9 พฤศจิกายน, 2012 - 07:37 | โดย buddhistcitizen
สุรพศ ทวีศักดิ์
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
ปกติผมไม่ค่อยได้เข้าวัดทำบุญเท่าไร ถ้าไปวัดโดยมากจะไปคุยกับพระ
ผมชอบคุยกับพระที่คุยกับเราแบบสบายๆ ไม่มีพิธีรีตอง คุยกันแบบแลกเปลี่ยน
เห็นต่างได้ แย้งกันได้มากกว่าพระที่มากพิธีและเอาแต่สอนอยู่ฝ่ายเดียว
หลวงพ่อดาวเรือง มหาปัญโญ แห่งสำนักสงฆ์เขาสันติ
(ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายมือของถนนช่วงเริ่มออกจากหัวหินไปปราณบุรี)
คือพระที่ผมคุยกับท่านได้อย่างประเทืองปัญญาและมีความสุข
ท่านเคยอยู่สวนโมกข์ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2503-2512
จากนั้นท่านจึงมาอยู่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ตั้งแต่ปี 2512 เป็นต้นมา
ต่อไปนี้คือเรื่องที่เราคุยกันในบ่ายวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา
ที่นี่เป็นสาขาของสวนโมกข์หรือเปล่าครับ หลวงพ่อนำรูปแบบอะไรจากสวนโมกข์มาใช้ที่นี่บ้าง
คณะธรรมทานสวนโมกข์ประกาศชัดเจนแล้วว่า สวนโมกข์จะไม่ขยายสาขา
ใครศรัทธาในรูปแบบของสวนโมกข์จะนำไปใช้ก็ได้ ที่หลวงพ่อนำมาใช้ก็คือ
ไม่รดน้ำมนต์ ปลุกเสก สะเดาะเคราะห์ ดูหมอ เพราะถือหลักว่า
“ถ้าช่วยให้ชาวบ้านเขาฉลาดขึ้นไม่ได้ ก็อย่าไปทำให้เขาโง่ลง”
ที่นี่จึงยึดการสอนธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้จริงๆ
ที่เป็นเรื่องของการเรียนรู้ความจริงของชีวิต
อยู่กับความจริงของชีวิตให้ถูกต้องเป็นหลัก
ปกติชาวบ้านมักเข้าใจว่าพระมีหน้าที่ประกอบพิธีกรรม
ใช่ เขาเชื่อกันอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านวางหลักไว้ดีแล้วว่า
พระสงฆ์มีหน้าที่สอนธรรมะ หลวงพ่อเองก็ไม่คิดว่าชาวบ้านเขาโง่นะ
บางครั้งพูดธรรมะที่เป็นเหตุเป็นผลให้เขาฟังสองสามนาทีเขาก็พอจะเข้าใจ
ที่นี่เวลาคนมาถวายอาหารเช้า เพล ก่อนให้พรเป็นภาษาบาลี
จะพูดธรรมะให้ฟังสักสามนาที ห้านาที บางครั้งก็มีคนมาปฏิบัติธรรม
แต่ไม่ได้จัดเป็นคอร์สใหญ่ๆ มาสองคนสามคนหลวงพ่อก็ยินดีนำปฏิบัติ
ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ตอบแทนข้าวน้ำชาวบ้านที่เขาเลี้ยงเรา
ตามเหตุปัจจัยที่พอจะทำได้
เห็นเขาว่าพระจากสวนโมกข์ไปอยู่ที่ไหน มักจะไปขัดแย้งกับพระในท้องถิ่น จริงหรือเปล่าครับ
มันก็ไม่เชิงนะ อย่างหลวงพ่อนี่ไม่เคยขัดแย้งกับใคร
ถือว่าใครเขาจะเชื่ออย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ส่วนที่เราเชื่อ
เราก็ทำของเราไป ถ้าใครมาชวนให้เราไปทำพิธีกรรมอะไรที่เราไม่เห็นด้วย
ก็ปฏิเสธเขาไปตรงๆ แต่จะไม่ไปตัดสินใครแบบฟันธง
บางคนเข้ามาปฏิบัติธรรมที่นี่เป็นร่างทรงก็มี
