แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แช่แข็งประเทศไทย...ไร้สาระ

ที่มา Voice TV




นักเคลื่อนไหวทางสังคม มองแนวคิดแช่แข็งประเทศไทยของ เสธ.อ้าย ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เนื่องจากไม่สอดคล้องกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เป้าหมายของการรวมมวลชนในครั้งนี้ มีวาระซ้อนเร้น มากกว่าเป้าหมายการล้มล้างรัฐบาลชุดปัจจุบัน ขณะที่ในโลกโชเชี่ยลมีเดียมีการโพสต์ภาพล้อเลียนแนวคิดนี้เพิ่มขึ้นต่อ เนื่อง

วลี "แช่แข็งประเทศไทย" กลายเป็นประเด็นดังชั่วข้ามคืน หลังจากพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม เปิดเผยแนวคิดนี้  ในการชุมนุมใหญ่ที่สนามม้านางเลิ้ง เนื่องจากไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

สาระสำคัญของแนวคิดแช่แข็งประเทศไทย คือการหยุดกิจกรรมทางการเมือง แล้วจัดตั้งคณะบุคคลจากวิชาชีพต่างๆ ขึ้นมาบริหารประเทศเป็นเวลา 5ปี โดยเน้นภารกิจ 4ข้อ คือแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มการศึกษา เพิ่มความรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมารับโทษตามกฎหมายในประเทศไทย

นักเคลื่อนไหวทางสังคม ที่ต่อต้านอำนาจนอกระบบ อย่างนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด เห็นว่าแนวคิดนี้เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะไม่สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยในปัจจุบัน หากพิจารณาจากเหตุปัจจัยทางการเมือง และผลงานของรัฐบาลในรอบปี 1 ที่ผ่านมา ทำให้นายสมบัติเชื่อมั่นว่า พลเอกบุญเลิศ ไม่ได้มีเป้าหมายหลักเพื่อล้มล้างรัฐบาล แต่นี่เป็นการสะสมมวลชนระดับหนึ่ง เพื่อเคลื่อนไหวในเงื่อนไขพิเศษ ดังนั้นฝ่ายรัฐบาลและประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ต้องรับฟังและทำความเข้าใจกับข้อเสนอของคนกลุ่มนี้ เพื่อวางแผนรับมือในอนาคต

ส่วนกรณีที่พลเอกบุญเลิศ กล่าวว่า "ประชาธิปไตยมีที่ไหน เลอะเทอะ พูดกันส่งเดช" นั้น ถือเป็นการสะท้อนความคิดอนุรักษ์นิยมสุดโต่งของพลเอกบุญเลิศ ซึ่งมองว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเพียงประเด็นที่ไร้การสนับสนุน  ขณะที่ในโลกโซเชี่ยลมีเดีย ทั้งในทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค และเว็บบอร์ด มีการโพสต์ภาพล้อเลียนวลี "แช่แข็งประเทศไทย" เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประชาชนและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ต่างใส่เสื้อกันหนาวพร้อมชูป้ายข้อความ

รวมทั้งยังมีการสร้างแฟนเพจ "รวมพลังแช่แข็งประเทศไทย" เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงความเห็นเสียดสีและโพสต์ภาพล้อเลียน ล่าสุดมีคนกดถูกใจแล้วกว่า 2,200 ไลค์ หลังจากที่เริ่มสร้างแฟนเพจนี้เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา
13 พฤศจิกายน 2555 เวลา 17:05 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น