เจ้าชายรณฤทธิ์ photo Courtesy Frank Tatu
กษัตริย์สีหนุ และพระราชินีโมนิก
ครอบครัวกษัตริย์: พระบาทสมเด็จนโรดม สีหนุ พระชายาโมนิก และพระโอรส
เจ้าชายรณฤทธิ์ ซึ่งเป็นโอรสองค์โตของกษัตริย์สีหนุ
เล่าว่าพระบิดาของท่านไม่เคยสนใจที่จะแต่งตั้งหรือแม้กระทั่งไล่เรียงจัด
ลำดับโอรสที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทกษัตริย์สีหนุประกาศสละราชสมบัติให้พระบาทสมเด็จนโรดม สุรมฤตในปี พ.ศ.2498 โดยที่พระองค์เปลี่ยนสถานะไปเป็นนักการเมือง ทรงตั้งพรรคการเมืองและได้รับการเลือกตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ เมื่อกษัตริย์สุรมฤตสิ้นพระชนม์ในปี 2503 นั้น เจ้าชายรณฤทธิ์มีอายุ 16 ชันษากำลังศึกษาอยู่ที่ฝรั่งเศส แต่เจ้าชายสีหนุในฐานะประมุขแห่งรัฐก็ไม่ยอมแต่งตั้งรัชทายาท แม้เจ้าชายรณฤทธิ์จะบอกว่าตนไม่ได้อยากเป็นรัชทายาท แต่มีสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจถึงเหตุผลที่พระบิดาไม่ยอมแต่งตั้ง รัชทายาท เพราะเจ้าชายสีหนุทรงเคยบ่นดังๆกับคนรอบข้างว่าเจ้าชายรณฤทธิ์นั้นสนใจแต่ เรื่องขับรถแข่ง และยังชอบโวยวายใส่ตำรวจอีกด้วย
“ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่พ่อกล่าวหา
นั้นไม่ยุติธรรมสำหรับข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าเลิกโวยวายใส่ตำรวจแล้ว
คำกล่าวหาของพ่อทำให้ข้าพเจ้าปวดใจมาก ทำไมน่ะหรือ? ก็ดูสิ
พ่อเองก็มีผู้หญิงตั้งเยอะแยะ ทั้งยังมีรถแข่งสวยๆตั้งหลายคัน
มีหลายอย่างที่ข้าพเจ้าเรียนรู้มาจากพ่อ”
ความขมขื่นของเจ้าชายรณฤทธิ์ปรากฏชัดทุกครั้งที่เล่าย้อนอดีตนี้
“พ่อบอกว่าไม่แต่งตั้งข้าพเจ้าเป็น
รัชทายาทเพราะข้าพเจ้าเป็นเพล์บอย
แต่พ่อไม่เคยพูดเลยว่าในบรรดาลูกๆทั้งหมดของพ่อ
ข้าพเจ้าเป็นลูกคนเดียวของพ่อที่เรียนจบปริญญาเอก”
เจ้าชายรณฤทธิ์ได้รับปริญญาเอก (เกียรตินิยม) ด้านกฎหมายมหาชนจาก
University of Law, Political Science and Economics of Aix-Marseille,
Franceด้วยความประสงค์ของเจ้าย่า คือ พระราชินีกุสุมะนารีรัตน์ เจ้าชายรณฤทธิ์ถูกส่งไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศสตั้งแต่อายุ 14 ชันษา พร้อมกับเจ้าชายจักรพงษ์ ผู้เป็นน้องชายต่างมารดา เจ้าชายจักรพงษ์มีอายุน้อยกว่าเจ้าชายรณฤทธิ์สองปี เป็นโอรสกษัตริย์สีหนุที่เกิดกับเจ้าหญิงพงสานมุนี เมื่อพระบาทสมเด็จนโรดม สุรมฤต สิ้นพระชนม์ เจ้าชายทั้งสองถูกเรียกตัวกลับมาจากฝรั่งเศสเพื่อเป็นผู้เดินนำขบวนแห่พระศพ
แต่หากไม่มีเหตุการณ์สำคัญใดเกิดขึ้น เจ้าชายทั้งสองจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านช่วงปิดภาคเรียนปีละครั้งเท่านั้น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีผลการเรียนที่ดี โชคดีที่ท่านสองทำคะแนนได้ดีตามเกณฑ์
