อภิปราย ‘ขบวนการเคลื่อนไหวของชาวนาบนเวทีนานาชาติ: ตัวตนและบทบาท’
บอกเล่าประสบการณ์เกษตรใน 4 ภูมิภาค ทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกา และแอฟริกา
พร้อมประกาศการประชุมนานาชาติครั้งที่ 1 ว่าด้วยเกษตรนิเวศ
และเมล็ดพันธุ์ของชาวนา
การขับเคลื่อนครั้งล่าสุด ของลาเวียคัมเปซินา (La Via Campesina)
ขบวนการเคลื่อนไหวในระดับโลกของชาวนาชาวไร่กว่า 200 ล้านคน จากสมาชิก 150
องค์กรใน 70 ประเทศ
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกันคือการปฏิเสธตัวแบบการพัฒนาชนบทแบบเสรีนิยมใหม่
ดำรงไว้ซึ่งความเข้มแข็งของชาวนาชาวไร่รายย่อย
และสร้างอิสรภาพให้กับระบบอาหาร ในประเทศไทย
วันที่ 12 พ.ย.55 ลาเวียคัมเปซินา รวมกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม
ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ โครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา
(Focus on the Global South) และมูลนิธิชีววิถี จัดอภิปราย
‘ขบวนการเคลื่อนไหวของชาวนาบนเวทีนานาชาติ: ตัวตนและบทบาท’
บอกเล่าประสบการณ์เกษตรใน 4 ภูมิภาค ทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกา และแอฟริกา
ในเวทีวิชาการเรื่อง ‘การเกษตรนิเวศ สิทธิชาวนา อธิปไตยทางอาหาร
และขบวนการเคลื่อนไหวของชาวนา’ โดยมีชาวนาจาก 9 ภูมิภาคทั่วโลก กว่า 70
คนเข้าร่วม
‘แอฟริกา’ กับภัยคุกคามของ ‘ทุนนิยม’
Mr.Ibrahima Coulibaly จากสาธารณรัฐมาลี
(Mali) ในภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา กล่าวในการอภิปราย
‘ขบวนการเคลื่อนไหวของชาวนาบนเวทีนานาชาติ: ตัวตนและบทบาท” ว่า
เกษตรในแอฟริกาประสบภัยคุกคามในระดับโลกหลายประการ
ทั้งปัญหาเรื่องหนี้สินและการดำเนินนโยบายเสรีนิยมใหม่ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาค
เกษตร
ทำให้เกษตรกรต้องรวมตัวกันขึ้นมาต่อสู้กับทุนนิยมข้ามชาติและนโยบายการนำ
เข้าอาหารที่ทำลายเกษตรกรผู้ผลิต
เพราะเกษตรกรไม่มีทางเลือกมากนักในโลกโลกาภิวัตน์
ในขณะที่รัฐเองไม่สามารถให้บริการและดูแลประชาชนของตนเองได้
“เราไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน เพราะที่ดินเป็นเจ้าของเรา”
ตัวแทนจากสาธารณรัฐมาลีกล่าวถึงแนวคิดของเกษตรกรที่ให้ความสำคัญกับที่ดิน
ปัจจัยการผลิตที่กำลังถูกแย่งชิงโดยการพัฒนาตามกระแสทุนนิยม
Mr.Ibrahima กล่าวด้วยว่า
ขบวนการชาวนาชาวไร่รวมตัวกันด้วยแนวความคิดที่ว่าทำอย่างไรจึงจะต่อรองใน
ระดับนโยบายได้ โดยใช้ทรัพยากรเท่าที่มีอยู่
และมีการจัดทำข้อเสนอของตัวเองขึ้นมา
ซึ่งเมื่อขบวนการเคลื่อนไหวก้าวขึ้นมาสู่ในระดับโลก
