27 พฤศจิกายน, 2012 - 12:54 | โดย kasian
นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ผมรับได้ในทางการเมือง
เป็นการใช้อำนาจรัฐและเงินงบประมาณรัฐแทรกแซงขนานใหญ่เข้าไปในตลาดข้าว
ทำให้รัฐกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่สุด เป้าหมายเพื่อ "เกลี่ย" ผลประโยชน์การค้าข้าวที่เคยจัดสรรแบ่งกันแต่เดิมในหมู่กลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเสียใหม่ โดยให้ประโยชน์กับชาวนาบางกลุ่มมากขึ้น ซึ่งก็ย่อมมีผู้เสียประโยชน์ ไม่พอใจและพยายามต่อต้านคัดค้าน เช่น ผู้ส่งออกข้าว เป็นต้น ต้นทุน/ผลได้การเมืองเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องชั่งวัดน้ำหนักทางสังคมและรัฐบาลคงต้องจ่าย/ได้คะแนนในทางการเมือง
นั่นแปลว่าข้ออ้างคำโตแค่ว่าตลาดข้าวหรือตลาดสินค้า/บริการ
ด้านใดด้านหนึ่งเป็นระเบียบศักดิ์สิทธิ์
ห้ามรัฐยุ่งเกี่ยวแตะต้องสภาพดังที่เป็นอยู่
อันเป็นข้อถกเถียงแบบฉบับของเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมกระแสหลักที่ระแวงการเมือง
เกลียดรัฐแทรกแซง แบบตายตัวบ้องตื้นนั้น ฟังไม่ขึ้น
มิพักต้องยกมากรอกหูอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในแง่เศรษฐกิจและการบริหารจัดการ
นโยบายจำนำข้าวแบบที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำ มีจุดอ่อนอยู่ และเสี่ยงสูง
(แบบฉบับทักษิณ) คือเครื่องมือแทรกแซงได้แก่เงินงบประมาณส่วนรวม และก้อนโต
ไม่น่าจะทำได้ต่อเนื่องยาวนาน เมื่อทำแล้ว กระทบทำให้ตลาดข้าวเปลี่ยน "ระเบียบเก่า" ทรุดโทรมไป ขณะที่ "ระเบียบใหม่" ยังไม่ลงตัวและอาจไม่ยืนนาน กล่าว
คือ มีจุดอ่อนรั่วไหลเยอะ ต้นทุนจะสูงกว่าที่ควรจะเป็น
และการยืนนานของนโยบายนี้ไม่แน่ไม่นอนว่ารัฐจะทนควักกระเป้าแทรกแซงเพื่อ
"เกลี่ย" ผลประโยชน์ใหม่ไปอีกนานเท่าไร
มองเป็น package ทั้งชุด นี่ก็เป็นแนวนโยบายแบบฉบับทักษิณ
คือใช้อำนาจรัฐแทรกแซงเศรษฐกิจ จัดการ "เกลี่ย"
ผลประโยชน์ในภาคส่วนเศรษฐกิจต่าง ๆ ระหว่างผู้มีส่วนได้เสียกันใหม่
เพื่อปฏิรูปมันไปในทิศทางที่ได้คะแนนเสียงทางการเมือง
แต่มีต้นทุนทางเศรษฐกิจของบางฝ่ายเฉพาะหน้าซึ่งพวกเขาย่อมออกมาต่อต้านคัด
ค้าน ที่ทำก็ด้วยคำอธิบายว่าจะเอื้อเฟื้อต่อการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ
และสังคมในระยะยาว (ยุทธศาสตร์ส่งออกสินค้าถูกแรงงานถูกหมดอนาคตแล้ว
ต้องเสริมสร้างตลาดภายใน เพิ่มกำลังซื้อ กระตุ้นอุปสงค์
หรือเพิ่มสมรรถนะทางเศรษฐกิจสังคมของคนส่วนมากบางกลุ่มบางชนชั้น เป็นต้น) ไม่
ว่านโยบายจำนำข้าวที่เอื้อประโยชน์ชาวนากลาง, ขึ้นค่าแรงเป็น 300
บาท/วันทั่วประเทศที่เอื้อประโยชน์กรรมกรในอุตสาหกรรมย่อยและกลาง เป็นต้น
มันเสี่ยงสูงและหักหาญและจะกระทบกลุ่มผลประโยชน์สำคัญและถูกต่อต้านเยอะ
พูดอีกอย่าง ยุคของระบอบนโยบายแน่นอนตายตัวคาดการณ์ได้ที่วางอยู่
บนการจัดแบ่งผลประโยชน์อย่างที่เคยเป็นมา
และรองรับด้วยฐานเสียงสนับสนุนของเทคโนแครต นักวิชาการ
นักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ครอบงำเดิม หมดไปแล้ว
พรรคทักษิณ-ยิ่งลักษณ์มีแนวโน้มบุคลิกประจำที่จะหยิบนโยบายเหล่านี้ที่เขา
คิดว่าสำคัญต่อยุทธศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจ มารื้อใหม่ "เกลี่ย"
ผลประโยชน์กันใหม่ทีละภาคส่วน ซึ่งเท่ากับเป็นการ politicize
ระบอบนโยบายที่เคยสงบเงียบแบ่งปันกันกินอย่างราบคาบ(โดยอาจไม่เท่าเทียมหรือ
เป็นธรรมแก่ฝ่ายต่าง ๆ และสังคมก็ได้)ขนานใหญ่
ก่อให้เกิดการขัดแย้งต่อสู้อย่างดุเดือดในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น
สมาคมอุตสาหกรรม, วงการค้าข้าว, ปัญญาชนสาธารณะ ฯลฯ
ดังที่เรากำลังประสบพบเห็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น