ที่มา Thai E-News
ที่มา เฟซบุ๊คนพ.เหวง
6 พฤศจิกายน 2555
จากข่าวหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับและออนไลน์เกือบทุกฉบับประจำวันที่ 5 พ.ย.
55 นายเสงี่ยมสำราญรัตน์ได้โกหก ใส่ร้ายป้ายสีผมและอ.ธิดา
ถาวรเศรษฐในหลายเรื่อง ดังต่อไปนี้ครับ
1.นายเสงี่ยมกล่าวว่า รีจิสตร้า(Registra)ของศาลอาญาระหว่างประเทศ
อยู่ในฐานะผู้ดูแลผู้ต้องขังทั่วโลกนั้นเพราะไม่ใช่ผู้มีอำนาจที่จะรับ
เรื่องราวร้องทุกข์ และผู้ที่จะรับเรื่องราวร้องทุกข์ได้คือ
ประธานหรืออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศเท่านั้น
ผิด โดยสิ้นเชิงครับ
ไม่รู้ว่า นายเสงี่ยม ไปเอาเรื่องนี้มาจากกฎหมายฉบับใด
หรือใครเสี้ยมสอนใช้ให้พูด โดยไม่มีความเข้าใจแม้แต่น้อย
ผมต้องการพูดกับคนเขียนบทหรือคนชักใยเบื้องหลัง อย่าเป็นอีแอบเลยครับ
รีจิสตร้าไม่ได้มีหน้าที่ในการดูแลผู้ต้องขังทั่วโลกครับ
แต่รีจิสตร้ามีหน้าที่ทางตรวจรับคำร้องเรียนที่ยื่นมายังศาลอาญาระหว่าง
ประเทศ และทำการตรวจสอบเบื้องต้นว่า
เป็นเรื่องที่มีสาระมีมูลมีหลักฐานพอที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่
หากไม่มีก็จะปัดตกไป แต่ถ้ามีน้ำหนักก็จะออกหมายเลขรับไว้ครับ
ในอดีตที่ผ่านมา รีจิสตร้าของศาลอาญาระหว่างประเทศก็ได้ปัดเรื่องตกไปกว่า
สามพันเรื่องแล้วครับ ประธานหรืออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ
เขาจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องการตรวจรับเรื่องร้องเรียน ครับ ไม่งั้น
เรื่องกว่าสามพันเรื่องเขาต้องลงมาดูเองหมด นี่เขาจัดระบบของศาลอาญาระหว่าง
ประเทศให้มีหน่วยงานรีจิสตร้าทำหน้าที่นี้ก่อนครับ
แล้วฝ่ายรีจิสตร้าก็ได้รับเรื่อง
ร้องเรียนจากประเทศที่เสนอไปโดยสำนักงานทนายความอันสเตอร์ดัมและเปรอฟที่
เดินเรื่องไปประมาณสิงหาคม 53
แล้วเสนอเอกสารไปตั้งแต่เดือนตุลาคม2553แล้วครับ (เขาไม่โยนลงตะกร้าไปนะ
ครับแสดงว่าเรื่องที่เสนอไปมีมูลมีหลักฐานมีสาระมีความน่าเชื่อถือ) จากนั้น
เขาก็ รับเรื่องโดยได้ระบุหมายเลขรับที่ OTP-297/10
แต่ด้วยเหตุผลที่นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะถือสัญชาติอังกฤษที่เป็นประเทศภาคี
ของธรรมนูญกรุงโรมตามมาตรา12วรรค2(ข)ครับ(ซี่งจะทำให้ดำเนินการได้เฉพาะนาย
อภิสิทธิ์เวชชาชีวะเพียงคนเดียว)
ในคราวที่ผมพร้อมประธานธิดา และคุณพะเยาว์อัคฮาด ทนายคารมพลทะกลาง
ศาตราจารย์ธงชัย วินิจจะกุลแห่งมหาวิทยาลัยเยล
คุณอมรินทร์ไปศาลอาญาระหว่างประเทศ เขาให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติและได้พบ
สนทนากันกว่า 1.30
ชั่วโมงเกินเวลาที่เขากำหนดไว้ แสดงว่าเรื่องที่เรานำเสนอเป็นเรื่องที่มี
มูลมีหลักฐานมีสาระ
เข้าองค์ประกอบไม่งั้นเขาไม่มัวมานั่งรักษามารยาทคุยกับเรานานมากเช่นนี้