เกษตรกรก็ต้องพยายามสะท้อนความต้องการ และพยายามเรียนรู้เรื่องต่างๆ พร้อมๆ
กับนำความรู้ที่มีอยู่มาใช้
และสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการสร้างเครือข่ายเพื่อร่วมกันต่อสู้กับลัทธิทุน
นิยมใหม่ เพราะแต่ละกลุ่มไม่สามารถต่อสู้ได้โดยลำพัง
‘สหภาพยุโรป’ เงินอุดหนุนที่ทำให้เกษตรกรกลายเป็นเพียงผู้รอรับ
ขณะที่ Ms.Henny Van Geel จาก Eurovia Europe
บอกเล่าประสบการณ์จากสหภาพยุโรปซึ่งมีการผลิตเกษตรนิเวศจำนวนมากว่า
ที่ผ่านมานโยบายการอุดหนุนภาคเกษตรทำให้เกิดการแบ่งแยกเกษตรกรในสหภาพยุโรป
ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ เกษตรกรรายใหญ่ที่ร่ำรวย และเกษตรกรรายย่อยๆ
เช่นในยุโรปทางใต้อย่างสเปน โปรตุเกส อิตาลี
และออสเตรียซึ่งมีการทำเกษตรอยู่บนภูเขา
เงินอุดหนุนทำให้เกิดการกระจุกตัวของสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม
อีกทั้งกระทบกับสิ่งแวดล้อม และส่งผลต่อการพัฒนาในชนบท
เพราะทำให้เกษตรกรในชนบทกลายเป็นเพียงผู้รอรับการสนับสนุนจากรัฐ
ขณะที่คนรุ่นใหม่ก็ไม่อยากเป็นเกษตรกร
Ms.Henny กล่าวด้วยว่าในปี 2013
มีการพยายามที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น
แต่ก็ด้วยพลังเบื้องหลังบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าอาจส่งผลให้การปฏิรูปไม่
สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก ทั้งนี้ สิ่งที่เกษตรกรในยุโรปต้องการจริงๆ
ซึ่งไม่ใช่การกดดันจากองค์กรการค้าโลก นั่นคือ
นโยบายสนับสนุนเกษตรที่ยั่งยืน สนับสนุนการรักษาเมล็ดพันธุ์
รักษาพื้นที่เกษตรเพื่อผลิตพืชอาหารไม่ใช่เพื่อผลิตพืชพลังงาน
คนในภาคเกษตรถูกให้ความสำคัญ สามารถเข้าถึงที่ดิน สินเชื่อ
และปัจจัยการผลิต แรงงานในฟาร์มไม่ถูกแบ่งแยก
แรงงานข้ามชาติได้รับสิทธิเท่ากับแรงงานในประเทศ
และการเข้าถึงบริการสาธารณะสุขของคนทุกคนในภาคเกษตร
ส่วนการเคลื่อนไหนที่จะมีต่อไปคือการกดดันผ่านผู้แทนสหภาพยุโรปใน
เรื่องนโยบาย เพื่อทำให้เกษตรกรถูกรับรู้และมีตัวตนจริงๆ
ในรัฐสภาของสหภาพยุโรป
‘คิวบา’ ความล้มเหลวของสังคมนิยม และเกษตรนิเวศเพื่อเลี้ยงดูผู้คน
สำหรับ Ms.Debora la O Calana
จากกลุ่มประเทศและหมู่เกาะในเขตทะเลแคริเบียน (The Caribbean)
บอกเล่าถึงประสบการณ์ของประเทศคิวบาซึ่งถือเป็นเกาะใหญ่แห่งหนึ่งในแคริ
เบียนว่า
ปัจจุบันคิวบามีแนวความคิดที่จะเป็นแหล่งผลิตอาหารสำหรับประชากรโลก
จากอดีตนับตั้งแต่การปฏิวัติเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1959
ซึ่งมีการคิดผลิตอาหารเพื่อคนคิวบานับแสนคน ช่วงเวลากว่า 50
ปีที่ผ่านมามีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์
