จับตาการสร้างอนาคตไทยด้วยเงินกู้ 2 ล้านล้าน
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศครั้งใหญ่ที่มีการออกพระราชบัญญัติ
กู้เงินลงทุนกว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมองว่าเป็น พ.ร.บ.
สร้างอนาคตไทย 2020 ซึ่งล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรพิจารณามีมติเห็นชอบวาระ 3
ไปเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา
การปฎิรูปโครงสร้างประเทศครั้งใหญ่นี้แม้ควรเกิดขึ้นแต่ยังมีสิ่งที่ต้อง
ร่วมกันจับตาเพื่อให้เกิดการใช้เม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลนี้อย่างมี
ประสิทธิภาพมากที่สุด
ดร.สุเมธ องคกิตติกุล นักวิชาการอาวุโสทีดีอาร์ไอ
เปิดเผยมุมมองโดยพิจารณาจากยุทธศาสตร์ โครงการที่จะเกิดขึ้น
และการบริหารจัดการ กล่าวว่า ในด้านการลดต้นทุน โครงการที่ระบุไว้ใน
พ.ร.บ. 2 ล้านล้านนั้น เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางรางเป็นหลัก
นั่นคือการขนส่งทางรถไฟ
ที่เชื่อว่าเป็นการขนส่งที่ประหยัดและขนส่งได้ครั้งละมาก ๆ
น่าจะช่วยลดต้นทุนในการขนส่งของประเทศได้ในระดับหนึ่ง
แต่ในความเป็นจริงข้อจำกัดของระบบรางในบ้านเราคือมีโครงข่ายระบบรางทั่ว
ประเทศประมาณเพียง 4,000 กิโลเมตร
ขณะที่เมื่อเทียบกับระบบขนส่งทางถนนเรามีโครงการข่ายถนนมากกว่า 200,000
กิโลเมตร ระบบขนส่งทางรางจึงมีความทั่วถึงไม่มากนัก
ด้านการลดต้นทุนคงลดได้บ้าง
แต่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดหรือมีนัยยะสำคัญกับระบบเศรษฐกิจยังต้องดูกันต่อ
ไป
ขึ้นอยู่กับว่าในพื้นที่ที่ทางรถไฟได้พัฒนาเส้นทางไปนั้นเป็นเส้นทางที่มี
ความสำคัญทางเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน
รถไฟความเร็วสูง ไม่ลดต้นทุนการขนส่ง
อย่างไรก็ดีกรอบของ พ.ร.บ. 2
ล้านล้านนั้นประกอบไปด้วยโครงการจำนวนมากเหมือนเป็นแพ็คเกจใหญ่
มีตัวโครงการที่มีการพัฒนาระบบการขนส่งเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์
ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบทางคู่
ซึ่งปัจจุบันเป็นระบบรถไฟทางเดี่ยววิ่งสวนกันไม่ได้
ถ้าเป็นทางคู่ก็จะทำให้วิ่งสวนกันได้
ก็จะสามารถขนส่งสินค้าและผู้โดยสารได้จำนวนมากและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นจะ
สามารถช่วยลดต้นทุนได้ แต่โครงการลักษณะนี้มีสัดส่วนประมาณ 20-25%
ของเม็ดเงินในการลงทุนเท่านั้น
ในขณะที่โครงการที่เกี่ยวข้องกับรถไฟความเร็วสูงเป็นเม็ดเงินค่อนข้างสูงมาก
ประมาณกว่า 8 แสนล้านบาทหรือ 39%ของเม็ดเงินที่จะลงทุน 2 ล้านล้านครั้งนี้
และในส่วนของรถไฟความเร็วสูง
ยังมีความไม่ชัดเจนในหลายประการเช่นจะช่วยเรื่องความเชื่อมโยงกับภูมิภาคได้
อย่างไร
อีกทั้งรถไฟความเร็วสูงก็ไม่เกี่ยวข้องกับการลดต้นทุนมากนักเพราะเน้นรองรับ
การขนส่งคนเป็นหลัก
เป็นทางเลือกใหม่ของการเดินทางที่มีต้นทุนสูงซึ่งค่าโดยสารก็น่าจะแพงตามไป
ด้วย
ลุ้น...ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
ประเด็นนี้ต้องดูรายละเอียดโครงการ
หากมีลักษณะอย่างเรื่องของระบบทางคู่
หรือรถไฟฟ้าที่ให้บริการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล
ส่วนนี้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดีระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกันในเรื่องรถไฟความเร็วสูงยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูงว่าจะ
กระตุ้นเศรษฐกิจจริงหรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป
เพราะการหวังว่าการมีรถไฟความเร็วสูงแล้วจะทำให้เกิดการพัฒนาที่ดินไปตลอด
