แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แนะ 3G ต้องจัดการราคา 'ดาต้า' ไม่ใช่ 'เสียง'

ที่มา ประชาไท


ประธานอนุฯ คุ้มครองผู้บริโภคโทรคมนาคม เสนอ กทค. ต้องจัดการราคาดาต้าไม่ใช่บริการเสียง พร้อมย้ำ ที่ผ่านมาได้ให้ความเห็นและเสนอแนะก่อนการประมูล3G แล้ว แต่ไม่ได้รับการพิจารณา
(8 พ.ย.55) สารี อ๋องสมหวัง ประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่สังคมแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความเคลื่อนไหว ในกรณีการฟ้องร้องการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 GHz เพื่อเปิดให้บริการ 3G ว่า เข้าใจได้ว่า คนไทยต้องการใช้บริการนี้มาก และอยากให้บริการนี้เกิดขึ้นในประเทศได้แล้ว อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงที่ต้องพูดก็คือ ผลของการประมูลในครั้งนี้เป็นสิ่งที่คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้าน กิจการโทรคมนาคม ได้ทำความเห็นให้กับ กทค. เพื่อพิจารณาแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยข้อความตอนหนึ่งได้ระบุไว้ชัดเจนว่า การประมูลในรูปแบบนี้จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหญ่มีการฮั้วกันโดยแบ่ง คลื่นความถี่กันไปรายละ 15 MHz  ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการให้บริการนั้นมีความเป็นไปได้สูง และส่งผลให้ราคาประมูลเท่ากับมูลค่าขั้นต่ำของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ แต่ละชุด (reserve price)
“เราติดตาม เราให้ความเห็น เราเตือนแล้ว โดยทำทุกอย่างเพื่อให้ความเห็นไปถึง กทค.  และไม่ใช่ว่า กลุ่มองค์กรต่างๆ หรือนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายต้องการขวางการประมูลครั้งนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายพยายามบอกและพยายามพูดให้ฟังมาตลอด ตั้งแต่การจัดเวทีประชาพิจารณ์เมื่อวันที่ 20 กรกฏาคม และทำความเห็นเสนอให้อีกในเดือนเดียวกัน เราให้ความเห็นทั้งในเวทีและทำเป็นหนังสือจากอนุกรรมการฯ แต่สิ่งที่ถูกพิจารณาในการแก้ไขร่างประกาศ กสทช.เรื่องหลักเกณฑ์การประมูลนั้น มีเพียงคำร้องขอของผู้ให้บริการเท่านั้น นั่นคือขอให้มีการจัดแบ่งคลื่นในการประมูลเป็น 15 MHz” สารีกล่าว
สารีกล่าวต่อไปว่า สำหรับมาตรการในการควบคุมราคานั้น คณะอนุกรรมการฯก็ได้ทำหนังสือไปเพื่อพิจารณาแล้วเช่นกัน เนื่องจาก สำนักงาน กสทช. ไม่มีอำนาจในการกำกับดูแลผู้ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตน เอง (ประเภท1) รวมถึงผู้ให้บริการข้อมูล (Data Provider) เนื่องจากบริการ 3G เป็นบริการที่เน้นการให้บริการข้อมูลเป็นหลัก ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงการกำกับดูแลด้วยการไปตั้งบริษัท ลูกขึ้นมาเป็นผู้ถือใบอนุญาตประเภท 1 และให้บริการข้อมูลเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถกำกับดูแลราคาบริการ 3G ได้ ยกเว้น กสทช.จะยกเลิกข้อยกเว้นในการกำกับดูแลดังกล่าว
“มาตรการกำหนดราคาค่าบริการนั้น ขอให้ กทค. มีความจริงใจมากกว่านี้ เพราะสิ่งที่ผู้บริโภครอคอยคือ ค่าบริการดาต้าที่มีราคาถูกลง ไม่ใช่ค่าบริการเสียง อีกทั้งยังมีประเด็นทางข้อกฎหมายว่า กทค.สามารถกำกับดูแลค่าบริการได้จริงหรือไม่ กรณีที่ผู้ให้บริการตั้งบริษัทลูกขึ้นมารองรับ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมูลค่าการประมูลในครั้งนี้ที่ต่ำมาก กทค. จึงควรกำหนดตั้งเป้าหมายให้ 3 G ไทยมีราคาค่าบริการถูกที่สุดในอาเซียน” สารีกล่าว
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 20 กรกฏาคม 2555 สำนักงาน กสทช. ได้จัดให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อน ที่สากล ย่าน 2.1 GHz  โดยในการประชุมได้มีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและกลุ่มผู้บริโภค  ซึ่งมีการให้ความเห็นและตั้งข้อสังเกตในประเด็นสำคัญ อาทิ ผู้ขอรับอนุญาตแต่ละรายมีสิทธิยื่นประมูลคลื่นความถี่ได้สูงสุดไม่เกิน 4 ชุด หรือ 2x20 เมกะเฮิรตซ์, ราคาเริ่มต้นการประมูล, การใช้โครงข่ายร่วมกันและขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมในระดับอำเภอ รวมถึงการวางมาตรการด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีความชัดเจน
