ความ พยายามแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอาหารมีอยู่หลายแนวทาง แนวทางที่ได้รับความสนใจและการสนับสนุนเป็นอย่างมาก จากบรรษัทด้านการเกษตรที่ยึดตัวแบบเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่และรัฐ ก็คือแนวทางการเกษตรเชิงอุตสาหกรรม ที่มุ่งเน้นพัฒนาวิธีการผลิต พัฒนาปัจจัยการผลิต และเมล็ดพันธุ์ เป็นการปลูกพืชผลเชิงเดี่ยวในแปลงขนาดใหญ่ แต่แนวทางนี้เพียงแต่สร้างภาพลวงตาว่านี่คือคำตอบต่อปัญหาเท่านั้น
ธุรกิจเกษตรและเกษตรอุตสาหกรรมล้มเหลวในการเลี้ยงดูโลก
หากภารกิจสำคัญคือการผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงดูประชากรในปริมาณที่เพียงพอ ดีต่อสุขภาพ และคุณภาพชีวิตแล้ว บรรษัทด้านเกษตรที่ทำการเกษตรแบบอุตสาหกรรมก็ประสบความล้มเหลวในภารกิจนี้ อย่างสิ้นเชิง ภารกิจพื้นฐานของบรรษัทเหล่านี้คือการหากำไร ดังนั้นอาหารที่ตนผลิตขึ้นจะไหลเวียนผ่านพื้นที่ที่มีความยากจนและความหิว โหย ไปสู่พื้นที่ที่มีความมั่งคั่งและเหลือเฟือ ทำให้ประชากรส่วนมากของโลกเข้าถึงอาหารได้ยากการผลิตอาหารเชิงอุตสาหกรรมอาศัยกระบวนการแปรรูปอาหารอย่างหนัก ไม่ว่าจะเพื่อยืดอายุสินค้ากว่าจะถึงมือผู้บริโภคในที่ห่างไกล หรือเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าก็ตาม อาหารถูกแปรรูปให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน นั่นคืออาหารจากโรงงานที่ส่วนมากแล้วประกอบด้วยไขมันผ่านกรรมวิธี น้ำตาล แป้ง สารเคมีตกค้างที่อาจก่อมะเร็ง เป็นต้น ดังนั้นอาหารที่มีจำหน่ายแก่ประชาชนจึงมีราคาแพงอย่างไม่จำเป็น และส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ไม่เพียงล้มเหลวในปัจจุบันเท่านั้น การเกษตรแบบอุตสาหกรรมที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวยังจะสร้างความหายนะต่อการเกษตร เพื่อปลูกพืชอาหารในอนาคตอีกด้วย การเกษตรเชิงเดี่ยวใช้เครื่องจักรกลหนัก ใช้การชลประทานมากเกินไป ใช้สารเคมีเป็นพิษมากเกินไป และมีการดัดแปลงพันธุกรรม ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของดิน แหล่งน้ำ และทรัพยากรอื่นๆ รวมถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
บรรษัทด้านเกษตรทั้งในชาติและข้ามชาติ ยังคงสร้างแรงกดดันต่อรัฐให้ผ่อนคลายกฎระเบียบหรือเข้าสู่ข้อตกลงการค้าเสรี ด้านการเกษตรอย่างไม่ลดละ เพื่อให้ตนได้เข้าไปใช้ประโยชน์จากผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ได้ทั่วโลก บรรษัทเหล่านี้ไม่มีความผูกพันกับผืนดิน จึงสามารถสูบเอาความอุดมสมบูรณ์ออกมาให้ได้มากที่สุดอย่างรีบด่วนที่สุด เพื่อที่จะทำกำไรอย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อความอุดมสมบูรณ์หมดไป ก็รีบออกจากพื้นที่นั้นไปหาพื้นที่ใหม่ และทิ้งความหายนะไว้เบื้องหลัง อันจะทำให้ความสามารถของผืนดินที่จะปลูกพืชอาหารเพื่อคนรุ่นหลังหมดสิ้นไป
