updated: 23 ก.ย. 2556 เวลา 01:25:35 น.
หมายเหตุ - นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา ได้เขียนบทความ "ร่าง
พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.... ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่" เสนอมุมมองทางกฏหมาย โต้แย้งกรณีพรรคประชาธิปัตย์ที่ระบุว่าร่างกม.ดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญร่าง พระราชบัญญัติให้อำนาจฯ หรือที่เรียกกันแบบง่ายๆ ว่า ร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น มีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ "ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่าง ประเทศในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อนำไปใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์และแผนงาน และภายในวงเงินที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้" (มาตรา 5) ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและการเพิ่มขึ้นของประชากรที่เกิดขึ้นอย่าง รวดเร็ว การขยายตัวด้านการค้า การลงทุน และเพื่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รัฐบาลจึงต้องการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนทั้งในพื้นที่ชนบท พื้นที่เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ รวมทั้งเป็นการเชื่อมโยงฐานการผลิตกับฐานการส่งออกระหว่างภาคต่างๆ ของประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งในระดับภูมิภาค เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและลดต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งการจะดำเนินการที่กล่าวมาได้จำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องมีแหล่ง เงินแน่นอนที่จะนำมาใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง โดยมีการวางแผนการเงินระยะยาวที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศและเสริม สร้างความมั่นใจของภาคเอกชนในการจัดทำแผนการลงทุนของตนเองควบคู่ไปกับแนวทาง การลงทุนของรัฐที่กล่าวมา
การลงทุนในวงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาทนั้น จะสิ้นสุดกำหนดเวลากู้เงินไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2563 นั่นก็คือถ้าร่างกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ภายใน พ.ศ.2556 และเริ่มดำเนินการได้ใน พ.ศ.2557 การกู้เงินจะใช้ช่วงเวลาประมาณ 7 ปี ซึ่งคิดเฉลี่ยเป็นการกู้ปีละประมาณ 2.85 แสนล้านบาท ในขณะที่งบประมาณรายจ่ายของประเทศใน พ.ศ.2554 เท่ากับ 2,169,967.5 ล้านบาท พ.ศ.2555 เท่ากับ 2,380,000 ล้านบาท พ.ศ.2556 เท่ากับ 2,400,000 ล้านบาท และ พ.ศ.2557 ซึ่งจะเริ่มในเดือนตุลาคม พ.ศ.2556 เท่ากับ 2,525,000 ล้านบาท
ข้อดีของการกู้เงินเพื่อลงทุนในครั้งนี้ ซึ่งจะตกประมาณร้อยละ 11.3 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2557 นั้น คงไม่ต้องอธิบายกันมาก แต่ปัญหาที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายก็ดี พรรคฝ่ายค้านก็ดี เห็นว่าร่างกฎหมายนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ฟังขึ้นหรือไม่นั้น น่าจะเป็นประเด็นสำคัญที่สุด และเป็นกรณีตัวอย่างกรณีหนึ่งในการสกัดกั้นการทำงานของรัฐบาลในเรื่องสำคัญๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน โดยอาศัยศาลรัฐธรรมนูญ
ดังจะเห็นได้จากปัญหาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หรือเป็นรายมาตรา หรือแม้แต่ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2557
1.การจ่ายเงินแผ่นดินกระทำได้กรณีใดบ้าง
เงินแผ่นดินที่ รัฐนำมาใช้จ่ายในการบริหารราชการแผ่นดินนั้น ได้มาจากภาษีอากร เงินกู้ หรือรายได้จากการประกอบกิจการของหน่วยงานของรัฐที่กฎหมายกำหนดให้ส่งเป็นราย ได้แผ่นดินหรือได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเป็นรายได้แผ่นดิน การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำภายใต้รัฐธรรมนูญมาตรา 143 มาตรา 169 และมาตรา 170 ซึ่งเป็นหลักการที่ไม่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ตั้งแต่ พ.ศ.2489 เป็นต้นมา เพียงแต่รัฐธรรมนูญฉบับหลังๆ จะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น โดยมีช่องทางหลัก 4 ช่องทาง คือ