ในราวปี ค.ศ.1989-2000
ประชาชนคิวบาต้องทุกข์ยากเมื่อรัฐบาลสังคมนิยมล้มเหลว
เทคโนโลยีจากยุโรปตะวันออกไม่สามารถนำเข้าได้ เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ
ต่อมาสหรัฐตัดความสัมพันธ์และคว่ำบาตรทางการค้า
คิวบาต้องพยายามหาทางเลือกใหม่โดยนำทรัพยากรในที่ดินของเกษตรกรมาใช้ในการ
ผลิตเพื่อเลี้ยงดูผู้คนในประเทศ จึงเกิดการทำเกษตรในพื้นที่เมือง
พื้นที่ว่างเปล่าถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูก
ผู้คนต้องเปลี่ยนวิถีการกินเพื่อความอยู่รอด
ดังนั้นเกษตรนิเวศจึงไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกแต่เป็นความจำเป็นที่จะต้องนำ
มาใช้เพื่อเลี้ยงดูผู้คน
Ms.Debora กล่าวด้วยว่า
มีคนตั้งคำถามว่าหากไม่มีการนำเข้าเทคโนโลยีการเกษตรจะอยู่ได้ไหม
คำตอบคืออยู่ได้ อยู่แบบที่เป็นอยู่
ก่อนหน้านี้คิวบาทำเกษตรเชิงเดี่ยวแล้วเปลี่ยนมาใช้เกษตรนิเวศในการผลิต
โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและรัฐบาลท้องถิ่น
สภาและรัฐบาลมีการออกกฎหมายปรับปรุงดินและกฎหมายฟื้นฟูป่าเพื่อสนับสนุนการ
ขับเคลื่อนด้วย
ส่วนปัจจุบันมีการส่งเสริมการทำเกษตรนิเวศให้กับกลุ่มเยาวชนเพื่ออนาคต
ของประเทศ จากปัญหาเยาวชนอยากอยู่ในเมืองมากกว่าชนบท
โดยมีการร่วมมือกับกระทรวงศึกษาและสถาบันอุดมศึกษาวางหลักสูตรให้เยาวชนได้
ไปเรียนรู้วิถีชีวิตของเกษตรในชนบท อีกทั้งมีการทำงานร่วมกับองค์กรอื่นๆ
ในการเรียนรู้ประสบการณ์ของคิวบาเพื่อนำไปประยุกต์ใช้
‘อเมริกา’ สังคมเกษตรของชาวนาสูงอายุ
ด้าน Mr.Blain Snipstal จากอเมริกาเหนือ
ภูมิภาคที่ธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพในการผลิตฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตในสัตว์
และพืชจีเอ็มโอได้ขยายอิทธิพลทางธุรกิจไปทั่วโลกกล่าวว่า
ปัจจุบันเกษตรกรในชนบทของอเมริกาเหลือเพียง 17 เปอร์เซ็นต์
เพราะความเข้มแข็งของเกษตรถูกทำลายไปมาก
คนที่ยังอยู่และผลิตอาหารเป็นผู้สูงวัย มีอายุเฉลี่ย 65 ปี
ดังนั้นขบวนการชาวนาชาวไร่จึงต้องพยายามทำงานกับคนหนุ่มสาวเพื่อให้หันกลับ
ไปทำการเกษตร
นอกจากนั้น การที่เกษตรกรลดจำนวนลง การทำเกษตรต้องทำในแปลงใหญ่ขึ้น
ทำให้ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน
แต่ก็มีแรงงานจากลาตินอเมริกาและแคริเบียนเข้ามาทำงาน
ภาคเกษตรของอเมริกาจึงยังเดินหน้าต่อมาได้ ทั้งนี้
ปัจจุบันอเมริกามีแรงงานในภาคเกษตรที่ขึ้นทะเบียนจำนวนถึง 40,000 คน
Mr.Blain กล่าวด้วยว่า ช่วงปี 1920
ที่อเมริกาประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถ่อย
ทำให้แรงงานภาคเกษตรจากตอนใต้อพยพไปทำงานเป็นแรงงานทางตอนเหนือ
