโทษขั้นสูงสุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
คอลัมนิสต์ คิดอะไร ? (30 พ.ย.55)
ที่มา Voice TV
คอลัมนิสต์' คิดอะไร ? ประจำวันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2555
คอลัมน์ 'ซูม'เหะหะพาที : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ นำเสนอหัวข้อ หนังสือที่คนไทยควรอ่าน กระจายทั่วประเทศวันนี้โดยกล่าวถึง ที่ผู้เขียนได้รับหนังสือเรื่องเอกกษัตริย์ ใต้รัฐธรรมนูญ เรียงเรียงโดยคุณวิมลพรรณ ปีตธวัชชัย มาชุดหนึ่ง ซึ่งเมื่ออ่านจบแล้วก็รีบเขียนแนะนำคอลัมน์ด้วยเจตนาที่อยากให้หนังสือเล่ม นี้ได้เผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง
คอลัมน์ หมายเหตุประเทศไทย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ นำเสนอหัวข้อ นิติธรรม/การศึกษาไทย ต่ำแล้วต่ำอีก โดยกล่าว ถึง ผลการจัดอันดับ ดัชนีหลักนิติธรรม ซึ่งไทยได้คะแนนต่ำสุดในกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง และไม่เพียงแค่หลักนิติธรรมของไทยที่ตกต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วในโลก การศึกษาไทยก็ตกต่ำแล้วตกต่ำอีก
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 : หนังสือพิมพ์มติชน นำเสนอหัวข้อ นั่นดี นี่เลว โดยกล่าวถึง การเปรียบเทียบตัวอย่างการนั่งดูเกมฟุตบอล หลายครั้งเมื่อกรรมการเป่าฟาลว์ บรรดานักเตะที่โดนชี้ว่าทำผิดก็จะออกมาโวยประท้วงการตัดสิน ซึ่งเปรียบกับ เครือข่ายม็อบแช่แข็งที่ยื่นร้องต่อองค์กรอิสระ ให้สอบสวนตำรวจที่ใช้แก๊สน้ำตาว่ารุนแรงเกินเหตุ
คอลัมน์ คอลัมน์ 7 : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ นำเสนอหัวข้อ อีซี่พาส โดยกล่าวถึง กรณีที่ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ แนวร่วมนปช.มานั่งขอพบ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย แต่ก็ยากเย็นและล่าช้า
คอลัมน์ 'ซูม'เหะหะพาที : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ นำเสนอหัวข้อ หนังสือที่คนไทยควรอ่าน กระจายทั่วประเทศวันนี้โดยกล่าวถึง ที่ผู้เขียนได้รับหนังสือเรื่องเอกกษัตริย์ ใต้รัฐธรรมนูญ เรียงเรียงโดยคุณวิมลพรรณ ปีตธวัชชัย มาชุดหนึ่ง ซึ่งเมื่ออ่านจบแล้วก็รีบเขียนแนะนำคอลัมน์ด้วยเจตนาที่อยากให้หนังสือเล่ม นี้ได้เผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง
คอลัมน์ หมายเหตุประเทศไทย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ นำเสนอหัวข้อ นิติธรรม/การศึกษาไทย ต่ำแล้วต่ำอีก โดยกล่าว ถึง ผลการจัดอันดับ ดัชนีหลักนิติธรรม ซึ่งไทยได้คะแนนต่ำสุดในกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง และไม่เพียงแค่หลักนิติธรรมของไทยที่ตกต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วในโลก การศึกษาไทยก็ตกต่ำแล้วตกต่ำอีก
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 : หนังสือพิมพ์มติชน นำเสนอหัวข้อ นั่นดี นี่เลว โดยกล่าวถึง การเปรียบเทียบตัวอย่างการนั่งดูเกมฟุตบอล หลายครั้งเมื่อกรรมการเป่าฟาลว์ บรรดานักเตะที่โดนชี้ว่าทำผิดก็จะออกมาโวยประท้วงการตัดสิน ซึ่งเปรียบกับ เครือข่ายม็อบแช่แข็งที่ยื่นร้องต่อองค์กรอิสระ ให้สอบสวนตำรวจที่ใช้แก๊สน้ำตาว่ารุนแรงเกินเหตุ
คอลัมน์ คอลัมน์ 7 : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ นำเสนอหัวข้อ อีซี่พาส โดยกล่าวถึง กรณีที่ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ แนวร่วมนปช.มานั่งขอพบ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย แต่ก็ยากเย็นและล่าช้า
by
Boonyisa
30 พฤศจิกายน 2555 เวลา 06:28 น.
ยูเอ็นรับรองปาเลสไตน์เป็นรัฐ
ที่มา Voice TV
สห
ประชาชาติลมติรับรองปาเลสไตน์เป็นรัฐอย่างเป็นทางการด้วยคะแนนเสียงขาดลอย
ขณะที่สหรัฐฯและอิสราเอลยืนยันว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้จะไม่ส่งผลดีต่อ
กระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง
ที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ
ลงมติรับรองเลื่อนสถานะของปาเลสไตน์จากผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ใช่รัฐ
เป็นรัฐผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ใช่สมาชิก ซึ่งเป็นสถานะเดียวกับนครรัฐวาติกัน
ด้วยคะแนนเสียง 138 ต่อ 9 เสียง และมีประเทศที่ไม่ลงคะแนนมากถึง 41 เสียง
ส่งผลให้ปาเลสไตน์ได้รับการรับรองสถานะเป็นรัฐชาติอย่างเป็นทางการ
หลังจากการดำเนินการทางการทูตยาวนานหลายสิบปี
สำหรับประเทศที่ไม่ยิมยอมลงคะแนนเสียง
รับรองปาเลสไตน์ ได้แก่สหรัฐฯ อิสราเอล หมู่เกาะมาร์แชล ปานามา
และสาธารณรัฐเช็กเป็นต้น ขณะที่อังกฤษและเยอรมนี
พันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯในยุโรป ไม่ได้ออกเสียงในการลงมติครั้งนี้
การรับรองปาเลสไตน์เป็นรัฐอย่างเป็นทางการ
สร้างความดีใจให้กับชาวปาเลสไตน์ทั่วประเทศ
โดยประชาชนที่ออกมาชุมนุมบนท้องถนนในกรุงรามัลลาห์ เมืองหลวงของปาเลสไตน์
เพื่อเฝ้ารอผลการลงมติตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา
ต่างโห่ร้องแสดงความยินดีและร่วมเฉลิมฉลองการเป็นรัฐของประเทศกันอย่าง
คึกคัก
ขณะที่นายมาห์มูด อับบาส
ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ ได้กล่าวหลังจากการลงมติครั้งประวัติศาสตร์นี้ว่า
การรับรองปาเลสไตน์โดยสหประชาชาติ
เป็นหนทางสุดท้ายในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์แบบ
Two-State Solution หรือหลักการยอมรัฐในความเป็นรัฐของทั้งสองฝ่าย
หลังจากตลอดการเจรจาแบบทวิภาคีกับอิสราเอลที่ผ่านมา
รัฐบาลอิสราเอลและสหรัฐฯ ไม่เคยยอมรับปาเลสไตน์ในฐานะรัฐชาติ
ส่วนทางด้านของอิสราเอล
ก็ออกมาตอบโต้การเลื่อนสถานะของปาเลสไตน์อย่างรุนแรง โดยนายเบนจามิน
เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ยืนยันว่าความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ
จะต้องแก้ไขผ่านการเจรจาแบบทวิภาคเท่านั้น ไม่ใช่ผ่านเวทีของสหประชาชาติ
การที่ปาเลสไตน์เรียกร้องความเป็นรัฐผ่านสหประชาชาติ
จึงถือเป็นการละเมิดสนธิสัญญาที่ให้ไว้กับอิสราเอล
และอิสราเอลจะต้องตอบโต้การกระทำครั้งนี้อย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับนางซูซาน ไรซ์
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ
ที่ออกมาเรียกร้องให้ปาเลสไตน์และอิสราเอลหารือกันเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว
และกล่าวหาว่าการเคลื่อนไหวผ่านสหประชาชาติของปาเลสไตน์
เป็นการกระทำโดยพลการแต่เพียงฝ่ายเดียว
ขณะที่นางฮิลลารี คลินตัน
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ยืนยันว่าการได้สถานะรัฐชาติของปาเลสไตน์
จะไม่ส่งผลดีใดๆต่อกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง
by
Pannika
30 พฤศจิกายน 2555 เวลา 09:34 น.