ผู้ที่มาพบและสนทนากับเรา
คือนายเอเมอริคโรเจียร์หัวหน้าสำนักงานวิเคราะห์เหตุการณ์ของศาลอาญาระหว่าง
ประเทศ หลังการสนทนาเขาก็ได้แสดงความเห็นว่า
“เรื่องใหญ่อย่างนี้ลำพังนายอภิสิทธิ์ทำคนเดียวไม่ได้ดอก
ดังนั้นพวกคุณควรต้องดำเนินการให้มีการประกาศรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่าง
ประเทศเฉพาะกรณีในประเทศของคุณ(หมายถึง12(3)นั่นแหละครับ)
นี่หมายความว่า เขารับฟังแล้วประเมินว่าไม่ใช่เรื่องเหลวไหล
แล้วยังเป็นเรื่องที่มีผลกระทบรุนแรง กว้างขวาง
จึงไม่น่าที่จะทำได้ด้วยคนเพียงคนเดียว ครับ
ในระหว่างที่อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ นาง ฟาตู เบนซูดา
เดินทางมารับรางวัลอัยการดีเด่นในไทย พร้อมนายเอเมอริคโรเจียร์ดังกล่าว
และศาสตราจารย์กฏหมายมหาวิทยาลัยนอร์เตอร์ดาม นายดักลาส
แอสเซลคณะของอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศนางฟาตูเบนซูดาได้เข้าพบกับรองนายก
รัฐมนตรีและรัฐมนตรีสุรพงษ์โตวิจักษณ์ชัยกุล
เพื่อสนทนาในเรื่องการรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศตามมาตรา12(3)ของ
ธรรมนูญกรุงโรม
ภายหลังการพบปะกัน รองนรม.และรมต.ต่างประเทศได้ออกมาให้ข่าว
ใจความว่า การลงนามรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเป็นประโยชน์กับ
ประเทศไทย
ที่ นายเสงี่ยม กล่าวหา
ผมและประธานธิดาถาวรเศรษฐว่า ไม่รู้จริงและกำลังโกหกต้มตุ๋นคนเสื้อแดงให้
เข้าใจผิดว่าศาลอาญาระหว่างประเทศได้รับเรื่องไว้แล้ว จึงเป็นเรื่องใส่ร้าย
ป้ายสีโกหกมดเท็จโดยสิ้นเชิงครับ
และที่บอกว่าศาลไทยต้องไต่สวนการเสียชีวิตและชันสูตรพลิกศพก่อนจึงจะไปยื่น
เรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศได้นั้น ก็ผิดโดยสิ้นเชิง อีกเช่นกัน
เพราะถ้ามีกรณีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลตามธรรมนูญกรุงโรมอย่างใดอย่างหนึ่งในสี่อย่างดังนี้
1. อาชญากรรมอันเป็นการทำลายล้างเผ่าพันธุ์
2. อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
3. อาชญากรรมสงคราม
4. อาชญากรรมอันเป็นการรุกราน
สามารถนำเรื่องไปเสนอต่อศาลอาญาระหว่างประเทศได้ทันที(หากเป็นประเทศในภาคี,
หรือใช้มาตร12(3) ,หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติส่งไป)
กรณีไทยเหตุการณ์สังหารประชาชนเมื่อเมษา-พฤษภา53เข้าองค์ประกอบของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ตามมาตรา7ของธรรมนูญกรุงโรม กล่าวคือ
“การกระทำใดๆที่ได้กระทำในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีอย่างกว้างขวาง
หรืออย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายต่อประชากรพลเรือนใด โดยรู้ถึงการโจมตีนั้น
ดังต่อไปนี้ การฆ่าคนตายโดยเจตนา การทำลายล้าง.................)