ขณะนั้นรัฐได้มีการออกกฎหมายเรื่องอาหารและการเกษตร
เพื่อพยายามสร้างงานและให้การอุดหนุนราคาผลผลิตในภาคเกษตรเชิงเดี่ยว
แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
การอุดหนุนนี้ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในภาคเกษตร ทั้งนี้
ปัจจุบันประชาชนอเมริกาถึง 1 ใน 3 ยังอยู่ในภาวะยากจน
คนในชนชั้นแรงงานอยู่ในภาวะอดยาก อีกทั้ง ภาวะฝนแล้งที่เกิดขึ้นเป็นปีที่ 3
คือสิ่งที่เกษตรกรจะต้องเผชิญ
‘ไทย’ ปัญหาจากนโยบายพัฒนา สู่การรวมตัวของ ‘สมัชชาคนจน’
นายอุทัย สะอาดชอบ เกษตรกรบ้านโคกอีโด่ย จาก จ.สระแก้ว
ตัวแทนสมัชชาคนจน กล่าวว่า
ขบวนของสมัชชาคนจนคือพื้นที่ร่วมของประชาชนที่ประสบปัญหาจากนโยบายการพัฒนา
ของรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประมงพื้นบ้านซึ่งได้รับผลกระทบจากการทำประมงขนาดใหญ่ที่
ใช้เครื่องมือทำลายล้างอย่างอวนรุน-อวนลาก
กลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศพื้นที่ป่าทับที่อยู่อาศัยและที่
ทำกิน รวมทั้งกลุ่มเกษตรในขบวนที่รัฐส่งเสริมซึ่งประสบปัญหาเรื่องหนี้สิน
สุขภาพ และการสูญเสียที่ดิน
และกลุ่มชาวบ้านที่ประสบปัญหาจากโครงการเขื่อนขนาดใหญ่
นอกจากนั้นล่าสุดยังพบกรณีของเกษตรกรที่ถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาทำให้โลกร้อน
ด้วย
ขณะที่นายพฤกษ์ ยิบมันตะสิริ ประธานคณะทำงานการปฏิรูประบบเกษตรกรรม
กล่าวในการอภิปราย ‘ความท้าทายต่อเกษตรนิเวศ สิทธิชาวนา
และอธิปไตยทางอาหารในกระแสโลก’ โดยสรุปถึงสถานการณ์ในประเทศไทยว่า
ขณะนี้นโยบายรัฐบาลเน้นเรื่องความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัย
และคุณภาพของอาหาร แต่ไม่ได้ขยายไปนอกเหนือจากเรื่องเทคนิค
มีการพูดถึงเรื่องการส่งออก-นำเข้า
แต่เชื่อมโยงน้อยกับเรื่องทรัพยากรทางการเกษตร ที่ดิน ป่าไม้
อีกทั้งการลงทุนสาธารณะในเรื่องนี้มีน้อยซึ่งส่งผลให้เกษตรกรแต่ละคนต้อง
ช่วยเหลือตัวเอง
อย่างไรก็ตามในระดับชุมชนยังมีการสนับสนุนโดยมูลนิธิด้านสุขภาพ
ซึ่งมีการเชื่อมโยงเรื่องสิ่งแวดล้อม สุขภาพ
และเกษตรกรรมยั่งยืนไว้ด้วยกัน
ทั้งนี้ เวทีวิชาการสาธารณะดังกล่าว ต่อเนื่องมาจาก
‘การประชุมนานาชาติ ครั้งที่ 1 ว่าด้วยเกษตรนิเวศ และเมล็ดพันธุ์ของชาวนา’
ในช่วงวันที่ 6-12 พ.ย.55 ที่มูลนิธิชุมชนเกษตรนิเวศ จ.สุรินทร์
ซึ่งจัดขึ้นโดยมีสมัชชาคนจนซึ่งเป็นสมาชิกของลาเวียคัมเปซินาในประเทศไทย
เป็นเจ้าภาพ เพื่อทบทวนสถานการณ์และแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาค
และร่างแผนปฏิบัติการรวมระดับนานาชาติ
จากนั้นปิดท้ายเวทีเสวนาด้วยการอ่านคำประกาศ