'สดศรี เผย ส.ส.นปช.ยังไม่เข้าข่ายหมดสมาชิกภาพ
ที่มา Voice TV
กรรมการการเลือกตั้ง เผย นปช. ยังไม่เข้าข่ายหมดสมาชิกภาพ ส.ส. เพราะศาลยังไม่พิพากษา ส่วนถอดยศ "อภิสิทธิ์" ตั้งคณะกรรมการสอบแล้ว
นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า ขณะนี้แกนนำ นปช.
ที่มีสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ยังไม่เข้าข่ายหมดสมาชิกภาพ เพราะศาลอาญา
ยังไม่พิพากษา ในข้อหาการก่อการร้าย หากสภาพจะสิ้นสุดได้นั้น บุคคลดังกล่าว
ต้องถูกศาลพิพากษาจำคุกก่อน จึงจะขาดคุณสมบัติ ส่วนกรณีของ นายเรืองไกร
ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ที่ไปยื่นขอให้ กกต. วินิจฉัยสถานภาพการเป็น ส.ส. ของ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
กรณีถูกปลดออกจากราชการนั้น สัปดาห์ที่ผ่านมา
ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาแล้ว 2 ประเด็น คือ กรณีถูกถอดยศ
ว่าจะขาดการเป็น ส.ส. หรือไม่ และจะทำให้การเป็นสมาชิกของพรรคขาดหรือไม่
ซึ่งให้เวลา 30 วันในการตรวจสอบ หากติดขัดอาจขอเลื่อนเวลาไปได้
แต่จะให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน
Source : http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=419660/prachachat.net(Image)
by
Supatsorn
30 พฤศจิกายน 2555 เวลา 09:47 น.
ล้านคำบรรยาย (พิเศษ) การ์ตูนเซีย 30/11/55 โรคระบาด..หลังจากฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ที่มา blablabla
ก็แค่..เอานิทาน เรื่องเ่่ก่า มาเล่าไป
ใครเป็นใคร ต่างก็รู้ ดูก็เห็น
วาทกรรม อวดโอ้ โชว์หน้าเป็น
กี่ประเด็น ก็เหมือนเก่า เล่าไปมา....
กลายเป็น..มลพิษสามานย์ ผ่านรูหู
พวกอวดรู้ โชว์สันดาน สุดด้านหนา
ดัดจริต เพ้อพร่ำ ทำมารยา
สาวกบ้า สมองฝ่อ ก็คล้อยตาม....
ดีแต่พูด ดีแต่เห่า เล่าเรื่องเท็จ
โกหกเสร็จ ก็ยียวน ชวนกันพล่าม
ดีใส่ตัว ชั่วโยนไป โคตรใจทราม
เสียงประณาม ก่นด่า ว่าอัปรีย์....
พูดส่ิิอเสียด หยาบคาย ทำลายประสาท
คนอุบาทว์ จากพรรคชั่ว ตัวบัดสี
ขาดจริยธรรม ต่ำ-ถ่อย คอยราวี
เสี้ยวเศษหนึ่ง ของเรื่องดี ไม่มีเลย....
โรคระบาด ลามทั่ว ทุกหัวระแหง
ยิ่งตะแบง ยิ่งโชว์โง่ โอ้อกเอ๋ย
เห็นทาสแท้ ยิ่งตอกย้ำ ต่ำกว่าเคย
พอเฉลย ตอนจบ..นับศพไม่ทัน....
๓ บลา / ๓๐ พ.ย.๕๕
ก็แค่..เอานิทาน เรื่องเ่่ก่า มาเล่าไป
ใครเป็นใคร ต่างก็รู้ ดูก็เห็น
วาทกรรม อวดโอ้ โชว์หน้าเป็น
กี่ประเด็น ก็เหมือนเก่า เล่าไปมา....
กลายเป็น..มลพิษสามานย์ ผ่านรูหู
พวกอวดรู้ โชว์สันดาน สุดด้านหนา
ดัดจริต เพ้อพร่ำ ทำมารยา
สาวกบ้า สมองฝ่อ ก็คล้อยตาม....
ดีแต่พูด ดีแต่เห่า เล่าเรื่องเท็จ
โกหกเสร็จ ก็ยียวน ชวนกันพล่าม
ดีใส่ตัว ชั่วโยนไป โคตรใจทราม
เสียงประณาม ก่นด่า ว่าอัปรีย์....
พูดส่ิิอเสียด หยาบคาย ทำลายประสาท
คนอุบาทว์ จากพรรคชั่ว ตัวบัดสี
ขาดจริยธรรม ต่ำ-ถ่อย คอยราวี
เสี้ยวเศษหนึ่ง ของเรื่องดี ไม่มีเลย....
