รัฐบาลชี้แจงผลการดำเนินงานของ ครม. ต่อสภาผู้แทนราษฎร
นายกรัฐมนตรีระบุเน้นสร้างเศรษฐกิจเข้มแข็ง พัฒนาขีดความสามารถประเทศ
สร้างความปรองดอง
ด้านผู้นำฝ่ายค้านติงรัฐบาลยังมีจุดอ่อนเรื่องบริหารภาครัฐ
และไม่สามารถลดรายจ่ายได้ตามที่เคยแถลงไว้
ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศมีภาวะดีขึ้น เปรียบเทียบจาก ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ก่อนหน้านี้มีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ยอมรับว่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ เพราะเป็นการเติบโตอย่างช้าๆ
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยที่ประเมินโดยสถาบันต่างชาติ พบว่าอันดับการแข่งขันทั้งเรื่องสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานในปี 2554 ต่ำกว่าในปี 2553 สะท้อนว่าการทำงานของรัฐบาลมีจุดอ่อนหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการบริหารงานของภาครัฐ นอกจากนี้ยังไม่สามารถลดรายจ่ายได้ตามที่รัฐบาลแถลงนโยบายไว้ ตัวเลขเศรษฐกิจยังติดลบ ราคาน้ำมันและแก๊สหุงต้มปรับราคาสูงขึ้น รวมถึงสินค้าอุปโภค-บริโภคมีราคาแพง และหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับกรอบเวลาการพิจารณา นั้น เบื้องต้นกำหนดไว้ 2 วัน คือวันที่ 24 และ 25 กันยายน นี้ แบ่งเวลาอภิปรายเป็นฝ่ายค้าน 10 ชั่วโมง และรัฐบาล 7 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 17 ชั่วโมง
ที่มาของภาพ: เพจยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงาน
ว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ วันนี้ (24 ก.ย.) เริ่มเวลา 14.00 น.
เป็นการพิจารณารับทราบรายงานผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรี
ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่หนึ่ง (23
ส.ค. 54 – 23 ส.ค. 55) ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ชี้แจงว่ารัฐบาลเข้ามาบริหารงานในช่วงที่ประเทศมีความขัดแย้งทางการเมือง
ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่และเศรษฐกิจโลกผันผวน รัฐบาลจึงบริหารประเทศโดยยึด 3
ข้อหลัก คือ สร้างเศรษฐกิจสมดุล สร้างความเสมอภาค
และเตรียมพร้อมก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
มุ่งเน้นเสริมสร้างเศรษฐกิจในประเทศให้เข้มแข็งและพัฒนาขีดความสามารถให้
แข่งขันกับนานาประเทศ สร้างความปรองดอง
นอกจากนี้ยังเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน
ด้วยการบูรณาการและออกกฏหมายรองรับ เช่น พระราชกำหนดกู้เงิน 350,000
ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน
ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการแก้ไขและป้องกันอุทกภัยโดยรวมขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศมีภาวะดีขึ้น เปรียบเทียบจาก ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ก่อนหน้านี้มีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ยอมรับว่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ เพราะเป็นการเติบโตอย่างช้าๆ
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยที่ประเมินโดยสถาบันต่างชาติ พบว่าอันดับการแข่งขันทั้งเรื่องสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานในปี 2554 ต่ำกว่าในปี 2553 สะท้อนว่าการทำงานของรัฐบาลมีจุดอ่อนหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการบริหารงานของภาครัฐ นอกจากนี้ยังไม่สามารถลดรายจ่ายได้ตามที่รัฐบาลแถลงนโยบายไว้ ตัวเลขเศรษฐกิจยังติดลบ ราคาน้ำมันและแก๊สหุงต้มปรับราคาสูงขึ้น รวมถึงสินค้าอุปโภค-บริโภคมีราคาแพง และหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับกรอบเวลาการพิจารณา นั้น เบื้องต้นกำหนดไว้ 2 วัน คือวันที่ 24 และ 25 กันยายน นี้ แบ่งเวลาอภิปรายเป็นฝ่ายค้าน 10 ชั่วโมง และรัฐบาล 7 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 17 ชั่วโมง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น