การขนส่งอาหารทางไกล และการใช้พลังงานในการผลิตพืชผลทางการเกษตรและแปรรูปอาหาร เป็นตัวการสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 30-40% ในโลก อันเป็นสาเหตุของวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งในที่สุดก็จะส่งผลลบต่อการผลิตอาหารเป็นลูกโซ่ต่อไป
ยิ่งกว่านั้น นอกจากตนเองจะล้มเหลวในภารกิจเลี้ยงดูประชากรโลกแล้ว บรรษัทด้านเกษตรเหล่านี้ยังสร้างความทุกข์ยากให้กับชาวนาชาวไร่รายย่อยซึ่ง เป็นผู้ป้อนอาหารแก่โลกตัวจริง เช่นการแย่งชิงที่ดินและทรัพยากรเพื่อการเกษตร การกว้านซื้อที่ดิน การกดราคาสินค้าเกษตรในขณะที่ขายปัจจัยการผลิตในราคาแพง ฯลฯ
ชาวนาชาวไร่รายย่อยคือผู้เลี้ยงดูโลกตัวจริง
มีการศึกษาวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่า
ที่จริงแล้วอาหารส่วนใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตประชากรโลกอยู่นั้น
มาจากการผลิตของชาวนาชาวไร่รายย่อย
ตรงกันข้ามกับภาพลวงตาที่มากับโฆษณาชวนเชื่อของเกษตรอุตสาหกรรมอย่างสิ้น
เชิง แม้ชาวนาชาวไร่รายย่อยทั่วโลกจำนวนราว 1,500 ล้านคน
(ซึ่งรวมคนเผ่าพื้นเมืองอย่างน้อย 370 ล้านคน)
จะถือครองที่ดินการเกษตรไม่ถึงครึ่งของที่ดินทั้งหมด แต่การศึกษาขององค์กร
ETC พบว่า พวกเขาสามารถผลิตอาหารให้แก่โลกได้อย่างน้อย 70% ของอาหารโดยรวม
โดยที่ 50% ของอาหารมาจากชาวนาชาวไร่ที่ทำการเกษตรในชนบท 12.5%
มาจากการล่าสัตว์และเก็บของป่า และอีก 7.5% มาจากการทำการเกษตรในเขตเมือง
(http://www.etcgroup.org /en/node/4921) ในทางกลับกัน
ธุรกิจเกษตรถือเอาการค้าการส่งออกเป็นอาชีพหลัก
และมีแนวโน้มที่จะผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงสัตว์ ผลิตเอธานอลเพื่อเลี้ยงรถยนต์
หรือปลูกพืชผลเกษตรอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารโดยตรงด้วยเหตุที่การเกษตรของชาวนาชาวไร่รายย่อยอาศัยธรรมชาติโดยตรง พวกเขาจึงสั่งสมความรู้ด้านการเพาะปลูกที่ไม่รบกวนธรรมชาติ และการบำรุงรักษาผืนดินและธรรมชาติแวดล้อม แม้จะใช้สิ่งนำเข้าที่เป็นสินค้าของธุรกิจเกษตรน้อยหรือไม่ใช้เลย แต่การเกษตรนิเวศโดยชาวนาชาวไร่โดยประยุกต์ความรู้พื้นบ้านและวิธีการผลิต ที่หลากหลายแบบดั้งเดิมนั้น มีศักยภาพล้นเหลือในการผลิตอาหารทั้งในปัจจุบันและอนาคต อีกทั้งการผลิตอาหารเพื่อตลาดในท้องถิ่นก่อน ยังทำให้ผู้คนเข้าถึงอาหารได้ง่ายกว่า
ลาเวียคัมเปซินา: ขบวนการเคลื่อนไหวของชาวนาเพื่อเลี้ยงดูโลก
ชาวนาชาวไร่รายย่อยทั่วโลกล้วนเผชิญปัญหารากเหง้าอย่างเดียวกัน
นั่นคือการรุกคืบของธุรกิจการเกษตรที่ร่วมมือกับอำนาจรัฐ
เพื่อดำเนินนโยบายการเกษตรเชิงธุรกิจและอุตสาหกรรม
และเบียดขับชาวนาชาวไร่รายย่อยออกไป ซึ่งแสดงออกเป็นอาการของปัญหามากมาย
เช่น การสูญเสียที่ดินจากการแย่งชิง การกว้านซื้อที่ดิน
และการถูกบังคับให้ละทิ้งถิ่นฐานและอาณาเขต
การใช้กำลังทหารหรือกองกำลังติดอาวุธละเมิดสิทธิของชาวนาในพื้นที่พิพาทด้าน
ทรัพยากร
การใช้ความรุนแรงและการดำเนินคดีอาญาต่อชาวนาชาวไร่รายย่อยที่ปกป้องสิทธิ
มนุษยชนและสิทธิชุมชนของตน
การทำให้ชาวนาชาวไร่รายย่อยสูญเสียการเข้าถึงตลาด