โรคระบาด ลามทั่ว ทุกหัวระแหง
ยิ่งตะแบง ยิ่งโชว์โง่ โอ้อกเอ๋ย
เห็นทาสแท้ ยิ่งตอกย้ำ ต่ำกว่าเคย
พอเฉลย ตอนจบ..นับศพไม่ทัน....
๓ บลา / ๓๐ พ.ย.๕๕
แกรมมี่ดึง "นีโน่" ลุยรายการ "กินกับเจ้า"
ที่มา go6tv
30 พฤศจิกายน 2555 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม GMM ONE (ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่) เตรียมออกอากาศรายการ "กินกับเจ้า" เนื้อหาของรายการเป็นการนำเสนอไลฟ์สไตล์ของผู้คนในสังคมชั้นสูง อาทิ ผู้ที่มีฐานันดรศักดิ์ในระดับหม่อมราชวงศ์ หรือหม่อมหลวง ดำเนินรายการโดย นายเมทนี บุรณศิริ (นีโน่) ทั้งนี้รายการดังกล่าวยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแต่คาดว่าจะถูกออก อากาศตอนแรกในช่วงเดือนมกราคม 2556
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ต้นตระกูล “บุรณศิริ” สืบเชื้อสายจากพราหมณ์เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย เข้ารับราชการในประเทศไทยตั้งแต่สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุง ศรีอยุธยา โดยในช่วงรัชกาลที่ 4 ต้นตระกูล “บุรณศิริ” ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “เจ้าพระยาธรรมกรณาธิบดี” เสนาบดีกระทรวงวัง ต่อมาเมื่อชราได้รับพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯเปลี่ยนราชทินนามเป็น “เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี” ในแผ่นดินถัดมา รัชสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เจ้าพระยาสุรธรรมมนตรีได้ขอพระราชทานนามสกุลจากรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานนามสกุล “บุรณศิริ” และใช้สืบมาจนถึงปัจจุบัน
30 พฤศจิกายน 2555 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม GMM ONE (ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่) เตรียมออกอากาศรายการ "กินกับเจ้า" เนื้อหาของรายการเป็นการนำเสนอไลฟ์สไตล์ของผู้คนในสังคมชั้นสูง อาทิ ผู้ที่มีฐานันดรศักดิ์ในระดับหม่อมราชวงศ์ หรือหม่อมหลวง ดำเนินรายการโดย นายเมทนี บุรณศิริ (นีโน่) ทั้งนี้รายการดังกล่าวยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแต่คาดว่าจะถูกออก อากาศตอนแรกในช่วงเดือนมกราคม 2556
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ต้นตระกูล “บุรณศิริ” สืบเชื้อสายจากพราหมณ์เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย เข้ารับราชการในประเทศไทยตั้งแต่สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุง ศรีอยุธยา โดยในช่วงรัชกาลที่ 4 ต้นตระกูล “บุรณศิริ” ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “เจ้าพระยาธรรมกรณาธิบดี” เสนาบดีกระทรวงวัง ต่อมาเมื่อชราได้รับพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯเปลี่ยนราชทินนามเป็น “เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี” ในแผ่นดินถัดมา รัชสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เจ้าพระยาสุรธรรมมนตรีได้ขอพระราชทานนามสกุลจากรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานนามสกุล “บุรณศิริ” และใช้สืบมาจนถึงปัจจุบัน
ตอบข้อวิจารณ์ของ ‘สมณะโพธิรักษ์’
ที่มา ประชาไท
ตามที่ท่านสมณะโพธิรักษ์นำบทความของผม ชื่อ “สันติอโศก ณ ตำแหน่งพุทธศาสนาเป็นอิสระจากรัฐ บนเส้นทางศาสนากับ ปชต.” (http://www.prachatai.com/journal/2012/11/43884) ไปวิจารณ์ในรายการ “สงครามสังคมธรรมะการเมือง ตอนวิพากษ์สันติอโศก บนเส้นทางศาสนากับ ปชต.” ทาง fmtv เมื่อ 27 พ.ย.55 ที่ผ่านมา (http://www.youtube.com/watch?v=xT8oWTdkcJY)
นับเป็นเรื่องดีที่ชาวสันติอโศก “แฟร์”
กับการนำความเห็นต่างไปเผยแพร่ในชุมชนของตนเองโดยไม่ตัดทอน
และวิจารณ์ด้วยเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา
ผมเห็นว่าข้อวิจารณ์ของท่านสมณะโพธิรักษ์ มี “บางประเด็น”
ที่ควรนำมาแลกเปลี่ยนเพื่อให้ท่านผู้อ่านนำไปช่วยกันคิดต่อ
1) ปัญหาเรื่อง “ความเสมอภาค” (Equality) ท่านสมณะโพธิรักษ์ ยกข้อความในบทความมาว่า
ในขณะเดียวกันบุคคลทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นผู้ทรงศีลธรรมใดๆ เมื่อออกมายืนอยู่ใน “พื้นที่ทางการเมือง” ทุกคนคือ “คนเหมือนกัน” ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์ทางศีลธรรมที่คนอื่นๆ จะต้องเชื่อฟังหรือยำเกรงเป็นพิเศษ พระไม่ใช่เป็นเพียงผู้สอนอยู่ฝ่ายเดียว แต่ต้องยอมรับการถูกเถียง ถูกด่า ถูกประณามได้ด้วย...