1) การจ่ายเงินแผ่นดินที่ดำเนินการโดยงบประมาณรายจ่ายในแต่ละปี ซึ่งเป็นการจ่ายเงินแผ่นดินตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ โดยกรณีดังกล่าวต้องดำเนินการจัดทำเป็นกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปี กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ โดยวิธีการจ่ายจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ.2491 มาตรา 5 และมาตรา 6 ซึ่งต้องจ่ายเงินจากบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 2 ทั้งนี้ เงินที่จะนำมาใช้จ่ายในกรณีนี้จะมาจากภาษีอากร ค่าปรับ หรือเงินกู้ที่มีการกำหนดให้สมทบเป็นเงินคงคลัง ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ.2491
2) การจ่ายเงินแผ่นดินไปก่อนในกรณีที่มิได้มีการกำหนดไว้ในงบประมาณรายจ่าย ประจำปี ซึ่งมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดว่าในกรณีจำเป็นเร่งด่วนรัฐบาลจะจ่ายเงินไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกรณีดังกล่าวพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ.2491 มาตรา 7 กำหนดให้สามารถสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 2 ได้ก่อนที่มีกฎหมายอนุญาตให้จ่าย โดยต้องเป็นไปตามเฉพาะกรณีที่กำหนดไว้ในมาตรา 7 เช่น กรณีมีกฎหมายใดๆ ที่กระทำให้ต้องจ่าย เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายนั้นๆ และมีความจำเป็นต้องจ่ายโดยเร็ว หรือมีข้อผูกพันกับรัฐบาลต่างประเทศ และมีความจำเป็นต้องจ่ายโดยเร็ว เป็นต้น ซึ่งการจ่ายเงินไปก่อนดังกล่าวจะต้องตั้งเงินรายจ่ายเพื่อชดใช้ในกฎหมายงบ ประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม กฎหมายว่าด้วยโอนงบประมาณรายจ่าย หรือกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีถัดไป
3) การจ่ายเงินแผ่นดินในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจ่ายจากเงินราย ได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน เช่น กรณีพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 (ไทยพีบีเอส) หรือกรณีกองทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐ เช่น พระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 ที่จะมีการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐสามารถนำเงินที่ได้รับจากการจัดสรรจากภาษี อากรหรือการดำเนินกิจการของตนเองไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องมีการนำส่งคลังเป็น รายได้แผ่นดิน โดยหน่วยงานของรัฐจะมีระเบียบว่าด้วยการใช้จ่ายเงินในกรณีดังกล่าวเป็นการ เฉพาะ และกรณีดังกล่าวจะมีการกำหนดควบคุมโดยมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติให้หน่วยงานต้องจัดทำรายงานการรับและการจ่ายเงินดังกล่าวเสนอต่อ คณะรัฐมนตรีเมื่อสิ้นปีงบประมาณทุกปี และรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไปด้วย
4) การจ่ายเงินแผ่นดินโดยการตรากฎหมายกู้เงิน ซึ่งเป็นการจ่ายเงินตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 142 และมาตรา 143 (3) ที่บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีสามารถเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน เกี่ยวกับการกู้เงินและการใช้เงินกู้ได้ หรือตามมาตรา 184 ที่บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจตราพระราชกำหนดเพื่อประโยชน์ในอันที่จะ รักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศได้ ซึ่งมีการตราพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดโดยอาศัยรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจกู้ เงินได้มาโดยตลอดตั้งแต่ พ.ศ.2476 เป็นต้นมา รวมถึงปัจจุบันนับได้ 36 ฉบับแล้ว