เจ้าชายรณฤทธิ์เล่าว่าท่านไม่ได้มีรถยนต์ของตัวเอง ทุกครั้งที่กลับจากฝรั่งเศสในช่วงปิดเทอมนั้น ท่านใช้รถของพี่สาว คือ เจ้าหญิงบุปผาเทวี และรถของเจ้าหญิงรัศมีโสภาที่เลี้ยงดูท่านมา ข้อกล่าวหาของพระบิดาจึงไม่เป็นธรรมกับท่านมาก
เรื่องความสัมพันธ์อันห่างเหินระหว่างเจ้าชายรณฤทธิ์กับพระบิดา รวมทั้งการที่เจ้าชายสีหนุในฐานะประมุขแห่งรัฐไม่ยอมประกาศชื่อรัชทายาทนั้น เป็นเรื่องซุบซิบนินทาเล็ดรอดออกมาจากราชสำนักกัมพูชาว่าเป็นการเมืองเรื่อง ครอบครัวด้วย ถึงแม้เจ้าชายสีหนุจะอยากใกล้ชิดโอรสองค์โตมากกว่านี้ก็คงไม่อาจทำได้ เพราะพระองค์ทรงอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระราชินีโมนิก บรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งสายราชสกุลนโรดม และราชสกุลสีสุวัตถิ์ มีความเชื่อไปในทางเดียวกันว่าพระราชินีโมนิกทำทุกวิธีทางเพื่อให้โอรสทั้ง สองของพระนางคือ เจ้าชายสีหมุนี และเจ้าชายนรินทรพงษ์อยู่ใกล้ชิดกับพระบิดามากกว่าลูกคนอื่นๆ
แต่เจ้าชายรณฤทธิกลับเปิดใจกว้างในเรื่องนี้
“เป็นเรื่องธรรมดามากที่พระราชินีโม
นิกจะพยายามสนับสนุนส่งเสริมลูกๆ ของพระนางมากกว่าลูกของคนอื่น
ข้าพเจ้ามองไม่เห็นว่าจะมีความตั้งใจที่จะแยกพ่อออกไป”
เรื่องกระซิบกันให้แซ่ดจากราชสำนักกัมพูชาอีกเรื่องหนึ่งถึงสาเหตุที่ทำ
ให้กษัตริย์สีหนุทรงห่างเหินกับบรรดาโอรสและธิดา คือพฤติกรรม “เพลย์บอย”
ของพระองค์ ก่อนหน้าที่จะพบและเสกสมรสกับพระราชินีโมนิก
กษัตริย์สีหนุมักจะทรงใช้เวลากับสาวๆไปพร้อมกับการบริหารราชการแผ่นดินจนไม่
มีเวลาเหลือให้ลูกๆ
“นั่นเป็นวิถีชีวิตของพ่อในฐานะที่เป็นกษัตริย์”
เจ้าชายรณฤทธิ์ยังเล่าถึงชายาคนสุดท้ายของพ่อว่า
ท่านเคารพพระราชินีโมนิกทั้งในฐานะมารดาเลี้ยงและฐานะที่เป็นพระราชินีแห่ง
ราชอาณาจักรกัมพูชา
แม้ว่าจะได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบเกี่ยวกับพระราชินีอยู่เสมอ
“แต่พระราชินีโมนิกอยู่เคียงข้างพ่อตลอดเวลา ช่วยเหลือพ่อ ยอมให้พ่อต่อสู้เพื่อประเทศชาติ”
เจ้าชายรณฤทธิ์อายุเพียงแปดขวบตอนที่กษัตริย์สีหนุพบและตัดสินใจอยู่ร่วม
กับพระนางโมนิก กษัตริย์สีหนุเสกสมรสอย่างเป็นทางการกับพระราชินีโมนิกในปี
2498 ซึ่งเป็นปีที่กษัตริย์สีหนุทรงสละราชบัลลังก์ให้กับพระเจ้าสุรมฤต
ผู้เป็นพระบิดาพระบาทสมเด็จสุรมฤตสิ้นพระชนม์ปี 2503 ตอนนั้นเจ้าชายรณฤทธิ์อายุ 16 ปี เจ้าชายสีหมุนี 7 ชันษา และเจ้าชายนรินทรพงษ์ 6 ชันษา