แล้วท่านก็วิจารณ์ว่า “เสมอภาคแบบนี้ไม่ถูกต้อง เพราะไปคิดว่าทุกคนเท่ากันหมด มีเงินเท่ากัน มีบ้านหลังใหญ่เท่ากัน มีความเป็นอยู่เหมือนกันหมด ต้องบังคับให้อะไรๆ เท่ากันหมด ก้อนกรวดต้องเท่ากัน บังคับให้ต้นไม้ต้องสูงเตี้ยเท่ากัน จะไปบังคับให้เป็นอย่างนั้นคงไม่ได้”
แสดงว่าท่านสมณะโพธิรักษ์ไม่เข้าใจประโยคว่า “ทุกคนคือคนเหมือนกัน” ประโยคนี้ (และข้อความทั้งหมดนั้น) ไม่ได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงว่า คนเรานั้นมีสูง ต่ำ ดำ ขาว เพศ ศาสนา ภาษา ฐานะทางเศรษฐกิจ สถานภาพพ่อ แม่ ลูก ฯลฯ ต่างกัน แต่คือการยืนยันว่า แม้คนจะต่างกันในด้านคุณสมบัติต่างๆ ดังกล่าว แต่ “ทุกคนมีความเป็นคนเหมือนกัน” ฉะนั้น จึงไม่มีใครควรมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นโดยการอ้างสถานะต่างๆ เช่น ความเป็นพระ ความเป็นผู้ทรงศีลธรรม ชาติกำเนิด เป็นต้น
เช่น ตอนนี้ผมเถียงท่านสมณะโพธิรักษ์ ผมเถียงในฐานะ “คนเหมือนกัน” หรือในฐานะเรามีความเป็นคนเท่ากัน แม้สถานะทางสังคมเราจะต่างกัน ผมเจอท่านสมณะโพธิรักษ์ ผมก็ยกมือไหว้ นับถือสถานภาพความเป็นพระของท่าน แต่ผมไม่เอาสถานะความเป็นพระของท่านมาเป็นอุปสรรคที่ผมจะเถียงกับท่านด้วย เหตุผลอย่างตรงไปตรงมาและอย่างถึงที่สุด และท่านเองก็ไม่มีอภิสิทธิ์อ้างสถานะของพระมาห้ามไม่ให้ผมเถียง หรือต้องเชื่อท่านเป็นต้น นี่คือความหมายของ “ความเสมอภาค” คือความหมายของความเสมอภาคในเสรีภาพในการแสดงออก (freedom of expressions) ซึ่งในกรณีนี้คือการแสดงความคิดเห็น และแน่นอนว่า ในพื้นที่ทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตยทุกคนย่อมมีความเสมอภาคในเสรีภาพใน การแสดงออก
อธิบายเพิ่มอีก ที่ว่าเราต่างเป็น “คนเหมือนกัน” นั้น หมายความว่า “ความเป็นคน” คือ “คุณสมบัติสากล” ที่เราแต่ละคนมีเหมือนกัน แม้ว่าเราจะมีเพศ ผิว สถานภาพทางสังคม ฯลฯ ต่างกัน ความเป็นคนที่เป็นคุณสมบัติสากลที่เรามีเหมือนกันนี้อาจมองต่างกันไป เช่น นักปรัชญาบางคนมองว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล” หมายความว่า เหตุผลคือคุณสมบัติสากลที่มนุษย์มีร่วมกัน หรือบางคนบอกว่า คุณสมบัติสากลของมนุษย์คือ “เสรีภาพ” บางคนบอกว่า มนุษย์มีศักดิ์ศรีในตัวเองเสมอกัน เป็นต้น ถ้ามองในแง่พุทธศาสนา ความเป็นคนที่เรามีเสมอกันคือ “โพธิปัญญา” (ปัญญาตรัสรู้ ศักยภาพที่จะรู้สัจธรรม) หรือมหายานเรียกว่า “พุทธภาวะ” สิ่งนี้คือคุณค่าภายใน (intrinsic value) ที่มนุษย์มีร่วมกัน ไม่ว่าเขาจะมีคุณสมบัติภายนอกต่างกันอย่างไร
แต่ไม่ว่าเราจะอ้างอะไรว่าเป็นคุณสมบัติสากลที่ทำให้เรามีความ เป็นคนเหมือนกันก็ตาม ความเป็นคนเหมือนกันนั้น คือรากฐานของการกำหนดกติตาทางสังคมการเมืองเพื่อรับรองความเสมอภาคในด้าน ต่างๆ ของเรา เช่น ความเสมอภาคในเสรีภาพการแสดงออก การนับถือศาสนา การเข้าถึงบริการสาธารณะ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ฯลฯ
ทว่าคำอธิบายของสมณะโพธิรักษ์ที่ว่า “ถ้าเป็นอภิสิทธ์หรืออำนาจที่ใครสร้างขึ้นมาเอง หรือตั้งตนเองให้มีอภิสิทธิ์มีอำนาจขึ้นมาแล้วไปบังคับคนอื่นๆ อย่างนี้ไม่ใช่ความเสมอภาค แต่ถ้าเป็นอภิสิทธิ์หรืออำนาจที่คนอื่นเขายกให้ เพราะคนนั้นทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ มีความชอบธรรม ก็เป็นความเสมอภาค” ทัศนะเช่นนี้มีปัญหา เพราะถ้าในระบบสังคมการเมืองใดๆ ยกให้คนบางคนบางกลุ่มมี “อภิสิทธิ์” เหนือคนอื่นๆ แล้วจะเรียกว่ามีความเสมอภาคได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอภิสิทธิ์ในความหมายใดๆ เช่น อภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบของสถาบันกษัตริย์ แม้จะอ้างว่า ทรงทศพิธราชธรรม หรือราษฎรยกให้ (ตามทฤษฎีอเนกนิกรสโมสรสมมติ) ก็ย่อมหมายถึง “ความไม่เสมอภาค” หรือไม่เท่าเทียมนั่นเอง
พูดอีกอย่างว่า ถ้าสังคมใดมีการกำหนดกติกาให้คนๆ หนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่งมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นๆ สังคมนั้นจะชื่อว่ามี “ความเสมอภาค” ตามหลักการประชาธิปไตยได้อย่างไร เพราะความเสมอภาคตามหลักการประชาธิปไตยย่อมหมายถึง ความเสมอภาคที่เป็นหลักการสากลที่ใช้ (apply) กับ “ทุกคน”
ในแง่พุทธศาสนา พุทธะเองก็ไม่ได้อ้างสถานะผู้ตรัสรู้ หรือสถานะศาสดาผู้ก่อตั้งสังฆะเพื่อให้ท่านเองมีอภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบ ของสังฆะ ไม่มีวิสัยสงฆ์ข้อไหนห้ามวิจารณ์ตรวจสอบพุทธะ อีกทั้งพุทธะยังขอให้สังฆะและชาวพุทธวิจารณ์ตรวจสอบท่านได้ด้วย ในสมัยพุทธกาลมีคนด่า กระทั่งลอบทำร้ายพุทธะ แต่ท่านกลับใช้เมตตาธรรม ไม่เคยบัญญัติวินัยสงฆ์ หรือให้รัฐออกกฎหมายเพื่อให้ท่านมีอภิสิทธิ์จากการด่า หรือการวิจารณ์ตรวจสอบของคนอื่นๆ
ทศพิธราชธรรมก็ไม่ใช่คุณธรรมสนับสนุนให้กษัตริย์มีอภิสิทธิ์อยู่ เหนือการวิจารณ์ตรวจสอบ พุทธศาสนาสอนทศพิธราชธรรมเพื่อเป็นมาตรฐานตรวจสอบ “ความชอบธรรม” ของผู้ปกครองไม่ใช่หรือ? ถ้าท่านสมณะโพธิรักษ์ยืนยันหลักการพุทธศาสนาในการต่อสู้ทางการเมือง ท่านควรยืนยันทศพิธราชธรรมในการวิจารณ์ตรวจสอบความชอบธรรมของผู้ปกครองไม่ ใช่หรือ?