‘การประชุมนานาชาติครั้งที่ 1 ว่าด้วยเกษตรนิเวศ และเมล็ดพันธุ์ของชาวนา
โดยตัวแทนเกษตรกรจากประเทศไทย รายละเอียดดังนี้
คำประกาศ
การประชุมนานาชาติครั้งที่ 1 ว่าด้วยเกษตรนิเวศและเมล็ดพันธุ์ของชาวนา
6-12 พฤศจิกายน 2555
จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย
ผู้แทนองค์กรสมาชิกในทุกภูมิภาคของลาเวียคัมเปซินา
ได้มารวมกันที่จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย ในทวีปเอเชีย
เพื่อร่วมการประชุมระดับโลกครั้งที่หนึ่งเรื่องเกษตรนิเวศและเมล็ดพันธุ์
วัตถุประสงค์หลักของการประชุมนี้
ก็เพื่อให้ลาเวียคัมเซินาได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์
สร้างยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ว่าด้วยเกษตรนิเวศและเมล็ดพันธุ์
ด้วยความเข้าใจอย่างเป็นองค์รวมว่า
ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อบรรลุถึงอธิปไตยทางอาหาร
ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ประชุม
เนื่องจากในประเทศนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากชาวนาและกำลังเติบโต
นั่นคือ
การเปลี่ยนจากตัวแบบการทำไร่นาเชิงอุตสาหกรรมที่อาศัยการปฏิวัติเขียวมาเป็น
เกษตรนิเวศ การที่ผู้เข้าร่วมประชุมจากต่างประเทศมารวมกัน ณ ที่นี้
จะหนุนเสริมการขยายตัวของขบวนการชาวนาที่ทำการเกษตรนิเวศในประเทศไทย
ผู้ที่ประกาศว่า
“ความอยู่รอดของชาวนาชาวไร่รายย่อยก็คือการอยู่รอดของสังคม!”
ผู้เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้
ได้เรียนรู้มากมายจากประสบการณ์การสร้างความเข้มแข็งให้กับการเกษตรนิเวศโดย
ชาวนา
ภายหลังจากที่ผู้เข้าร่วมประชุมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อคิดเห็น
และอภิปรายกันในประเด็นที่กำลังท้าทายพวกเราอยู่ เราก็มีความเชื่อว่า
เกษตรนิเวศ คือเสาหลักของอธิปไตยทางอาหาร
เราไม่อาจบรรลุถึงอธิปไตยทางอาหารได้
หากการเกษตรยังคงพึ่งพาสิ่งนำเข้าที่ควบคุมโดยบรรษัท
หากผลกระทบของเทคโนโลยียังทำลายแม่พระธรณีอยู่
หากเราไม่ท้าทายกับการทำให้อาหารและที่ดินเป็นสินค้าเพื่อค้าขายและเก็งกำไร
และหากเรายังไม่สร้างอาชีพที่ดีกว่าเดิม
ให้แก่คนที่จัดหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพและเข้าถึงได้ให้แก่ชุมชน
การทำไร่นาแบบเกษตรนิเวศมีชื่อเรียกมากมายนับไม่ถ้วนในแต่ละที่ทั่วโลก
และลาเวียคัมเปซินาไม่กังวลกับชื่อหรือยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นการเกษตรนิเวศ
เกษตรอินทรีย์ เกษตรธรรมชาติ เกษตรยั่งยืนใช้สิ่งนำเข้าจากภายนอกต่ำ
หรืออื่นๆ ตรงกันข้ามเราต้องการจะระบุหลักการสำคัญๆ ทางนิเวศวิทยา ทางสังคม