และสูญเสียการควบคุมด้านราคา การแปรรูป และการตลาดของอาหาร
การทำให้ชาวนาชาวไร่สูญเสียอิสรภาพและต้องไปเป็นลูกจ้างภาคการเกษตร
การสูญเสียความรู้ดั้งเดิมในการทำการทำนาทำไร่ และอื่นๆ อีกมาก
ปัญหาดังกล่าวนี้
ยิ่งสร้างความรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีกในกลุ่มชาวนาชาวไร่รายย่อยที่เป็น
ชนกลุ่มน้อย ชนเผ่าพื้นเมือง เยาวชน ผู้หญิง และผู้สูงอายุลาเวียคัมเปซินา (La Via Campesina) คือองค์กรที่เกิดจากการรวมตัวกันของขบวนการเคลื่อนไหวของชาวนาชาวไร่รายย่อย จากทั่วโลก ที่เรียกร้องความเป็นธรรม ปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของตน รวมถึงปกป้องภารกิจการผลิตอาหารเลี้ยงดูประชากรโลกของตนทั้งในปัจจุบันและใน อนาคต ท่ามกลางสภาพทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่บั่นทอนศักยภาพและคุกคามต่อคนเล็กคนน้อยเหล่านี้ สมาชิกของลาเวียคัมเปซินามีทั้งชาวนา ชาวไร่ ชาวประมงพื้นบ้าน พราน คนเก็บหาของป่า คนเลี้ยงสัตว์ คนเผ่าเร่ร่อน คนเผ่าพื้นเมือง แรงงานภาคเกษตรไร้ที่ดิน ช่างหัตถกรรมเพื่อผลิตเครื่องมือทางการเกษตร และอื่นๆ ที่การทำมาหากินขึ้นอยู่กับธรรมชาติ มีความสัมพันธ์โดยตรง และสอดคล้องกับธรรมชาติ
ลาเวียคัมเปซินาก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2536 แต่จุดกำเนิดขององค์กรเกิดขึ้นกว่า 10 ปีก่อนหน้านั้น ในช่วงนั้นองค์กรที่ร่วมก่อตั้งลาเวียคัมเปซินาได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ทั้งในระหว่างภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งทำให้เกิดการรวมกลุ่มขององค์กรชาวนาในยุโรป อเมริกาใต้ อเมริกากลาง ภูมิภาคแคริบเบียน แคนาดา และสหรัฐอเมริกา จนในที่สุดก็เป็นขบวนการเคลื่อนไหวของชาวนาระดับโลกที่รวมองค์กรจากแอฟริกา และเอเชีย กล่าวได้ว่าลาเวียคัมเปซินาคือองค์กรของชาวนาชาวไร่กว่า 200 ล้านคนทั่วโลกจากสมาชิก 150 องค์กรใน 70 ประเทศทั้งโลกฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ทั้งหมดนี้มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน นั่นคือการปฏิเสธตัวแบบการพัฒนาชนบทแบบเสรีนิยมใหม่ การปฏิเสธการกีดกันชาวนาออกไปจากนโยบายด้านเกษตร การยืดหยัดอย่างมั่นคงที่จะไม่ยอมให้ชาวนาชาวไร่รายย่อยสูญสิ้นไป ความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวนาชาวไร่รายย่อย และการสร้างอิสรภาพในกับระบบอาหารแทนที่จะให้อาหารตกอยู่ภายใต้การยึดครอง ของบรรษัท บรรษัทข้ามชาติ และตลาดต่างประเทศ ลาเวียคัมเปซินาดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยใช้ยุทธศาสตร์การสร้างความสมานฉันท์ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลาย
ภารกิจปกป้องชาวนาชาวไร่รายย่อยของลาเวียคัมเปซินา
ลาเวียคัมเปซินาทำงานในท้องทุ่งร่วมกับสมาชิกในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ในประเด็นที่คุกคามต่อสมาชิกในระดับท้องถิ่น
เช่นต่อต้านการแพร่กระจายของเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม
ต่อต้านการสร้างสนามกอล์ฟ ต่อต้านการปลูกยูคาลิปตัสแปลงใหญ่
และรณรงค์ยกเลิการใช้สารเคมีอันตรายในการเกษตร เป็นต้น
รวมทั้งทำการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาการเกษตรนิเวศของชาวนาชาวไร่รายย่อยในระดับนานาชาตินั้น นับตั้งแต่ปี 2537 ซึ่งมีการลงนามในข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีศุลกากรและการค้า (GATT) รอบอุรุกวัย เป็นต้นมา ไม่ว่าสถาบันระหว่างประเทศเช่น ธนาคารโลก องค์การการค้าโลก องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ จะจัดประชุมกันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการเกษตร ในที่ใด ที่นั้นก็จะมีสมาชิกของลาเวียคัมเปซินาชุมนุมกันเพื่อปฏิเสธการประชุมเหล่า นี้ ไม่ว่าจะเป็นในท้องถนนในกรุงเจนีวา ปารีส ซีแอตเติล วอชิงตัน ควีเบค โรม บังกาลอร์ ปอร์โตอัลเลเกร แคนคูน ฮ่องกง เป็นต้น พร้อมกันนั้นก็นำเสนอแนวคิดที่ท้าทายตัวแบบเสรีนิยมใหม่อย่างซึ่งหน้า เช่นเรื่องอธิปไตยทางอาหาร สิทธิชาวนาชาวไร่ เกษตรนิเวศโดยชาวนาชาวไร่ เป็นต้น
นอกจากนี้จากการที่ชาวนาชาวไร่รายย่อยเป็นกลุ่มประชากรโลก ที่มีความเปราะบางต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ลาเวียคัมเปซินาจึงเห็นว่าจะต้องมีกฎระเบียบสากลเพื่อปกป้องสิทธิของชาวนา จึงได้เสนอร่าง กฎบัตรสากลว่าด้วยสิทธิชาวนาชาวไร่ (The International Convention on the Rights of Peasants (ICRP)) กฎบัตรนี้จะรวมถึงสิทธิด้านที่ดินและอาณาเขต สิทธิด้านเมล็ดพันธุ์ สิทธิด้านความรู้การเกษตรดั้งเดิม สิทธิด้านการปกป้องคุณค่าด้านการเกษตร สิทธิด้านวิถีการผลิต สิทธิด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น และขณะนี้อยู่ระหว่างการรณรงค์ต่อองค์การสหประชาชาติ
ท้ายที่สุดพวกเราทุกคนต้องร่วมกันตัดสินใจว่า สำหรับเราแล้วอาหารคืออะไร คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ทุกคนให้ดำรงอยู่อย่างมีสุขภาพและคุณภาพ ชีวิตที่ดีทั้งในวันนี้และวันหน้า หรือสิ่งที่จะนำไปตักตวงกำไรให้เร็วที่สุดในภาวะโลกที่ยากแค้นขาดแคลนลงทุก วัน หากเราเลือกข้อแรก คำถามต่อไปก็คือเราจะมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนผ่านจากเกษตรล้างผลาญโดยธุรกิจ เกษตร มาเป็นเกษตรยั่งยืนโดยชาวนาชาวไร่รายย่อยได้อย่างไร การเปลี่ยนผ่านนี้ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนในประเด็นสำคัญระดับโครงสร้างของ ประเทศ เช่นการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร การทำให้การตลาดของอาหารกลับคืนสู่ท้องถิ่น การปกป้องตลาดในประเทศ การปฏิเสธการค้าเสรีและการเก็งกำไรด้านอาหาร รวมทั้งการเปลี่ยนกระบวนทัศน์และพฤติกรรม เช่นเคารพภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนพื้นเมือง ปฏิเสธอาหารจากบรรษัท สนับสนุนตลาดที่เชื่อมโยงชาวนากับผู้บริโภคทางตรง และสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวของชาวนา ซึ่งทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น