เราก็ไม่ไปก้าวก่ายอะไรกับความเชื่อส่วนตัวของเขา
ก็พูดธรรมะตามแนวทางของเราไป ถ้าเขาเข้าใจ เห็นว่าแนวทางนี้ถูกต้อง
เขาก็จะเปลี่ยนของเขาเอง คนเราไม่ว่าจะเป็นใคร จะเชื่ออะไรๆ ที่ใครๆ
เขาว่างมงายอย่างไร
เขาก็มีโอกาสจะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงความเชื่อของตัวเองให้ถูกต้องได้เสมอ
นั่นแหละ หลวงพ่อไม่ปิดกั้นใคร คุยได้กับคนทุกประเภทที่เขามาหาเรา
คนไม่มีศาสนาเป็นคนดีได้ไหมครับ
เป็นได้สิ ประเทศสังคมนิยมที่เขาไม่มีศาสนา
เขาก็ทำให้คนของเขาเป็นคนดี เสียสละ ทำประโยชน์เพื่อสังคมได้
ที่จริงมนุษย์เราแม้ไม่รู้จักศาสนาที่มีชื่อต่างๆ อย่างที่รู้กันอยู่นี้
เขาก็ทำความดีได้ เป็นคนดีได้
คนที่ไม่เคยรู้จักชื่อพุทธศาสนาเลยก็อาจรู้วิธีปฏิบัติให้ชีวิตไม่ทุกข์แบบ
ที่พุทธศาสนาสอนก็ได้ พูดให้ถูกคือ
หลักความดีที่เขาเชื่อและปฏิบัติตามนั่นแหละคือศาสนาของเขา
ถ้าอย่างนั้นศาสนาที่มีชื่อ
ต่างๆ ก็ไม่จำเป็นเท่าไรสิ เพราะไม่มีศาสนาเหล่านี้คนก็ทำดีได้ เป็นคนดีได้
การมีศาสนาต่างๆ ออกจะเป็นปัญหาด้วยซ้ำ เช่นโลกเรามีความขัดแย้ง
การเข่นฆ่า สงครามในนามของพระเจ้า ในนามของความดีงามต่างๆ
ทางศาสนาหลายครั้ง ทุกวันนี้ก็ยังมีความขัดแย้ง
และความรุนแรงทางศาสนาในหลายๆ ที่
นั่นมันเมาศาสนา ศาสดาของศาสนาต่างๆ สอนให้ไม่เบียดกัน
ให้มีความรักความเมตตาต่อกัน
หลวงพ่อพุทธทาสบอกว่าหากเราเอาข้อดีของศาสนาต่างๆ
มารวมกันก็จะเกิดประโยชน์มาก พระเยซูก็สอนว่า
“ถ้าเขาตบแก้มซ้ายก็หันแก้มขวาให้เขาตบด้วย” พระพุทธเจ้าก็สอนว่า
“สมมติว่ามีคนกำลังใช้เลื่อยอันคมเลื่อยร่างกายของเราให้ขาดเป็นสองท่อน
ถ้าเรายังจิตให้โกรธ ย่อมไม่ชื่อว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระตถาคต”
มันอาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากนะ แต่ความหมายก็คือ
พระศาสดาท่านต้องการให้เราเห็นคุณค่าของความรักความเมตตา และการให้อภัย
ถ้าไม่เมาศาสนา รู้จักนำข้อดีต่างๆ ของทุกศาสนามาใช้ในการดำเนินชีวิต
ในการสร้างสันติภาพของโลกก็จะเกิดประโยชน์มาก
จากประสบการณ์ที่หลวงพ่อเคยเห็นมา พุทธศาสนาแนวสวนโมกข์เปลี่ยนแปลงชีวิตด้านในของคนคนได้จริงไหม
คิดว่าเปลี่ยนได้มากนะ เอาตัวอย่างหลวงพ่อเองก็ได้
แต่ก่อนก็เชื่อเรื่องราวปรัมปราตามที่พ่อแม่เราสอน
เชื่อเกจิอาจารย์ที่สอนพุทธศาสนาตามประเพณีนิยม ชอบวัตถุมงคล
ของขลังอะไรต่างๆ ตามเขาไป พอมาอยู่สวนโมกข์ก็เปลี่ยนความเชื่อนั้นไปเลย
เข้าใจธรรมะในความหมายที่เป็นการเรียนรู้ความจริงของชีวิตมากขึ้น
นำความหมายของธรรมะนั้นมาคิดพิจารณาความเป็นไปต่างๆ ในชีวิต
ก็เห็นผลว่าทำให้ชีวิตเรามีทุกข์น้อยลงได้จริงๆ
แล้วที่ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องสอนธรรมะ