และทางการเมืองที่ขบวนการของเราสนับสนุนอยู่ สำหรับลาเวียคัมเปซินาแล้ว
การเกษตรยั่งยืนโดยชาวนาที่แท้จริงเกิดจากการฟื้นฟูวิธีการเกษตรของชาวไร่
ชาวนาแบบดั้งเดิม นวัตกรรมของแนวทางปฏิบัติเชิงนิเวศใหม่ๆ
การควบคุมและปกป้องอาณาเขตและเมล็ดพันธุ์
และความเสมอภาคทางสังคมและความเสมอภาคระหว่างเพศ
และเรายินดีต้อนรับชาวไร่ชาวนาที่ทำการเกษตรแบบทั่วไป
เข้ามาสู่ขบวนการเช่นนี้
การถือครองที่ดินแบบศักดินาไม่อาจถือว่าเป็นการทำการเกษตรนิเวศ
แม้ว่าจะปลอดสารเคมีก็ตาม
ไร่นาที่ผู้ชายควบคุมโดยไม่ให้อำนาจการตัดสินใจแก่ผู้หญิง
หรือถ้าปริมาณงานระดับโลกของผู้หญิงสูงกว่า
ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเกษตรนิเวศเช่นกัน
เกษตรอินทรีย์ที่ใช้สิ่งนำเข้าอินทรีย์ราคาแพงมาแทนที่สิ่งนำเข้าเคมีราคา
แพงโดยไม่แตะต้องโครงสร้างของการเกษตรเชิงเดี่ยว
ก็ไม่ถือว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ด้วย อย่างเช่นวิธีการที่รัฐให้ตรา
“อาหารอินทรีย์” (เช่นตรา “เชียปาสออร์แกนิค”) ซึ่งเราต่อต้านอย่างเต็มที่
จากประสบการณ์ การปฏิบัติการ และการวิเคราะห์ของลาเวียคัมเปซินา
เป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปีมาแล้ว ได้แสดงให้เห็นว่า
เกษตรนิเวศคือส่วนประกอบในเชิงยุทธศาสตร์ของการสร้างอธิปไตยทางอาหารและ
อธิปไตยของประชาชน
เรารู้ว่าเกษตรนิเวศคือแก่นของคำตอบระดับโลกต่อปัญหาท้าทาย และวิกฤติหลักๆ
ที่พวกเราในฐานะมนุษย์กำลังเผชิญอยู่
ประการแรก
เกษตรรายย่อยสามารถเลี้ยงดูมนุษย์ชาติได้และกำลังทำหน้าที่นี้อยู่
และสามารถแก้ไขวิกฤติอาหารโดยอาศัยเกษตรนิเวศและความหลากหลาย
ซึ่งตรงกันข้ามแนวคิดผิดๆ ทั่วไปว่าระบบธุรกิจการเกษตรมีผลิตภาพมากกว่า
ตอนนี้เรารู้ว่าระบบเกษตรนิเวศสามารถผลิตอาหารต่อเฮกเตอร์ได้มากกว่าการ
เกษตรเชิงเดี่ยวทุกประเภท และผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า
มีคุณค่าอาหารมากกว่า และมีให้ผู้บริโภคได้ซื้อหาโดยตรงได้ตลอดเวลา
ประการที่สอง เกษตรนิเวศมีส่วนช่วยต่อต้านวิกฤติสิ่งแวดล้อม
การเกษตรของชาวนาซึ่งประกอบด้วยการเกษตรนิเวศและความหลากหลาย
จะทำให้โลกเย็นลงโดยการเก็บกักคาร์บอนไว้ในดิน
และทำให้ชาวนาชาวไร่รายย่อยแบบครอบครัวมีทรัพยากรที่จะช่วยให้ยืดหยุ่นต่อ
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและภัยธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้น
เกษตรนิเวศเปลี่ยนแปลงตัวแบบที่อาศัยพลังงานที่พึ่งพาน้ำมันและการเกษตร
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่จำเป็นเพื่อยุติการปล่อยแก๊ส
ประการที่สาม เกษตรนิเวศสนับสนุนประโยชน์ร่วมและประโยชน์รวมหมู่