2) ปัญหาเรื่อง “เสรีภาพ” (freedom) ท่านสมณะโพธิรักษ์กล่าวว่า “พระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม ทำความดีมากมาย ประชาชนเขาก็รู้ก็เห็น เขาก็มีเสรีภาพที่ยกให้สถาบันกษัตริย์มีอภิสิทธิ์” นี่แสดงว่าท่านไม่รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่า อภิสิทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้นของสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นผลจากการต่อสู้ระหว่างฝ่ายกษัตริย์นิยมกับฝ่ายประชาธิปไตย โดยฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายแพ้ตั้งแต่ทศวรรษ 2490 ปรีดี พนมยงค์ถูกใส่ร้ายเรื่องปลงพระชนม์ ร.8 มีแพะที่ถูกประหารชีวิตฟรี 3 คน จนต่อมาถึงยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหาร จากนั้นการยกย่องเชิดชูสถาบันกษัตริย์ การประชาสัมพันธ์ด้านเดียวเกี่ยวกับคุณวิเศษของสถาบันกษัตริย์ก็ทำกันอย่าง จริงจังมากขึ้น มีการเพิ่มโทษมาตรา 112 จากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำคุกสูงสุด 3 ปี ไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ เป็นจำคุกตั้งแต่ 3-7 ปี และหลังรัฐประหาร 6 ตุลา ก็เพิ่มเป็น 3-15 ปี
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายประชาธิปไตยต่างประสบชะตากรรมที่น่าเศร้า เช่น ปรีดีต้องไปตายต่างประเทศ ส.ส.อีสานหลายคนที่สนับสนุนคณะราษฎรถูกยิงเป้า ปัญญาชนหลายคน เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ นายผี หรืออัศนีย์ พลจันทร์ จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นต้น ไม่ไปตายต่างประเทศก็ถูกฆ่าในป่า ยังนักศึกษาที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยยุค 14 ตุลา 6 ตุลา นักศึกษาประชาชนยุคพฤษภา 35 จนมาถึงพฤษภา 53 ที่ต่อสู้เรียกร้องเสรีภาพ ความเสมอภาค ประชาธิปไตย ล้วนแต่ถูกปราบปรามเข่นฆ่าตายด้วยข้อหาไม่จงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือข้อหา “ขบวนการล้มเจ้า” ทั้งสิ้น
ถามว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ “ประชาชน” หรือครับ หากใช่ก็หมายความว่า คนเหล่านี้คือผู้ที่ไม่ยอมยกให้ใครมีอภิสิทธิ์ พวกเขาจึงต่อสู้ยืนยันหลักเสรีภาพ ความเสมอภาค หรือความเป็นประชาธิปไตย แต่ทำไมจึงฆ่าพวกเขา?
ความจริงแล้วที่ท่านสมณะโพธิรักษ์ว่า “ประชาชนเขาก็มีเสรีภาพที่ยกให้สถาบันกษัตริย์มีอภิสิทธิ์” พูดอย่างนี้ก็ขัดแย้งในตัวเองอีก เพราะการยกให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีอภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบนั้น เท่ากับไม่มี “เสรีภาพตามหลักการประชาธิปไตย” เพราะเสรีภาพตามหลักการประชาธิปไตยหมายถึงเสรีภาพที่ใช้อย่างสากล คือใช้กับ “ทุกคน” เช่น เสรีภาพในการวิจารณ์ตรวจสอบ หมายถึงเสรีภาพที่ใช้วิจารณ์ตรวจสอบทุกคนที่มีบทบาทสาธารณะ แต่ในสังคมไทยเรามีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบบุคคลสาธารณะตั้งแต่ระดับรัฐบาลลง มา ไม่มีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบสถาบันกษัตริย์ ก็แสดงว่าเราไม่เคยมี “เสรีภาพตามหลักการประชาธิปไตย” อยู่จริง เพราะเสรีภาพที่เรามีไม่สามารถใช้อย่างสากลหรือใช้กับทุกคนที่มีบทบาท สาธารณะได้จริง
3) บทบาทการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ผิดพลาด เพราะ ความไม่เข้าใจหลักความเสมอภาค และหลักเสรีภาพอันเป็นหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยดังกล่าว สมณะโพธิรักษ์และชาวสันติอโศก จึงวางบทบาทของกลุ่มตนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยผิดพลาด แทนที่จะต่อสู้เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ตุลาการให้อยู่ภายใต้หลักความเสมอภาค เสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยอย่างอารยประเทศ กลับสนับสนุนการอ้างสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ที่กล่าวหาว่านักการเมืองเลว ทุจริตคอร์รัปชัน ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่านักการเมืองเลว ทุจริตคอร์รัปชัน เพราะระบบกฎหมายเปิดให้เรามีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบได้ใช่หรือไม่? แล้วรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มอำนาจในเครือข่ายอำมาตย์ดี ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน ในเมื่อไม่เคยตรวจสอบ เพราะทั้งหลักกาลามสูตรและหลักวิทยาศาสตร์ล้วนยืนยันว่า “เราจะรู้ว่าอะไรจริง ก็ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่าจริง” ไม่ใช่เพียงเชื่อเอาเองจากการรับข้อมูลผ่านการประชาสัมพันธ์ด้านเดียว
ยกตัวอย่างเช่น ผมจะรู้ได้ว่าวิถีชีวิตของชาวสันติอโศกเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายสอดคล้อง กับหลักการพุทธศาสนาหรือไม่ ก็ต่อเมื่อผมมีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบ ชี้จุดแข็ง จุดอ่อน นำข้อมูลด้านตรงกันข้ามมาเปรียบเทียบประเมินตัดสินได้ แต่ถ้ามีกฎหมายห้ามไม่ให้ผมมีเสรีภาพดังกล่าว ฟังแค่ข้อมูลโฆษณาด้านดีงามเพียงด้านเดียว ผมย่อมไม่สามารถรู้ “ความจริง” ได้ว่า สันติอโศกดีจริงๆ อย่างมากก็แค่ “เชื่อ” เอาเองว่าดีหรือไม่ดีเท่านั้นเอง