ก็เพราะหลวงพ่อเห็นคุณค่าของธรรมะในความหมายนี้ มันจึงอยากจะให้คนอื่นๆ
ได้เข้าใจด้วย
พุทธศาสนาช่วยให้เข้าใจความจริงของชีวิตอย่างไร
ก็ความจริงของชีวิตตามธรรมชาติของมันจริงๆ นั่นแหละ เช่น
ชีวิตมันคือขันธ์ 5 ที่มีองค์ประกอบ 5 อย่าง ที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ
คือเปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวกู ของกู
หลวงพ่อพุทธทาสท่านพูดเรื่องนี้มาก
แล้วมันก็เห็นได้ชัดว่าถ้าเรามีความรู้สึกยึดในตัวกู
ของกูที่เราจินตนาการขึ้นมามันก็เกิดทุกข์ ถ้าไม่ยึดก็ไม่ทุกข์
มันไม่ง่ายนะหลวงพ่อ เพราะใครๆ
ก็รู้สึกอย่างเป็นปกติว่าเราต่างมีตัวตน ศาสนาอื่นๆ
และจริยศาสตร์ตะวันตกก็ยอมรับการมีอัตตาหรือตัวตน
คือมันต้องเริ่มจากการยอมรับว่ามีตัวตนของเราและของคนอื่นก่อน
ถึงจะพูดเรื่องสิทธิ เรื่องศีลธรรมอะไรต่างๆ ว่าทำไมตัวฉันจึงมีสิทธิ
หรือทำไมตัวฉันจึงควรมีศีลธรรม แต่พุทธเริ่มจากการปฏิเสธตัวตน
แล้วเราจะมีศีลธรรมไปเพื่ออะไร ศีลธรรมมันอยู่บนฐานของอะไร
ศีลธรรมของพุทธศาสนาก็อยู่บนฐานของปรมัตถธรรมไง
คืออยู่บนฐานของความจริงตามกฎธรรมชาติ
แล้วความจริงตามกฎธรรมชาติมันก็ไม่มีตัวตน
มีแต่สภาพที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยตามกฎอิทัปัจจยตา
อย่างที่พระพุทธเจ้าอธิบายว่า “สาเหตุให้เกิดทุกข์มีอยู่
แต่ไม่มีผู้ทำเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์มีอยู่ แต่ไม่มีผู้เสวยทุกข์
ความดับทุกข์มีอยู่ แต่ไม่มีผู้ดับทุกข์ ทางดับทุกข์มีอยู่
แต่ไม่มีผู้เดินทาง” หมายความว่า มันมีแต่กระบวนการที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย
การมองเห็นตามเป็นจริงเช่นนี้มันเป็น “มัชฌิมา”
หรือเป็นกลางไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง
ศีลธรรมก็เป็นเรื่องของการกระทำตามเหตุปัจจัยในทางที่จะลดความทุกข์
และส่งผลให้เกิดประโยชน์สุขนั่นแหละ
ส่วนเรื่องที่ว่ามันยากที่จะละความยึดมั่นในตัวกู ของกูนั้นมันยากแน่
เพราะมันเป็นความรู้สึกระดับสัญชาตญาณ แม้แต่สัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ก็มีความรู้สึกว่ามีตัวกู ของกู
แต่มันก็เป็นเรื่องที่เราเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองและเปลี่ยนแปลงมัน
ได้ เช่น เราสังเกตจากประสบการณ์ของตัวเองได้ว่า
เวลาทำอะไรด้วยความรู้สึกยึดตัวกูของกูนั้นมันเป็นทุกข์อย่างไร
เวลาไม่ยึดมันไม่ทุกข์อย่างไร ประสบการณ์นี้มันก็จะสอนเราเองว่า
ทำอย่างไรเราจึงจะทุกข์น้อยลง หรือไม่มีทุกข์
นี่แหละพุทธศาสนาก็คือการเรียนรู้ให้เข้าใจความจริงนี้
เพื่อที่จะอยู่กับความจริงนี้ให้ถูกต้อง