พร้อมกับที่เกษตรนิเวศสร้างเงื่อนไขให้เกิดการทำมาหากินที่ดีขึ้นสำหรับชนบท
และในเมืองนั้น เกษตรนิเวศก็ยังเริ่มต้นการทวงคืนที่ดิน น้ำ เมล็ดพันธุ์
และความรู้ ซึ่งเป็นเสาหลักของอธิปไตยทางอาหารและอธิปไตยของประชาชน
และเกษตรนิเวศยังคงเป็นมรดกของประชาชนสำหรับรับใช้มวลมนุษย์
ด้วยเกษตรนิเวศ เราจะเปลี่ยนแปลงตัวแบบการผลิตอาหารที่ทรงอำนาจ
ทำให้เกิดการฟื้นฟูของระบบนิเวศการเกษตร
ฟื้นฟูการทำงานให้เกิดความสัมพันธ์ที่ประสานสอดคล้องของธรรมชาติและสังคม
ขึ้นมาใหม่ และเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อเลี้ยงดูประชาชน
ดังที่ชาวนาฟิลิปปินส์กล่าวไว้ว่า “กาบูฮานัน กาลูซูกัน กาลิกาซัน”
(เพื่อเศรษฐกิจ เพื่อสุขภาพ และเพื่อธรรมชาติ)
สำหรับเราที่เป็นชาวนาชาวไร่แบบครอบครัว
เกษตรนิเวศยังเป็นเครื่องมือเพื่อต่อสู้กับธุรกิจเกษตรข้ามชาติและตัวแบบการ
เกษตรเพื่อส่งออกที่ครอบงำอยู่
เราไม่อาจปลดปล่อยชาวนาชาวไร่จากโครงสร้างที่กดขี่ที่บรรษัทสร้างขึ้นมา
จนกว่าเราจะมีอิสรภาพทางเทคโนโลยีและทางเศรษฐกิจจากรูปแบบการเกษตรและทุนการ
เงินในปัจจุบัน
อีกประการหนึ่ง ในส่วนของคนงานในไร่นาและแรงงานภาคเกษตรอื่นๆ
ถ้าเราไม่ฟื้นฟูพลังแรงงานกลุ่มนี้ ที่ถูกทุนนิยมกดลงเป็นทาส
ดังเช่นในกรณีของสหรัฐอเมริกาแล้ว
เราไม่อาจจะบรรลุถึงเกษตรนิเวศและอธิปไตยทางอาหารได้ ดังนั้น
เกษตรนิเวศจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างความเป็นธรรมทางสังคมในระบบสังคมใหม่
ที่มีความเสมอภาค ที่ไม่ได้ถูกครอบงำด้วยทุน
เกษตรนิเวศกำลังให้ความหมายใหม่กับการต่อสู้เพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อ
การเกษตร เพื่อสร้างอำนาจให้กับประชาชน
ชาวนาชาวไร่ไร้ที่ดินผู้ที่ได้ต่อสู้เพื่อทวงคืนที่ดิน
และผู้ที่ได้รับที่ดินจากโครงการปฏิรูปที่ดินในประเทศบราซิลและซิมบับเว
กำลังนำเกษตรนิเวศไปปฏิบัติ เพื่อปกป้องและดำรงการเกษตร
ไม่เพียงเพื่อครอบครัวของตนเท่านั้น
แต่เพื่อสร้างอาหารที่ดีต่อสุขภาพยิ่งกว่าเพื่อชุมชนของตน ดังนั้น
การปฏิรูปที่ดินและเกษตรนิเวศคือสิ่งที่ชาวนาชาวไร่แบบครอบครัวจะช่วยผลัก
ดัน ที่จะทำให้มีอาหารที่ดีกว่าและอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
แก่ประชาชนในสังคมของเรา ในอาร์เจนตินา เราสนับสนุนคำประกาศนี้
และยืนยันว่า “โซโมส เทียรา ปารา อาลีเม็นตาร์ เดอ ปัวบโล”
(เราคือแผ่นดินที่เลี้ยงดูประชาชน)
พี่น้องชาวนาของเราจากประเทศอินเดียเล่าว่า ตั้งแต่ปี 2538
มีชาวนาฆ่าตัวตายราว 75,000 คน
เพราะกับดักหนี้สินที่เกิดจากการพึ่งพาสิ่งนำเข้าจากอุตสาหกรรม
ยังดีที่วิธีการของขบวนการเกษตรนิเวศใหม่ทำให้ชาวนาพบกับแสงสว่างแห่งความ