ฉะนั้น หากท่านสมณะโพธิรักษ์และสันติอโศกยืนยันว่า ตนเองต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็ต้องต่อสู้ยืนยันการใช้หลักความเสมอภาคและหลักเสรีภาพในการวิจารณ์ตรวจสอบ สถาบันกษัตริย์และเครือข่ายอำนาจรอบๆ สถาบันกษัตริย์ใน “มาตรฐานเดียวกัน” กับที่ตรวจสอบนักการเมือง หรือทุกคนที่มีบทบาทสาธารณะ จึงจะนับได้ว่าซื่อสัตย์ต่อหลักการประชาธิปไตย
แต่บทบาททางการเมืองของชาวอโศกที่ผ่านมา หาใช่การต่อสู้เพื่อยืนยันเช่นนั้นไม่ ต่อให้วันหนึ่งชาวอโศกทำสำเร็จกระทั่งว่าไม่มีนักการเมืองโกงเลย แต่ยังคงระบบกฎหมายที่ยกเว้นไม่ตรวจสอบสถาบันกษัตริย์และอำนาจเครือข่าย ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศนี้ได้เป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด ทว่าจะเป็นประเทศที่มี “สองมาตรฐาน” ในการตรวจสอบอยู่ตลอดไป
และ “ระบบสองมาตรฐานในการตรวจสอบ” เช่นนี้เองที่เป็นสาเหตุหลักให้ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตในวงการนักการ เมืองและทุกวงการให้ลดลงได้จริง นี่คือความไม่เป็นธรรม นี่คือความไม่เป็นประชาธิปไตย แนวทางของสันติอโศกที่เดินตาม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ร่วมกับพันธมิตรและองค์การพิทักษ์สยาม คือ “แนวทางรักษาระบบสองมาตรฐานในการตรวจสอบ” อันเป็นรากฐานของความอยุติธรรม และความไม่เป็นประชาธิปไตยให้ดำรงอยู่ต่อไป
พุทธศาสนาสอนให้เรามีปัญญา กรุณา มีจิตใจบริสุทธิ์และซื่อตรง แต่บทบาททางการเมืองที่เป็นไปเพื่อปกป้อง “ระบบสองมาตรฐานในการตรวจสอบ” ดังกล่าว ทั้งโดยตรงและโดยปริยาย หาใช่วิถีแห่งปัญญา กรุณา และซื่อตรงไม่!
ปล.การอ้างคำพูดท่านสมณะโพธิรักษ์ไม่ใช่การอ้างแบบคำต่อคำ เป็นการ “เก็บความ” แต่ผมมั่นใจว่าไม่ผิดความหมายที่ท่านพูด
สุรพศ ทวีศักดิ์
1) ปัญหาเรื่อง “ความเสมอภาค” (Equality) ท่านสมณะโพธิรักษ์ ยกข้อความในบทความมาว่า
ในขณะเดียวกันบุคคลทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นผู้ทรงศีลธรรมใดๆ เมื่อออกมายืนอยู่ใน “พื้นที่ทางการเมือง” ทุกคนคือ “คนเหมือนกัน” ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์ทางศีลธรรมที่คนอื่นๆ จะต้องเชื่อฟังหรือยำเกรงเป็นพิเศษ พระไม่ใช่เป็นเพียงผู้สอนอยู่ฝ่ายเดียว แต่ต้องยอมรับการถูกเถียง ถูกด่า ถูกประณามได้ด้วย...
แล้วท่านก็วิจารณ์ว่า “เสมอภาคแบบนี้ไม่ถูกต้อง เพราะไปคิดว่าทุกคนเท่ากันหมด มีเงินเท่ากัน มีบ้านหลังใหญ่เท่ากัน มีความเป็นอยู่เหมือนกันหมด ต้องบังคับให้อะไรๆ เท่ากันหมด ก้อนกรวดต้องเท่ากัน บังคับให้ต้นไม้ต้องสูงเตี้ยเท่ากัน จะไปบังคับให้เป็นอย่างนั้นคงไม่ได้”
แสดงว่าท่านสมณะโพธิรักษ์ไม่เข้าใจประโยคว่า “ทุกคนคือคนเหมือนกัน” ประโยคนี้ (และข้อความทั้งหมดนั้น) ไม่ได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงว่า คนเรานั้นมีสูง ต่ำ ดำ ขาว เพศ ศาสนา ภาษา ฐานะทางเศรษฐกิจ สถานภาพพ่อ แม่ ลูก ฯลฯ ต่างกัน แต่คือการยืนยันว่า แม้คนจะต่างกันในด้านคุณสมบัติต่างๆ ดังกล่าว แต่ “ทุกคนมีความเป็นคนเหมือนกัน” ฉะนั้น จึงไม่มีใครควรมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นโดยการอ้างสถานะต่างๆ เช่น ความเป็นพระ ความเป็นผู้ทรงศีลธรรม ชาติกำเนิด เป็นต้น
เช่น ตอนนี้ผมเถียงท่านสมณะโพธิรักษ์ ผมเถียงในฐานะ “คนเหมือนกัน” หรือในฐานะเรามีความเป็นคนเท่ากัน แม้สถานะทางสังคมเราจะต่างกัน ผมเจอท่านสมณะโพธิรักษ์ ผมก็ยกมือไหว้ นับถือสถานภาพความเป็นพระของท่าน แต่ผมไม่เอาสถานะความเป็นพระของท่านมาเป็นอุปสรรคที่ผมจะเถียงกับท่านด้วย เหตุผลอย่างตรงไปตรงมาและอย่างถึงที่สุด และท่านเองก็ไม่มีอภิสิทธิ์อ้างสถานะของพระมาห้ามไม่ให้ผมเถียง หรือต้องเชื่อท่านเป็นต้น นี่คือความหมายของ “ความเสมอภาค” คือความหมายของความเสมอภาคในเสรีภาพในการแสดงออก (freedom of expressions) ซึ่งในกรณีนี้คือการแสดงความคิดเห็น และแน่นอนว่า ในพื้นที่ทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตยทุกคนย่อมมีความเสมอภาคในเสรีภาพใน การแสดงออก
อธิบายเพิ่มอีก ที่ว่าเราต่างเป็น “คนเหมือนกัน” นั้น หมายความว่า “ความเป็นคน” คือ “คุณสมบัติสากล” ที่เราแต่ละคนมีเหมือนกัน แม้ว่าเราจะมีเพศ ผิว สถานภาพทางสังคม ฯลฯ ต่างกัน ความเป็นคนที่เป็นคุณสมบัติสากลที่เรามีเหมือนกันนี้อาจมองต่างกันไป เช่น นักปรัชญาบางคนมองว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล” หมายความว่า เหตุผลคือคุณสมบัติสากลที่มนุษย์มีร่วมกัน หรือบางคนบอกว่า คุณสมบัติสากลของมนุษย์คือ “เสรีภาพ” บางคนบอกว่า มนุษย์มีศักดิ์ศรีในตัวเองเสมอกัน เป็นต้น ถ้ามองในแง่พุทธศาสนา ความเป็นคนที่เรามีเสมอกันคือ “โพธิปัญญา” (ปัญญาตรัสรู้ ศักยภาพที่จะรู้สัจธรรม) หรือมหายานเรียกว่า “พุทธภาวะ” สิ่งนี้คือคุณค่าภายใน (intrinsic value) ที่มนุษย์มีร่วมกัน ไม่ว่าเขาจะมีคุณสมบัติภายนอกต่างกันอย่างไร