นอกจากนี้ การกู้เงินยังคงทำได้อีกทางหนึ่ง คือ ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ยกเลิกกฎหมายหลายฉบับ ที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะของประเทศมี ประสิทธิภาพ และมีการดูแลให้ภาระหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับฐานะการเงินการ คลังของประเทศ กฎหมายนี้จึงอนุญาตให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณได้ ไม่เกินร้อยละ 20 เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไม่เกินร้อยละ 10 เพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะไม่เกินจำนวนเงินกู้ที่ยังค้างชำระ เป็นต้น
ซึ่ง ถ้าเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณแล้ว เงินกู้นั้นต้องนำส่งคลัง ส่วนกรณีอื่นไม่ต้อง เงินกู้จึงเป็นเงินแผ่นดินโดยมีทั้งกรณีที่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายวิธีการงบ ประมาณและกฎหมายเงินคงคลัง และที่ไม่ต้องนำส่งคลัง กรณีการกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริม สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 (ไทยเข้มแข็ง) ซึ่งกู้เงินประมาณ 400,000 ล้านบาท สมัยพรรคประชาธิปัตย์ และร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน (ร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท) สมัยพรรคเพื่อไทยขณะนี้ ล้วนเป็นกรณีที่ไม่ต้องนำเงินกู้ส่งคลังหรือส่งเป็นรายได้แผ่นดินทั้งสิ้น
2."ร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท" ไม่ใช่การกู้เงินเพื่อจ่ายเงินแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 169
ดัง ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า การจ่ายเงินแผ่นดินนั้นกระทำได้โดยกรณีใดบ้างและแม้จะใช้วิธีการกู้เงินซึ่ง เงินกู้นั้นจะเป็นเงินแผ่นดิน ก็มิได้หมายความว่าเงินกู้ดังกล่าวจะเป็นเงินแผ่นดินที่ต้องนำส่งคลังเพื่อ ใช้จ่ายภายใต้กฎหมาย 4 ฉบับ (กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง) ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 169 บัญญัติไว้เสมอไป
ดัง นั้นเงินกู้ไม่ว่าจะกู้โดยการตราพระราชบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 142 และมาตรา 143 (3) (กรณีร่างกฎหมาย 2 ล้านล้านบาท) หรือโดยการตราพระราชกำหนดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 (พระราชกำหนด "ไทยเข้มแข็ง" 2552) จึงเป็นการกู้เงินโดยอาศัยอำนาจตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับการจ่าย เงินแผ่นดินก็ต้องอาศัยกฎหมายที่ตราขึ้นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 คงต่างกันตรงที่ว่าเงินกู้ซึ่งเป็นเงินแผ่นดินนั้นจะมีการจ่ายไปตามลักษณะ และวิธีการของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ถ้าต้องกู้เงินเพื่อใช้จ่ายชดเชยการขาดดุลงบประมาณตามกฎหมายงบประมาณรายจ่าย ประจำปี ก็ต้องกู้โดยอาศัยกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ และต้องจ่ายตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายเงินคงคลัง เพราะเงินกู้ในกรณีดังกล่าวต้องนำส่งคลัง หากไม่ต้องนำส่งคลังไม่ว่าจะเป็นการกู้ตามกฎหมายบริหารหนี้สาธารณะหรือ กฎหมายอื่นๆ ก็จะจ่ายตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายในเรื่องการกู้นั้นๆ กำหนด เช่น พระราชกำหนด "ไทยเข้มแข็ง"สมัยพรรคประชาธิปัตย์ ที่มาตรา 4 ระบุว่า "เงินที่ได้จากการกู้ตามมาตรา 3 (400,000 ล้านบาท) ให้นำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ในการกู้โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วย วิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง..." ซึ่งก็เหมือนกันกับมาตรา 6 ของร่างพระราชบัญญัติ "กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท"
1) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 11/2552 ประเด็นที่ว่าการกู้เงินแล้วนำไปจ่ายโดยไม่เป็นไปตามกฎหมาย 4 ฉบับ ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 169 กำหนดนั้น มีผลตามกฎหมายเช่นใด เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 โดยเป็นปัญหามาจากการตราพระราชกำหนด "ไทยเข้มแข็ง" ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2552 ที่ถูกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยร้องศาลรัฐธรรมนูญว่า การตราพระราชกำหนดไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง บัญญัติไว้ และการที่พระราชกำหนด "ไทยเข้มแข็ง" บัญญัติให้การใช้จ่ายเงินกู้กระทำได้เลยตามวัตถุประสงค์ของการกู้โดยไม่ต้อง นำส่งคลังเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ที่บัญญัติให้การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ตามกฎหมาย 4 ฉบับ เท่านั้น นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ลงนามเห็นชอบบันทึกคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรณีดังกล่าว กรณีขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 มีข้อความดังนี้
3."การกล่าวอ้างที่ว่า การที่มาตรา 4 ของพระราชกำหนดบัญญัติให้การใช้จ่ายเงินกู้ไม่ต้องนำส่งคลังโดยให้นำไปใช้ ตามวัตถุประสงค์ในการกู้ได้เลยนั้น
เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ที่บัญญัติให้การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมาย ว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง นั้น เห็นว่า โดยที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ยกเว้นกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 23 ตรี ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจจะจ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันได้แต่เฉพาะตามที่ กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือตามอำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมายอื่น..." ประกอบกับมาตรา 24 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บรรดาเงินที่ส่วนราชการได้รับไว้เป็นกรรมสิทธิ์ไม่ว่าจะได้รับตามกฎหมาย หรือระเบียบข้อบังคับ หรือได้รับชำระตามอำนาจหน้าที่หรือสัญญา หรือได้รับจากการให้ใช้ทรัพย์สิน หรือเก็บดอกผลจากทรัพย์สินของราชการ ให้ส่วนราชการที่ได้รับเงินนั้นนำส่งคลังตามระเบียบหรือข้อบังคับที่ รัฐมนตรีกำหนด เว้นแต่จะมีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น" ดังนั้น การจ่ายเงินหรือการกู้เงินซึ่งเป็นการก่อหนี้ผูกพันจึงอาจกำหนดไว้เป็นพิเศษ ได้โดยกฎหมายเฉพาะอื่นได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายวิธีการงบประมาณ
การ ที่พระราชกำหนด มาตรา 4 กำหนดให้การใช้จ่ายเงินกู้ที่เกิดจากการกู้เงินตามพระราชกำหนดไม่ต้องนำส่ง คลังโดยให้นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ในการกู้เงินได้ จึงเป็นการกำหนดโดยกฎหมายอื่นตามที่บทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบ ประมาณอนุญาตไว้ ประกอบกับการกู้เงินของรัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังที่ผ่านมาและตามกฎหมายว่า ด้วยการบริหารหนี้สาธารณะก็ยึดถือหลักการในลักษณะนี้มาโดยตลอดเช่นกัน จึงเป็นกรณีที่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ มาตรา 23 วรรคหนึ่ง และมาตรา 24 วรรคหนึ่ง แล้ว" สรุปก็คือ นายอภิสิทธิ์เห็นว่ากฎหมายกู้เงินทั้งหลายที่กำหนดให้เงินกู้ซึ่งเป็นเงิน แผ่นดินแต่ไม่ต้องนำส่งคลังนั้น เป็นกฎหมายที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฯ มาตรา 23 และมาตรา 24 เพราะมาตรา 23 วรรคแรก บัญญัติให้การจ่ายเงินสามารถกระทำได้ตามกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี กฎหมายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือตามอำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมายอื่น มาตรา 24 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ส่วนราชการที่ได้รับเงินนำเงินนั้นส่งคลังตามระเบียบหรือข้อ บังคับที่รัฐมนตรีกำหนด เว้นแต่จะมีกฎหมายกำหนดเป็นอย่างอื่น