หวังในความมืดมน ทำให้ชาวนานับพันๆ ครอบครัวสามารถอยู่ในหมู่บ้านได้
และยังคงผลิตอาหารพร้อมกับมีอาชีพที่ดีกว่าเดิม
ขบวนการนี้ที่เรียกว่าการทำเกษตรธรรมชาติปลอดต้นทุน
ได้ทำให้พื้นที่ชนบทของอินเดียมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
ในยุโรป
วิกฤติเศรษฐกิจและการเงินกำลังเป็นประจักษ์พยานให้เห็นถึงศักยภาพของเกษตร
นิเวศ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ขบวนการชาวนาเสนอต่อสังคม
โดยการนำตลาดกลับคืนสู่ชุมชนใหม่อีกครั้งและผลิตอาหารโดยพึ่งพิงเชื้อเพลิง
ฟอสซิลน้อยกว่าเดิมมาก สร้างพลวัตรใหม่ๆ แก่เศรษฐกิจในท้องถิ่น
และสร้างงานแก่ผู้ตกงานที่กลับคืนสู่ชนบท ดังในกรณีของยุโรปตะวันออก
การปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรและการกำกับตลาดด้วยกฎหมาย
เพื่อมุ่งสู่อธิปไตยทางอาหารโดยอาศัยเกษตรนิเวศก็ยังเป็นทางออกต่อปัญหา
สำหรับชาวนาชาวไร่ในยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่กำลังเผชิญความทุกข์ยากจากราคา
ที่ตกต่ำเนื่องจากการที่มีสินค้านำเข้าราคาถูกมาแข่งขัน
ชาวนาชาวไร่รายย่อยจากประเทศมาลี รวมทั้งประเทศอื่นๆ
ในแอฟริกากำลังถูกโจมตีจากกลุ่มแอ็ก-กรา
(พันธมิตรเพื่อการปฏิรูปเขียวในแอฟริกา) ที่นำการปฏิวัติเขียวเข้ามา
ชาวนาชาวไร่จากประเทศนี้กำลังแสดงให้เห็นว่า
ตัวแบบการผลิตแบบการเกษตรนิเวศดั้งเดิมของตนจะทำให้อาหารและอาชีพมีความ
ยั่งยืนสำหรับประชาชนนับล้านๆ ได้อย่างไร
และแก้ไขการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยไม่ใช้สิ่งนำเข้าจากภายนอกใดๆ
ผ่านการบริหารจัดการที่มีอิสรภาพ
และแบ่งปันความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตรและความรู้ในท้องถิ่น
ยิ่งกว่านั้นเกษตรนิเวศ
ยังเป็นทางเลือกสำหรับเยาวชนในชนบทให้ยังคงอยู่ในชนบทต่อไป
และมีอาชีพที่มีเกียรติ
และมีความมุ่งมั่นที่จะผลิตและกระจายอาหารสำหรับชุมชน
พวกเขาคือคนที่จะเลี้ยงดูคนรุ่นต่อไปในอนาคต
ตลอดเวลา 20 ปี
ลาเวียคัมเปซินาได้ต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อการปฏิรูปที่ดิน
และในช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์นี้
จำเป็นต้องมีการใคร่ครวญเรื่องการปฏิบัติให้สอดคล้องกับการต่อสู้
ดังเช่นแรงงานไร้ที่ดินชาวบราซิลตะโกนก้องว่า “ออคูปาร์ รีซิสตีร
โปรดุซีร!” (เข้ายึด ต่อต้าน และผลิต!)
ชาวนาชาวไร่ทั่วโลกได้เริ่มต่อสู้แล้วเพื่อที่ดิน
ได้ต่อต้านเพื่อปกป้องที่ดิน และในตอนนี้
เราประกาศว่าการทำไร่นาแบบเกษตรนิเวศจะเลี้ยงดูประชาชน
และถึงเวลาแล้วที่จะทำการผลิต
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น