แต่ไม่ว่าเราจะอ้างอะไรว่าเป็นคุณสมบัติสากลที่ทำให้เรามีความ เป็นคนเหมือนกันก็ตาม ความเป็นคนเหมือนกันนั้น คือรากฐานของการกำหนดกติตาทางสังคมการเมืองเพื่อรับรองความเสมอภาคในด้าน ต่างๆ ของเรา เช่น ความเสมอภาคในเสรีภาพการแสดงออก การนับถือศาสนา การเข้าถึงบริการสาธารณะ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ฯลฯ
ทว่าคำอธิบายของสมณะโพธิรักษ์ที่ว่า “ถ้าเป็นอภิสิทธ์หรืออำนาจที่ใครสร้างขึ้นมาเอง หรือตั้งตนเองให้มีอภิสิทธิ์มีอำนาจขึ้นมาแล้วไปบังคับคนอื่นๆ อย่างนี้ไม่ใช่ความเสมอภาค แต่ถ้าเป็นอภิสิทธิ์หรืออำนาจที่คนอื่นเขายกให้ เพราะคนนั้นทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ มีความชอบธรรม ก็เป็นความเสมอภาค” ทัศนะเช่นนี้มีปัญหา เพราะถ้าในระบบสังคมการเมืองใดๆ ยกให้คนบางคนบางกลุ่มมี “อภิสิทธิ์” เหนือคนอื่นๆ แล้วจะเรียกว่ามีความเสมอภาคได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอภิสิทธิ์ในความหมายใดๆ เช่น อภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบของสถาบันกษัตริย์ แม้จะอ้างว่า ทรงทศพิธราชธรรม หรือราษฎรยกให้ (ตามทฤษฎีอเนกนิกรสโมสรสมมติ) ก็ย่อมหมายถึง “ความไม่เสมอภาค” หรือไม่เท่าเทียมนั่นเอง
พูดอีกอย่างว่า ถ้าสังคมใดมีการกำหนดกติกาให้คนๆ หนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่งมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นๆ สังคมนั้นจะชื่อว่ามี “ความเสมอภาค” ตามหลักการประชาธิปไตยได้อย่างไร เพราะความเสมอภาคตามหลักการประชาธิปไตยย่อมหมายถึง ความเสมอภาคที่เป็นหลักการสากลที่ใช้ (apply) กับ “ทุกคน”
ในแง่พุทธศาสนา พุทธะเองก็ไม่ได้อ้างสถานะผู้ตรัสรู้ หรือสถานะศาสดาผู้ก่อตั้งสังฆะเพื่อให้ท่านเองมีอภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบ ของสังฆะ ไม่มีวิสัยสงฆ์ข้อไหนห้ามวิจารณ์ตรวจสอบพุทธะ อีกทั้งพุทธะยังขอให้สังฆะและชาวพุทธวิจารณ์ตรวจสอบท่านได้ด้วย ในสมัยพุทธกาลมีคนด่า กระทั่งลอบทำร้ายพุทธะ แต่ท่านกลับใช้เมตตาธรรม ไม่เคยบัญญัติวินัยสงฆ์ หรือให้รัฐออกกฎหมายเพื่อให้ท่านมีอภิสิทธิ์จากการด่า หรือการวิจารณ์ตรวจสอบของคนอื่นๆ
ทศพิธราชธรรมก็ไม่ใช่คุณธรรมสนับสนุนให้กษัตริย์มีอภิสิทธิ์อยู่ เหนือการวิจารณ์ตรวจสอบ พุทธศาสนาสอนทศพิธราชธรรมเพื่อเป็นมาตรฐานตรวจสอบ “ความชอบธรรม” ของผู้ปกครองไม่ใช่หรือ? ถ้าท่านสมณะโพธิรักษ์ยืนยันหลักการพุทธศาสนาในการต่อสู้ทางการเมือง ท่านควรยืนยันทศพิธราชธรรมในการวิจารณ์ตรวจสอบความชอบธรรมของผู้ปกครองไม่ ใช่หรือ?
2) ปัญหาเรื่อง “เสรีภาพ” (freedom) ท่านสมณะโพธิรักษ์กล่าวว่า “พระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม ทำความดีมากมาย ประชาชนเขาก็รู้ก็เห็น เขาก็มีเสรีภาพที่ยกให้สถาบันกษัตริย์มีอภิสิทธิ์” นี่แสดงว่าท่านไม่รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่า อภิสิทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้นของสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นผลจากการต่อสู้ระหว่างฝ่ายกษัตริย์นิยมกับฝ่ายประชาธิปไตย โดยฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายแพ้ตั้งแต่ทศวรรษ 2490 ปรีดี พนมยงค์ถูกใส่ร้ายเรื่องปลงพระชนม์ ร.8 มีแพะที่ถูกประหารชีวิตฟรี 3 คน จนต่อมาถึงยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหาร จากนั้นการยกย่องเชิดชูสถาบันกษัตริย์ การประชาสัมพันธ์ด้านเดียวเกี่ยวกับคุณวิเศษของสถาบันกษัตริย์ก็ทำกันอย่าง จริงจังมากขึ้น มีการเพิ่มโทษมาตรา 112 จากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำคุกสูงสุด 3 ปี ไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ เป็นจำคุกตั้งแต่ 3-7 ปี และหลังรัฐประหาร 6 ตุลา ก็เพิ่มเป็น 3-15 ปี
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายประชาธิปไตยต่างประสบชะตากรรมที่น่าเศร้า เช่น ปรีดีต้องไปตายต่างประเทศ ส.ส.อีสานหลายคนที่สนับสนุนคณะราษฎรถูกยิงเป้า ปัญญาชนหลายคน เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ นายผี หรืออัศนีย์ พลจันทร์ จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นต้น ไม่ไปตายต่างประเทศก็ถูกฆ่าในป่า ยังนักศึกษาที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยยุค 14 ตุลา 6 ตุลา นักศึกษาประชาชนยุคพฤษภา 35 จนมาถึงพฤษภา 53 ที่ต่อสู้เรียกร้องเสรีภาพ ความเสมอภาค ประชาธิปไตย ล้วนแต่ถูกปราบปรามเข่นฆ่าตายด้วยข้อหาไม่จงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือข้อหา “ขบวนการล้มเจ้า” ทั้งสิ้น
ถามว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ “ประชาชน” หรือครับ หากใช่ก็หมายความว่า คนเหล่านี้คือผู้ที่ไม่ยอมยกให้ใครมีอภิสิทธิ์ พวกเขาจึงต่อสู้ยืนยันหลักเสรีภาพ ความเสมอภาค หรือความเป็นประชาธิปไตย แต่ทำไมจึงฆ่าพวกเขา?