นอกจาก การตราพระราชกำหนด "ไทยเข้มแข็ง" แล้ว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้ เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ.... (ไทยเข้มแข็ง 2) อีก 400,000 ล้านบาท โดยสาระสำคัญคล้ายกับพระราชกำหนด "ไทยเข้มแข็ง" และได้ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร จนสุดท้ายอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วมกันของทั้ง 2 สภา แต่คณะรัฐมนตรีสมัยนายอภิสิทธิ์ได้ขอถอนร่างดังกล่าวออกไป เนื่องจากเห็นว่าภาวะทางเศรษฐกิจและสถานะทางการคลังของประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ ดีขึ้น (หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0503/7615 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2553) ซึ่งร่างพระราชบัญญัตินี้ก็มีบทบัญญัติที่กำหนดให้เงินกู้ไม่ต้องนำส่งคลัง ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังเช่นเดียวกัน
ศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การตราพระราชกำหนด "ไทยเข้มแข็ง" ไม่ขัดต่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง คือ เป็นเรื่องเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ โดยไม่แตะประเด็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 หรือไม่ ซึ่งก็ต้องแปลความว่า ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าสามารถตรากฎหมายอื่นนอกเหนือจากกฎหมาย 4 ฉบับดังกล่าว เพื่อกำหนดการจ่ายเงินแผ่นดินโดยกฎหมายนั้นๆ ได้ ข้อต่อสู้ของนายอภิสิทธิ์จึงมีเหตุผลและเป็นหลักการที่ถูกต้อง สอดคล้องกับที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่ พ.ศ.2476 แล้ว
อนึ่ง ในการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ "กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท" เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2556 สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางท่านได้ยอมรับว่าทำได้ แต่ต้องตราเป็นพระราชกำหนดเท่านั้น และที่ผ่านมาก็เป็นพระราชกำหนดทั้งสิ้น ความเห็นนี้คงไม่ถูกต้องและขัดต่อคำชี้แจงของนายอภิสิทธิ์เองที่ไม่ได้ระบุ เลยว่า ต้องเป็นกรณีตามพระราชกำหนดเท่านั้นจึงจะชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 และจากประวัติศาสตร์ที่มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับการกู้เงินทั้งหมด 36 ฉบับ ตั้งแต่ พ.ศ.2476 นั้น เป็นประกาศคณะปฏิวัติ 2 ฉบับ พระราชกำหนด 6 ฉบับ อีก 24 ฉบับ เป็นพระราชบัญญัติ และแม้แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เองก็เสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติในการกู้เงิน "ไทยเข้มแข็ง 2" เพราะคงเห็นว่าไม่มี "ความจำเป็นเร่งด่วน" ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขให้ตราพระราชกำหนดดังเช่นกรณี "ไทยเข้มแข็ง 1"
2) ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 888/2552
ใน วันที่ 2 ตุลาคม 2552 กระทรวงการคลังในสมัยนายอภิสิทธิ์ได้หารือคณะกรรมการกฤษฎีกาอีกว่า การใช้จ่ายเงินตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งตามพระราชกำหนด "ไทยเข้มแข็ง" สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 หรือไม่ โดยกระทรวงการคลังให้ความเห็นทำนองเดียวกันกับบันทึกชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ของนายอภิสิทธิ์ เมื่อ 25 พฤษภาคม 2552 กล่าวคือ เห็นว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ประกอบกับกฎหมายวิธีการงบประมาณ มาตรา 23 และมาตรา 24