ศีลธรรมอยู่บนฐานของสัจธรรมหรือความจริง แล้วตัวศีลธรรมล่ะมันคือความจริงหรือสิ่งสมมติ
ศีลธรรมก็คือเรื่องของการอยู่กับความจริงให้ถูกต้อง
ปฏิบัติต่อความจริงให้ถูกต้อง เช่นความจริงตามกฎธรรมชาติบอกเราว่า
“เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” ก็คือมันมีเหตุปัจจัยอย่างนี้
มันจึงส่งผลอย่างนั้น
ศีลธรรมก็คือการทำเหตุที่ถูกต้องเพื่อให้เกิดผลที่ถูกต้องนั่นแหละ
ตามกฎอิทัปปัจจยตาจริงๆ แล้วมันเป็นกลางๆ
คือเป็นข้อเท็จจริงของมันอย่างนั้น มันไม่มีดี มีชั่วหรอก
แต่คนไปสมมติขึ้นมาว่า
เออเมื่อทำเหตุที่ให้เกิดผลที่ตัวเองพอใจก็บอกว่าเป็นความดี
แล้วก็สมมติหรือบัญญัติเป็นหลักศีลธรรมขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าผลอันนั้นอันนี้ที่มันไม่น่าพอใจ ไม่ชอบใจ
มันทำให้เดือดร้อนเป็นทุกข์ ก็ไปดูว่ามันมาจากการทำเหตุอะไร
ก็บอกว่าการทำเหตุให้เกิดผลแบบนี้มันเป็นความชั่ว เพราะฉะนั้น ดี ชั่ว
มันจึงเป็นเรื่องที่มนุษย์เราสมมติบัญญัติกันขึ้นมาเท่านั้นเอง
ศีลธรรมของพุทธศาสนา อย่างเช่นไตรสิกขา หรืออริยมรรค ก็เป็นสิ่งสมมติหรือครับ
อันนี้มันคือการปฏิบัติถูกตามความเป็นจริงเรื่องเหตุปัจจัยไง
คือมันเป็นการสร้างเหตุปัจจัยให้พ้นทุกข์ เป็นการปฏิบัติเพื่อความสิ้นกรรม
เป้าหมายของพุทธศาสนาคือการมีอิสภาพเหนือดี เหนือชั่ว ไม่ยึดติดในตัวตน
แม้แต่เรื่องดี ชั่วก็ไม่ยึดติด
ไตรสิกขาหรืออริยมรรคมันก็คือการทำเหตุปัจจัยให้ไม่ทุกข์
สิ้นกรรมคือเหนือดี เหนือชั่ว
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านก็มีชีวิติอยู่ย่างไม่ยึดติดในดีชั่วที่โลก
สมมติ แต่ว่าในไตรสิกขา หรืออริยมรรคมันก็มีความเป็นศีลธรรม
คือมีความดีตามที่โลกสมมติอยู่ในตัวมันเองนั่นแหละ
ถ้าความดีความชั่วเป็นเรื่อง
สมมติ ไม่เป็นจริงในตัวมันเอง ทำชั่วก็ไม่น่าจะมีความหมายเป็นความชั่วจริงๆ
แล้วทำไมพระอริยะที่มีมุมมองแบบนี้จึงไม่ทำชั่ว เพราะทำชั่วก็ไม่ชั่วจริงๆ
ไม่เห็นเป็นไร
ก็ท่านไม่ได้มีกิเลสเป็นเหตุให้ทำชั่วแล้วไง
การทำชั่วมันมีรสอร่อยของมันอยู่นะ อย่างเช่นการโกง หรือทำผิดศีลธรรมทางเพศ
กิเลสมันก็ต้องการรสอร่อยจากการได้รับผลประโยชน์ รสอร่อยทางเพศ
แม้จะรู้ว่าโกงผิด ละเมิดทางเพศผิดมันก็ผลักดันให้ทำ
แต่พระอริยะท่านไม่มีกิเลสที่ติดในรสอร่อยต่างๆ
เพราะท่านมีปัญญาเห็นตามเป็นจริงว่าการวิ่งตามความอยากต่างๆ
นั้นมันเป็นทุกข์ ท่านก็ไม่มีกิเลสเป็นเหตุผลักดันให้ทำชั่ว
หรือสร้างความทุกข์แก่ตัวเองและคนอื่น
แต่ที่ว่าดีชั่วเป็นเรื่องสมมติไม่ใช่มันไม่มีความหมายอะไรเลยนะ
มันก็มีความหมายเป็นจริงตามสมมติกัน ที่เรียกว่าสมมติสัจจะนั่นแหละ เช่น
ศีลข้อกาเมที่ห้ามละเมิดสามี ภรรยาของคนอื่น