ความจริงแล้วที่ท่านสมณะโพธิรักษ์ว่า “ประชาชนเขาก็มีเสรีภาพที่ยกให้สถาบันกษัตริย์มีอภิสิทธิ์” พูดอย่างนี้ก็ขัดแย้งในตัวเองอีก เพราะการยกให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีอภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบนั้น เท่ากับไม่มี “เสรีภาพตามหลักการประชาธิปไตย” เพราะเสรีภาพตามหลักการประชาธิปไตยหมายถึงเสรีภาพที่ใช้อย่างสากล คือใช้กับ “ทุกคน” เช่น เสรีภาพในการวิจารณ์ตรวจสอบ หมายถึงเสรีภาพที่ใช้วิจารณ์ตรวจสอบทุกคนที่มีบทบาทสาธารณะ แต่ในสังคมไทยเรามีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบบุคคลสาธารณะตั้งแต่ระดับรัฐบาลลง มา ไม่มีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบสถาบันกษัตริย์ ก็แสดงว่าเราไม่เคยมี “เสรีภาพตามหลักการประชาธิปไตย” อยู่จริง เพราะเสรีภาพที่เรามีไม่สามารถใช้อย่างสากลหรือใช้กับทุกคนที่มีบทบาท สาธารณะได้จริง
3) บทบาทการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ผิดพลาด เพราะ ความไม่เข้าใจหลักความเสมอภาค และหลักเสรีภาพอันเป็นหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยดังกล่าว สมณะโพธิรักษ์และชาวสันติอโศก จึงวางบทบาทของกลุ่มตนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยผิดพลาด แทนที่จะต่อสู้เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ตุลาการให้อยู่ภายใต้หลักความเสมอภาค เสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยอย่างอารยประเทศ กลับสนับสนุนการอ้างสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ที่กล่าวหาว่านักการเมืองเลว ทุจริตคอร์รัปชัน ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่านักการเมืองเลว ทุจริตคอร์รัปชัน เพราะระบบกฎหมายเปิดให้เรามีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบได้ใช่หรือไม่? แล้วรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มอำนาจในเครือข่ายอำมาตย์ดี ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน ในเมื่อไม่เคยตรวจสอบ เพราะทั้งหลักกาลามสูตรและหลักวิทยาศาสตร์ล้วนยืนยันว่า “เราจะรู้ว่าอะไรจริง ก็ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่าจริง” ไม่ใช่เพียงเชื่อเอาเองจากการรับข้อมูลผ่านการประชาสัมพันธ์ด้านเดียว
ยกตัวอย่างเช่น ผมจะรู้ได้ว่าวิถีชีวิตของชาวสันติอโศกเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายสอดคล้อง กับหลักการพุทธศาสนาหรือไม่ ก็ต่อเมื่อผมมีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบ ชี้จุดแข็ง จุดอ่อน นำข้อมูลด้านตรงกันข้ามมาเปรียบเทียบประเมินตัดสินได้ แต่ถ้ามีกฎหมายห้ามไม่ให้ผมมีเสรีภาพดังกล่าว ฟังแค่ข้อมูลโฆษณาด้านดีงามเพียงด้านเดียว ผมย่อมไม่สามารถรู้ “ความจริง” ได้ว่า สันติอโศกดีจริงๆ อย่างมากก็แค่ “เชื่อ” เอาเองว่าดีหรือไม่ดีเท่านั้นเอง
ฉะนั้น หากท่านสมณะโพธิรักษ์และสันติอโศกยืนยันว่า ตนเองต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็ต้องต่อสู้ยืนยันการใช้หลักความเสมอภาคและหลักเสรีภาพในการวิจารณ์ตรวจสอบ สถาบันกษัตริย์และเครือข่ายอำนาจรอบๆ สถาบันกษัตริย์ใน “มาตรฐานเดียวกัน” กับที่ตรวจสอบนักการเมือง หรือทุกคนที่มีบทบาทสาธารณะ จึงจะนับได้ว่าซื่อสัตย์ต่อหลักการประชาธิปไตย
แต่บทบาททางการเมืองของชาวอโศกที่ผ่านมา หาใช่การต่อสู้เพื่อยืนยันเช่นนั้นไม่ ต่อให้วันหนึ่งชาวอโศกทำสำเร็จกระทั่งว่าไม่มีนักการเมืองโกงเลย แต่ยังคงระบบกฎหมายที่ยกเว้นไม่ตรวจสอบสถาบันกษัตริย์และอำนาจเครือข่าย ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศนี้ได้เป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด ทว่าจะเป็นประเทศที่มี “สองมาตรฐาน” ในการตรวจสอบอยู่ตลอดไป
และ “ระบบสองมาตรฐานในการตรวจสอบ” เช่นนี้เองที่เป็นสาเหตุหลักให้ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตในวงการนักการ เมืองและทุกวงการให้ลดลงได้จริง นี่คือความไม่เป็นธรรม นี่คือความไม่เป็นประชาธิปไตย แนวทางของสันติอโศกที่เดินตาม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ร่วมกับพันธมิตรและองค์การพิทักษ์สยาม คือ “แนวทางรักษาระบบสองมาตรฐานในการตรวจสอบ” อันเป็นรากฐานของความอยุติธรรม และความไม่เป็นประชาธิปไตยให้ดำรงอยู่ต่อไป
พุทธศาสนาสอนให้เรามีปัญญา กรุณา มีจิตใจบริสุทธิ์และซื่อตรง แต่บทบาททางการเมืองที่เป็นไปเพื่อปกป้อง “ระบบสองมาตรฐานในการตรวจสอบ” ดังกล่าว ทั้งโดยตรงและโดยปริยาย หาใช่วิถีแห่งปัญญา กรุณา และซื่อตรงไม่!
ปล.การอ้างคำพูดท่านสมณะโพธิรักษ์ไม่ใช่การอ้างแบบคำต่อคำ เป็นการ “เก็บความ” แต่ผมมั่นใจว่าไม่ผิดความหมายที่ท่านพูด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)