คณะ กรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 12) ที่มีศาสตราจารย์พนัส สิมะเสถียร เป็นประธาน (ขณะเดียวกันท่านก็เป็นประธานคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการตาม แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ซึ่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2552) ได้ตอบข้อหารือสรุปว่า พระราชกำหนด "ไทยเข้มแข็ง" ได้บัญญัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินโดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วย วิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง จึงไม่เป็นเงินแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ดังนั้น การใช้จ่ายเงินตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จึงไม่ใช่การจ่ายเงินแผ่นดินตามนัยมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ
ความหมาย ก็คือ การจ่ายเงินแผ่นดิน หากเป็นเงินที่นำส่งคลังก็ต้องจ่ายภายใต้หลักเกณฑ์ของกฎหมาย 4 ฉบับ แต่ถ้าไม่ใช่เงินที่ต้องนำส่งคลัง ก็จ่ายตามกฎหมายอื่น ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับบันทึกคำชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว การจ่ายเงินแผ่นดินนอกจากจะกระทำได้ตามกฎหมาย 4 ฉบับ ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 แล้วยังสามารถกระทำได้ตามกฎหมายที่ตราขึ้นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 142 และมาตรา 143 รวมทั้งมาตรา 184 ดังที่กล่าวมาข้างต้น และการจ่ายเงินตามกฎหมายอื่นที่ตราขึ้นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 142 และมาตรา 143 รวมทั้งมาตรา 184 นั้น เป็นกรณีที่สอดคล้องกับกฎหมายวิธีการงบประมาณ มาตรา 23 และมาตรา 24 อันทำให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 อีกด้วย จึงไม่มีเหตุใดๆ เลยที่จะทำให้กฎหมายกู้เงินทั้งหลายที่กำหนดให้เงินกู้ไม่ต้องนำส่งคลังตาม กฎหมายวิธีการงบประมาณและกฎหมายเงินคงคลัง จะถูกโต้แย้งว่าขัดรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 169 ได้ และยิ่งหากการโต้แย้งมาจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีความเห็นเช่นนี้มาก่อนยิ่ง ไม่น่าเชื่อถือและเป็นไปได้เลย
3.ทำไมรัฐบาลจึงเลือกใช้ช่องทางตรา กฎหมายกู้เงินแทนที่จะดำเนินการผ่านกระบวนการตามกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำ ปี กระทรวงการคลังชี้แจงในประเด็นสำคัญที่สุดคือ หากนำเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ซึ่งต้องใช้เงิน 2 ล้านล้านบาท ใน 7 ปี ไปบรรจุเป็นโครงการในกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปีแล้ว จะมีปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ ความต่อเนื่องและความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะงบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้นเป็นการใช้จ่ายเงินในโครงการต่างๆ จำนวนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นรายจ่ายประจำ เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าสวัสดิการต่างๆ บำนาญ ถึงเกือบร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 นั้น ร้อยละ 2-3 เป็นการชำระหนี้ งบลงทุนจะเหลืออยู่ประมาณ ร้อยละ 17-18 เท่านั้น สำหรับงบลงทุนตามกฎหมายงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2557นั้น อยู่ที่ 441,510 ล้านบาท หรือเท่ากับร้อยละ 17.5
จริงอยู่ รัฐบาลอาจจัดทำงบประมาณขาดดุลได้อีกร้อยละ 20 ตามกฎหมายบริหารหนี้สาธารณะ หรือเป็นเงิน 505,000 ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2557 เพราะกฎหมายนี้ตั้งไว้ขาดดุลอยู่แล้ว 250,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงเหลืออีก 255,000 ล้านบาท ที่จะนำมาใช้ทำโครงการตามร่างกฎหมาย 2 ล้านล้านบาทได้ แต่นั่นหมายความว่า จะต้องทำเช่นนี้ไปอีก 7 ปี ในขณะที่ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการคลังกับสำนักงบประมาณ โดยมีนายอภิสิทธิ์ลงนามเป็นพยาน เมื่อ 9 สิงหาคม 2553 "กำหนดแผนปฏิบัติการสู่งบประมาณสมดุลภายในระยะเวลา 5 ปี" นั่นคือ งบประมาณรายจ่ายปี 2560 จะเป็นงบประมาณสมดุล เพราะตั้งแต่ พ.ศ.2550 ประเทศไทยใช้งบประมาณแบบขาดดุลมาโดยตลอด ซึ่งเข้าใจว่าเป็นความปรารถนาดีของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เพราะหากประเทศมีงบประมาณสมดุล เครดิตของประเทศในสายตานานาชาติจะดี แสดงว่าเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ ภาครัฐไม่ต้องใช้งบประมาณขาดดุลด้วยการกู้เงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคเอกชนเข้มแข็ง ต่างประเทศอยากมาลงทุน และการขาดดุลงบประมาณเป็นระยะเวลานานๆ อาจถูกมองได้ว่าไม่ค่อยมีวินัยการเงินการคลัง