ถ้าไปละเมิดเข้ามันก็เป็นความผิดจริงตามที่สมมติกันว่าเป็นความผิดนั่นแหละ
แล้วมันก็ส่งผลให้เกิดทุกข์เกิดปัญหาครอบครัวแตกแยกอะไรต่างๆ ตามมาจริงๆ
ฉะนั้น ศีลธรรมถึงจะเป็นสมมติบัญญัติ
แต่ว่ามันก็มีความหมายเป็นจริงในแง่ว่าเป็นเครื่องมือป้องกันทุกข์
หรือสร้างประโยชน์สุขของสังคม มันจึงเป็นหน้าที่ที่เราต้องมีศีลธรรม
แต่ไม่ใช่ไปยึดติดมัน บางคนยึดติดสมมติเรื่องถูก ผิด
มากเกินไปจนไม่มีเหตุผล กลายเป็นคนเก็บกด เครียด จะทำโน่น
ทำนี่ก็กังวลแต่เรื่องถูก ผิด
เคยมีคนมาถือศีลปฏิบัติธรรมที่นี่จะกวาดลานวัดก็ไม่กล้า
เพราะกลัวไม้กวาดไปโดนมดตาย กลัวบาป เลยไม่กล้าทำแม้แต่สิ่งที่ควรจะทำ
นี่ก็คือการไปยึดติดสมมติมากเกินไป
พุทธศาสนาสอนให้คนหมกมุ่นอยู่
กับทุกข์ สุข ของตนเองมากไปหรือเปล่า เลยทำให้ชาวพุทธไม่ใส่ใจปัญหาสังคม
เรื่องทำความดีของชาวพุทธก็หมายถึงไปทำบุญเพื่อบันดาลสุขส่วนตัว
เข้าคอร์สปฏิบัติธรรมก็ต้องการความสุขทางใจซึ่งเป็นสุขส่วนตัวอีกเช่นกัน
ปัญหาแบบนั้นมันเกิดจากการไปสอน
ปลูกฝังอบรมความเชื่อที่มันไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจความจริง
ของชีวิตและเป้าหมายที่ถูกต้องของชีวิตมากจนเกินไป
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ
แล้วธรรมะเป็นเรื่องของการเรียนรู้ความจริงของชีวิต
อยู่กับความจริงของชีวิตให้ถูกต้อง
ก็คือทำหน้าที่ของตนเองให้ถูกต้องนั่นแหละ เพราะธรรมะคือหน้าที่
การปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติหน้าที่
เราอยู่ในสังคมมีหน้าที่อะไรก็ทำให้มันถูกต้อง ไม่ทำผิดหน้าที่
(เช่นไม่มีที่กำหนดไว้ใน รธน.ให้ใครทำรัฐประหารล้มรัฐบาลที่ประชาชนเลือก
ก็อย่าทะลึ่งมาทำ – ผมนึกเสริมในใจ อิอิ)
ในฐานะที่เป็นมนุษย์เราก็มีหน้าที่ปฏิบัติธรรม
คือทำตามหลักเหตุปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตมันทุกข์น้อยลงหรือไม่มีทุกข์เลย
ถ้าทุกคนทำหน้าที่ทางสังคมของตนเองถูกต้อง ทำหน้าที่ความเป็นมนุษย์ถูกต้อง
ทุกข์ของสังคม ทุกข์ของตัวเองก็จะน้อยลง
แต่ว่าการทำหน้าที่ให้ถูกต้องมันเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ตัวเอง
เรียนรู้สังคมอยู่ตลอดเวลา มันไม่ง่าย
แต่มันก็ไม่ยากเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าใจได้ว่าอะไรคือความจริงของชีวิต
อะไรคือหน้าที่ที่ถูกต้อง
ถ้าชาวพุทธหันมาสนใจพุทธศาสนาในความหมายของการเรียนรู้ความจริงของชีวิตกัน
ให้มากขึ้นๆ พูดเรื่องนี้กันให้มากขึ้นๆ จนเป็นเรื่องธรรมดามันก็จะง่ายขึ้น
แทนที่จะพูดเรื่องอื่นๆ ที่มันไม่มีเหตุมีผล พิสูจน์ไม่ได้กันมากจนเกินไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น