แนวที่รถไฟความเร็วสูงพาดผ่านนั้น ความจริงแล้วกระบวนการพัฒนาที่ดิน
พัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ในลักษณะอย่างนี้จำเป็นต้องใช้เวลามาก
หลายครั้งที่เราได้ยินการยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งหลังจากมีรถไฟความเร็วสูงแล้วทำให้เศรษฐกิจเขาเติบโตพัฒนา
ตรงนี้ต้องเข้าใจภูมิศาสตร์ประเทศเขาด้วยว่า
เป็นประเทศที่มีประชากรค่อนข้างหนาแน่นจึงมีปริมาณการใช้งานรถไฟความเร็วสูง
ค่อนข้างมาก และพื้นที่ก็มีการพัฒนามาเป็นเวลานาน
เริ่มจากการพัฒนาตัวรถไฟระบบปกติก่อน
เสร็จแล้วจึงมีการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงมาเป็นระยะ ๆ ทีละเส้นทาง
ห่วงการจัดการ เสนอการรถไฟฯ ปฎิรูประบบรับมือ
เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่และใช้เงินมหาศาล เป็น พ.ร.บ.การกู้เงิน
จึงมีความเป็นห่วงเรื่องการบริหารจัดการ
โดยหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการบริหารจัดการคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย
ซึ่งมีข้อจำกัดภายในทั้งเรื่องโครงสร้าง บุคลากร
และการบริหารจัดการที่น่าเป็นห่วง
เช่นที่ผ่านมารัฐบาลในอดีตมีการอนุมัติงบประมาณโครงการรถไฟทางคู่
วงเงินราว 1.7 แสนล้านบาทให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทยไปดำเนินการ
ซึ่งการรถไฟฯดำเนินการมาได้ระยะหนึ่งแล้วแต่ยังมียอดเบิกจ่ายงบประมาณอยู่ใน
ระดับหมื่นล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น
หากต้องการให้การดำเนินงานในเรื่องเงินกู้ 2
ล้านล้านให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ควรมีการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรของการรถไฟแห่งประเทศไทยควบคู่ไปด้วย
หรืออาจจะมีการเปิดกว้างให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมบางส่วนเพื่อเป็นการ
กระตุ้นให้เกิดความมีประสิทธิภาพของระบบมากยิ่งขึ้น
แนะจับตาเอกสารประกอบการพิจารณา
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดของโครงการที่อยู่ภายใน พ.ร.บ.เงินกู้ 2
ล้านล้านคือ ส่วนของบัญชีแนบท้าย
ซึ่งมีผลตามกฎหมายเฉพาะส่วนที่เป็นรายละเอียดยุทธศาสตร์และแผนงานอย่างกว้าง
ๆ มีเนื้อหาเพียงสองหน้าครึ่งของหน้ากระดาษเท่านั้น
ขณะที่รายละเอียดของโครงการจะอยู่ภายใต้เอกสารประกอบการพิจารณาที่มีความ
หน้ากว่า200หน้า และเป็นเอกสารประกอบการพิจารณาที่ยังไม่มีผลตามกฎหมาย(ณ
ร่างที่พิจารณา)
หมายความได้ว่ารัฐบาลสามารถปรับเปลี่ยนโครงการได้ในอนาคตภายใต้ยุทธศาสตร์
หรือแผนงานที่กำหนดไว้ ส่วนนี้ได้สร้างข้อกังวลสำหรับโครงการต่าง ๆ เช่น
อาจมีการปรับเปลี่ยนสำหรับโครงการที่ไม่ตอบโจทย์ฐานเสียงของรัฐบาลออกไปได้
เป็นต้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ
โล๊ะโครงการไม่พร้อม ช่วยลดเงินกู้
นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า
ที่ผ่านมาทีดีอาร์ไอได้มีการศึกษารายละเอียดโครงการที่อยู่ในพ.ร.บ.นี้พอ
สมควร และพบว่า มีหลายโครงการที่ยังไม่มีความพร้อม สิ่งที่ควรแก้ไข คือ
ควรตัดโครงการที่ยังไม่พร้อมออกไปก่อน
จะช่วยลดวงเงินการลงทุนให้น้อยลง(กู้ให้น้อยลง)ได้
เพื่อที่จะสามารถบริหารจัดการได้ดีขึ้น
และโครงการที่ตัดไปหากมีความพร้อมเมื่อไหร่ก็สามารถร่างเป็น
พ.ร.บ.ใหม่ขึ้นมาหรือใช้งบประมาณประจำปี หรือใช้ระเบียบงบประมาณอื่นก็ได้
ไม่จำเป็นต้องทุ่มทั้ง 2 ล้านล้าน
โดยที่ทราบว่าหลายโครงการยังมีความไม่พร้อมในการลงทุนค่อนข้างมาก.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น