ดังนั้น ถ้าจะให้งบประมาณสมดุลในปี 2560 ตามที่กล่าวมา แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับเสนอให้การกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน คมนาคม (กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท) ไปใช้ระบบงบประมาณปกติ ด้วยการกู้เงินเพิ่มโดยอาศัยกฎหมายบริหารหนี้สาธารณะในวงเงินไม่เกินร้อยละ 20 ของงบประมาณดังที่กล่าวมาข้างต้น งบประมาณแผ่นดินจะไม่มีทางเข้าสู่ภาวะสมดุลได้เลย
จริงอยู่ การกู้เงินนอกระบบงบประมาณแผ่นดินเช่นกรณี "ไทยเข้มแข็ง" และ "2 ล้านล้านบาท" นี้ ย่อมเป็นหนี้ของประเทศโดยรวม ซึ่งช่วง 3 ปี (2552-2554) สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ระดับหนี้สาธารณะได้เพิ่มจาก 3,409,231 ล้านบาท เป็น 4,448,798 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,040,567 ล้านบาท โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกรณ์ จาติกวณิช ได้ปรับเพดานหนี้สาธารณะจากไม่เกินร้อยละ 50 ของ GDP เป็นร้อยละ 60 ของ GDP ในเดือนสิงหาคม 2552 ช่วง พ.ศ.2555-2556 สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนี้สาธารณะได้เพิ่มไปอีก 776,168 ล้านบาท รวมเป็น 5,224,966 ล้านบาท แต่คิดแล้วเท่ากับร้อยละ 44.1 ของ GDP ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานเดิมก่อนสิงหาคม 2552 อยู่เกือบร้อยละ 6 และต่ำกว่ามาตรฐานใหม่ถึงเกือบร้อยละ 16 และจากการประมาณการของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง แม้จะมีการกู้เงินตามร่างกฎหมาย 2 ล้านล้านบาท อีกเฉลี่ยปีละ 2.85 ล้านบาท ไปอีก 7 ปีนั้น หนี้สาธารณะก็จะอยู่ระหว่างร้อยละ 45-48.4 หรือไม่เกินร้อยละ 50 ตามมาตรฐานเดิม
ดังนั้น วิธีการใช้เงินกู้ที่แยกต่างหากจากกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี จึงน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ หนึ่ง ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการให้งบประมาณของประเทศเข้าสู่ภาวะสมดุลในปี 2560 สอง สัดส่วนหนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับไม่สูงกว่าร้อยละ 50 ซึ่งยังเหลือช่องว่างอีกถึงร้อยละ 10 ตามมาตรฐานที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เคยกำหนดไว้ สาม โครงการต่างๆ ตามกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะมีความต่อเนื่อง ชัดเจน และเป็นแนวทางให้ภาคเอกชนจัดทำแผนการค้าและการลงทุนของตนให้สอดคล้องกับแผน การลงทุนด้านคมนาคมของรัฐบาลในช่วง 7 ปี ซึ่งจะทำให้การเติบโตและการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมีพลวัตสูง ประสบการณ์ในทางลบของการลงทุนโดยผ่านระบบงบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้นมีมาก มาย เช่น โครงการรถไฟทางคู่ คณะรัฐมนตรีอนุมัติตั้งแต่ 16 มีนาคม 2536 โดยมีเป้าหมายจัดสร้าง 2,744 กม. แต่ปัจจุบันแล้วเสร็จเพียง 358 กม. หรือร้อยละ 13 รถไฟฟ้า 10 สาย คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตั้งแต่ 7 กันยายน 2537 ระยะทาง 291 กม. ปัจจุบันแล้วเสร็จ 80 กม. หรือร้อยละ 27 ดังนั้น "เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท" จำนวนร้อยละ 82 จึงเน้นที่การคมนาคมระบบราง ซึ่งพัฒนาได้น้อยมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
สรุป
การกู้เงินโดยการตราพระราชบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 142 และมาตรา 143 หรือตราพระราชกำหนดตามมาตรา 184 สามารถกระทำได้นอกเหนือจากมาตรา 169 และเป็นการชอบด้วยมาตรา 169 อีกด้วย เมื่อพิจารณาประกอบกับกฎหมายวิธีการงบประมาณ มาตรา 23 และมาตรา 24 ทั้งเป็นวิธีการที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้งบประมาณรายจ่ายของประเทศต้องอยู่ใน ภาวะขาดดุลเป็นเวลานาน โดยที่ระดับหนี้สาธารณะไม่เกินร้อยละ 50 ของ GDP ตามมาตรฐานเดิม และยังห่างจากร้อยละ 60 ของ GDP ตามมาตรฐานที่พรรคประชาธิปัตย์ปรับปรุงเมื่อสิงหาคม 2552
นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบถึงสภาพคล่องของประเทศแล้ว ในการจัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะปี 2557 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่ามีสภาพคล่องในตลาดตราสารเหลือกว่า 1.2 ล้านล้านบาท อันเพียงพอกับการกู้เงินตามแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2557 ซึ่งมีความต้องการกู้ประมาณ 660,000 ล้านบาท
ดังนั้น การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ในช่วง 7 ปี นับแต่นี้ไป หากรัฐบาลกู้เงินภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังยืนยันว่าจะกู้เงินในประเทศไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 นั้น ก็จะหมายความว่า รัฐบาลไทยยืมเงินคนไทยไปลงทุนให้คนไทย และใช้เงินต้นและดอกเบี้ยให้คนไทย แต่ผลผลิตที่ได้คือระบบสาธารณูปโภคของประเทศที่จะอยู่กับลูกหลานคนไทยต่อไป อีกเป็น 100 ปี คนไทยจึงได้ประโยชน์ทุกด้าน
สุดท้ายก็คือ การกู้เงิน 2 ล้านล้านนี้ มีระบบตรวจสอบที่มีมาตรฐานหรือไม่ เห็นว่า การกู้เงินนี้นอกจากต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งๆ ไปแล้ว ยังต้องดำเนินการโดยนำพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 มาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย จึงทำให้มีกระบวนการตรวจสอบที่มีวินัยทางการเงินการคลัง ดังนี้
1.ก่อนการกู้เงิน การกู้เงินโดยวิธีการออกตราสารหนี้จะต้องมีการประกาศจำนวนเงิน ระยะเวลา และวิธีการออกตราสารหนี้
2.ภาย หลังการกู้เงิน แต่ละครั้งจะต้องมีการประกาศแหล่งเงินกู้ เงื่อนไขเงินกู้ สกุลเงินกู้ จำนวนเงินกู้ การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท อัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย ระยะเวลาการชำระเงินต้นคืน วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้ เงื่อนไข วิธีการและสาระสำคัญอื่นใดที่จำเป็น ลงในราชกิจจานุเบกษาภายในระยะเวลา 60 วัน ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน
3.ภายใน 120 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ คณะรัฐบาลจะต้องรายงานตามพระราชบัญญัตินี้ที่ได้กระทำในปีงบประมาณที่ล่วงมา แล้ว ผลการดำเนินงานและการประเมินผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ ต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบ อันเป็นการยึดโยงกับผู้แทนปวงชนชาวไทย และให้ฝ่ายนิติบัญญัติใช้อำนาจตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน มาตรา 19)
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับพระราช กำหนด "ไทยเข้มแข็ง" แล้ว กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดดังกล่าวมีการกำหนดประมาณการความต้อง การเงินทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (ปี 2551-2553) อยู่เพียง 1 หน้า ไม่มีการระบุถึงแผนงานและพื้นที่ดำเนินการเลย มีเพียงระบุสาขา เช่น สาขาขนส่ง Logistic สาขาพลังงาน สาขาสื่อสาร ฯลฯ และวงเงิน ในขณะที่ร่างกฎหมาย 2 ล้านล้านนี้ ระบุถึงยุทธศาสตร์และแผนงาน ตลอดจนพื้นที่ดำเนินการและวงเงิน พร้อมกับเสนอเอกสารรายละเอียดของโครงการประกอบการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ให้แก่สภาผู้แทนราษฎรอีกถึง 231 หน้า
ได้แต่หวังว่าทุก ฝ่ายจะพิจารณากันด้วยเหตุด้วยผล และช่วยกันตรวจสอบในชั้นดำเนินการต่อไป เพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติและประชาชน
(ที่มา:มติชนรายวัน 22 ก.ย.2556)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น