ดังนั้นกรณีการฆ่าประชาชนสองมือเปล่าด้วยอาวุธสงครามเมื่อเมษา-พฤษภา53 จึง
สามารถที่จะยื่นเรื่องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศได้โดยไม่ต้องรอให้มีการ
ชันสูตรพลิกศพหรือไต่สวนการเสียชีวิตก่อนดังกล่าว
นอกจากนี้การบอกว่า ต้องผ่านมาตรา 190
ก็เป็นเรื่องที่ไม่จริงเช่นกัน เพราะนี่เป็นการแสดงเจตนาแต่เพียงฝ่ายเดียว
ในการประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเพื่อพิจารณากรณีอาชญากรรม
เฉพาะ(เดือนเมษา-พฤษภา53) จึงไม่ใช่เป็นสนธิสัญญา
เพราะสนธิสัญญา ต้องเป็นการตกลงระหว่างสองฝ่ายมีการลงนามมีการเจรจาอย่างเป็นทางการ
นี่เพียงประเทศไทยโดยผู้มีอำนาจรับผิดชอบทำการประกาศแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ถือ
ว่า สัมฤทธิ์ผลแล้ว ไม่ใช่เป็นการตกลงร่วมกันระหว่างสองฝ่าย
และแม้จะต้องมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามกฏหมายก็ไม่ถือว่าเป็นสนธิสัญญา
เพราะศาลโลกเคยมีคำพิพากษาวางบรรทัดฐานไว้แล้วในคดี”Ihren Declaration”
และคดี “Nuclear Test
case”การประกาศยอมรับแต่เพียงฝ่ายเดียวแล้วก่อให้เกิดพันธกรณีไม่ถือว่าเป็น
สนธิสัญญา
ในตราสารระหว่างประเทศ
ซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมาธิการกฏหมายระหว่างประเทศของสหประชาชาติก็ใช้คำว่า
“capable of creating legal obligations”ได้
การประกาศเพียงฝ่ายเดียวที่ก่อให้พันธผูกพันทางกฏหมายจึงไม่ใช่สนธิสัญญาอีก
เช่นกัน
ที่กล่าวว่าเป็นการบีบบังคับฝ่ายบริหารก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน
เพราะผมไม่ได้แสดงออกในทางการข่มขู่คุกคามแต่อย่างไร ที่ผ่านมา
เป็นการแสดงข้อคิดเห็น การอธิบายความทางหลักการ ทั้งทางการเมือง
ทางกฎหมายทั้งนั้น อำนาจในการตัดสินใจยังเป็นของฝ่ายบริหารโดยสมบูรณ์
แม้ฝ่ายบริหาร
ไม่ยอมประกาศรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศในกรณีเมษา-พฤษภา53
แล้วผมจะไปทำอะไรฝ่ายบริหารได้
เพราะผมมีความบริสุทธ์ที่ต้องการป้องกันประเทศไทยประชาชนไทยจากเหตุการณ์การ
ฆ่าประชาชนสองมือเปล่ากลางถนนโดยทหารใช้อาวุธสงครามซึ่งเกิดขึ้นต่อหน้าผม
อย่างน้อยก็6ครั้งแล้วคือ 14ตุลา16 6ตุลา19 พฤษภา35 เมษา52 เมษา53
และพฤษภา53
ดังนั้นที่ นายเสงี่ยมสำราญรัตน์กล่าวหา ผมและประธานธิดาถาวรเศรษฐ ทั้งหมดเป็นเรื่องเท็จ เป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสีโดยสิ้นเชิง
อ่านเพิ่ม
Thai E-news - คำถามตัวโตๆต่อรัฐบาลนี้(2):เมื่อไรจะเอาคนสั่งฆ่าไปขังคุก มันลำบากตรงไหนกับการให้สัตยาบันICC? / พฤศจิกายน 23, 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น