ราชบัลลังก์กัมพูชาไร้กษัตริย์และรัชทายาทนับแต่นั้นมา อดีตกษัตริย์สีหนุเลือกที่จะต่อสู้ทางการเมืองแบบไร้บัลลังก์ยาวนานมาถึง 33 ปีโดยไม่ยอมแต่งตั้งรัชทายาท พระองค์ทรงตัดสินใจคืนสู่ตำแหน่งกษัตริย์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2536 และท้ายสุด เลือกที่จะสละตำแหน่งกษัตริย์เป็นครั้งที่ 2 ในปี 2547 ให้กับเจ้าชายนโรดม สีหมุนี โอรสที่ประสูติกับพระราชินีโมนิก ซึ่งไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมายและเสียงซุบซิบนินทาที่แพร่สะพัดทั่วราช อาณาจักรกัมพูชาก่อนหน้านี้
เรื่องการสืบสันติวงศ์ของราชบัลลังก์กัมพูชานั้นซับซ้อนยิ่งนัก เพราะนอกจากการต่อสู้แย่งชิงกันของสองราชสกุล คือ ราชสกุลนโรดม และราชสกุลสีสุวัตถิ์แล้ว ยังมีอำนาจคุกคามแบบซ่อนเร้นจากภายนอกทั้งจากซีกโลกตะวันตกคือ ฝรั่งเศส และราชสำนักสยาม และเวียดนาม
ฝรั่งเศสสามารถจัดการให้กัมพูชาเป็นรัฐในอารักขาได้โดยราบรื่น ในปี พ.ศ. 2406 จากการเชื้อเชิญอย่างลับๆของกษัตริย์นักองค์ด้วง (King Ang Duong) และเจ้านโรดม พระโอรสองค์โตของนักองค์ด้วง ทั้งสองพระองค์ได้ขอให้ฝรั่งเศสช่วยกัมพูชาให้เป็นอิสระจากอำนาจของสยามและ เวียดนาม
ก่อนหน้านี้ องค์ด้วงถูกเชิญตัวมาประทับอยู่ที่ราชสำนักสยามนานถึง 27 ปีตั้งแต่พระองค์อายุ 16 ชันษาและถูกส่งกลับไปปกครองกัมพูชาในนามของสยาม กษัตริย์นักองค์ด้วงทรงส่งราชโอรสสองพระองค์ คือ เจ้าชายนโรดม และเจ้าชายสีสุวัตถิ์ มารับการศึกษาที่สยาม และทรงแต่งตั้งเจ้าชายนโรดมเป็นรัชทายาท เจ้าชายนโรดมเป็นโอรสที่เกิดจากชายาชาวสยามที่กษัตริย์องค์ด้วงพากลับไปที่ ราชสำนักกัมพูชาด้วย
กษัตริย์องค์ด้วงสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2403 แต่เจ้าชายรัชทายาทต้องรอไปอีกเกือบสี่ปีกว่าที่จะสามารถประกอบพิธี ราชาภิเษกได้ เพราะทางสยามยึดเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไว้
ทั้งนี้ หนังสือ “A History of Cambodia” ที่เขียนโดย David Chandler ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิธีราชาภิเษกของเจ้าชายนโรดมไว้ว่า
“...มีข้อมูลของฝรั่งเศสหลายชิ้นที่
บันทึกถึงสิ่งที่น่าหัวร่อที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันระหว่างการประกอบพระราช
พิธี นั่นคือฝ่ายสยามและฝ่ายฝรั่งเศสทะเลาะกับเกี่ยวกับลำดับ พิธีการ
และเครื่องราชกกุธภัณฑ์
ในขณะที่เจ้านโรดมก็ทรงเพ้อฝันอย่างไม่เดียงสาด้วยการประกาศยอมสวามิภักดิ์
ต่อทั้งกษัตริย์สยามและฝรั่งเศส
เป็นครั้งสุดท้ายที่กรุงเทพฯเป็นผู้คัดเลือกและประกาศพระนามของพระมหา
กษัตริย์กัมพูชา”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น