ต่อมาวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ได้ทำหนังสือเสนอความเห็นไปยัง กทค. โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. คณะอนุกรรมการฯ สนับสนุนให้ กทค. เพิ่มมูลค่าขั้นต่ำของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่แต่ละชุด (reserve price) จากที่กำหนดไว้ชุดละ 4,500 ล้านบาท เนื่องจากราคาประมูลที่ตั้งไว้นี้ หากผู้เข้าร่วมประมูลได้ความถี่ 15 เมกะเฮิรตซ์ซึ่งเพียงพอสำหรับการให้บริการ 3G ผู้เข้าร่วมประมูลจะต้องจ่ายในราคา 13,500 ล้านบาทต่อระยะเวลาใช้งาน 15 ปี หรือคิดเป็นเงินที่ผู้ประมูลต้องจ่ายปีละ 900 ล้านบาท ซึ่งถือว่า ยังน้อยกว่าราคาที่ผู้ประกอบการทั้ง 3 รายผู้ครองตลาดในปัจจุบันต้องจ่ายให้แก่รัฐจำนวน 40,000 ล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ สำนักงาน กสทช. ได้ว่าจ้างให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการศึกษาเรื่องราคาเริ่มต้นของการ ประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz และผู้วิจัยได้เสนอราคาเริ่มต้นไว้ที่ชุดละ 6,440 ล้านบาท แต่ในที่สุด กทค. ได้กำหนดตัวเลขสุดท้ายไว้ที่ราคาชุดละ 4,500 ล้านบาท โดยคณะกรรมการอ้างว่าต้องการส่งเสริมธุรกิจโทรคมนาคม ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นราคาประมูลคือกำไรที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการ นำคลื่นความถี่ไปใช้ มิใช่ต้นทุนของผู้ประกอบการ การอ้างเช่นนั้นจึงไม่สมเหตุสมผลและเป็นการกำหนดราคาตามอำเภอใจ นอกจากนี้ โอกาสที่ผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีการฮั้วกันโดยแบ่งคลื่นความถี่กันไปรายละ 15 MHz ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการให้บริการก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง และจะส่งผลให้ราคาประมูลเท่ากับมูลค่าขั้นต่ำของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความ ถี่แต่ละชุด (Reserve Price)
ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ จึงขอให้ กทค. ทบทวนราคาเริ่มต้นของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz โดยให้ยึดผลการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและผลประโยชน์ของรัฐเป็นหลัก
2. ด้านมาตรการเพื่อสังคมและคุ้มครองผู้บริโภค ตามข้อ 16.8 ซึ่งประกอบด้วย แผนความรับผิดชอบต่อสังคม แผนการคุ้มครองผู้บริโภค การจัดให้มีบริการโทรคมนาคมสาธารณะ และบริการอำนวยความสะดวกในการใช้บริการโทรคมนาคมสาธารณะอย่างทั่วถึงแก่ผู้ มีรายได้น้อย คนพิการ เด็ก คนชรา ผู้อยู่ห่างไกล และผู้ด้อยโอกาส การมิให้ผู้ใดใช้โครงข่ายโทรคมนาคมของผู้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจโดยมิ ชอบนั้น อนุกรรมการฯ เห็นว่า กทค. ควรมีมาตรการในการลงโทษ เช่น มาตรการเรียกค่าปรับ มาตรการเชิงสังคม เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ไว้ และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ผู้รับใบอนุญาตให้ความสำคัญกับการคุ้มครอง ผู้บริโภคอย่างแท้จริง และขอเสนอให้ กทค.  เปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากประชาชนทั่วไปและองค์กรเครือข่ายผู้บริโภค เมื่อมีการกำหนดมาตรการเพื่อสังคมและคุ้มครองผู้บริโภค
3. การจัดให้มีโครงข่ายโทรคมนาคมเพื่อการประกอบกิจการ ตามข้อ 16.3 ซึ่งกำหนดขอบเขตการให้บริการครอบคลุมเพียงในระดับจังหวัดนั้น คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า ควรกำหนดให้มีการกระจายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมถึงในระดับอำเภอ เพื่อให้สอดคล้องวัตถุประสงค์ของการบริหารคลื่นความถี่ และการใช้ประโยชน์คลื่นความถี่ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐและประโยชน์สาธารณะอื่น ส่วนประเด็นที่เป็นข้อกังวลอีกประการหนึ่ง คือขีดความสามารถของสำนักงาน กสทช. ในการติดตามการติดตั้งโครงข่ายว่าเป็นไปตามเป้าหรือไม่ เช่น ร้อยละ 50  ของจำนวนประชากรภายใน 2 ปี และร้อยละ 80  ของจำนวนประชากรภายใน 4 ปี คณะอนุกรรมการฯ จึงขอเสนอให้ กทค. กำหนดมาตรการในการติดตามการติดตั้งโครงข่ายอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สำนักงาน กสทช. นำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
4. เนื่องจากสำนักงาน กสทช. ไม่มีอำนาจในการกำกับดูแลผู้ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตน เอง (ประเภท 1) รวมถึงผู้ให้บริการข้อมูล (Data Provider) เนื่องจากบริการ 3G เป็นบริการที่เน้นการให้บริการข้อมูลเป็นหลัก ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงการกำกับดูแลด้วยการไปตั้งบริษัท ลูกขึ้นมาเป็นผู้ถือใบอนุญาตประเภท 1 และให้บริการข้อมูลเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถกำกับดูแลราคาบริการ 3G ได้ ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ จึงมีความเห็นว่า กสทช. ควรยกเลิกข้อยกเว้นในการกำกับดูแลดังกล่าว
5. ขอให้ กทค. มีแนวทางในการให้ข้อมูลกับผู้บริโภคเกี่ยวการให้บริการ 3G เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเท่าทัน และสามารถใช้บริการได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น