แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แมคเคียเวลลีตายแล้ว และคนนิสัยแบบแมคเคียเวลลีก็กำลังจะตายตาม

ที่มา Thai Free News














ที่มาเฟสบุ๊ค Jarupan Kuldiloke 

 
แมคเคียเวลลีตายแล้ว และคนนิสัยแบบแมคเคียเวลลีก็กำลังจะตายตาม
วันนี้ดิฉันจะพักจากเรื่อง ศาลอาญาระหว่างประเทศ สักหน่อย 
มาเขียนเล่าเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับนักการเมืองไทย 
ดิฉันในฐานะนักการเมืองใหม่ เข้ามาสู่วงการได้ไม่นาน 
แต่เมื่อได้ประสบพบเจอนักการเมืองรุ่นพี่ พยายามเข้าใจ
ความคิดของนักการเมืองเหล่านี้ ทำให้ต้องย้อนกลับไปนึกถึงเมื่อ 500 ปีที่แล้ว 
นึกถึงคนคนหนึ่งที่ชื่อ นิคโคโล แมคเคียเวลลี นักเขียนชาวอิตาลี 
ที่เขียนเรื่อง ผู้ปกครองนคร ราวปี .. 1513 ที่กล่าวถึงหลักการปกครอง
ต้องเป็นคนละเรื่องกับมโนสำนึกและคุณธรรม
ดูเหมือนนักการเมืองรุ่นเก่าของไทยจะเป็นสาวก
ของแมคเคียเวลลีเสีย ส่วนใหญ่ 
คือ ทำตัวดูดีให้คนนึกว่าเป็นคนดี 
แต่ความจริงทำงานการเมือง
โดยไม่อยู่บนหลักการ โดยกล่าวว่า 
"เราต้องถอยจากหลักการไปบ้าง" 
แมคเคียเวลลีเสนอให้นักการเมืองมีลักษณะ
เป็นจิ้งจอกและราชสีห์รวมกัน 
โดยจิ้งจอกจะคอยสังเกตุกับดัก
และหลบหลีกจากกับดักนั้น 
ส่วนราชสีห์จะต้องขู่ให้หมาป่ากลัว 

มีคนวิพากษ์งานของแมคเคียเวลลีอย่างหนักทั่วโลก 
ซึ่งดิฉันก็ไม่แปลกใจ เพราะขืนยุยง
ให้นักการเมืองเดินซิกแซ็กแบบจิ้งจอก 
และขู่ประชาชนให้หวาดกลัวแบบราชสีห์ 
มีวิธีคิดแบบเมื่อ 500 ปีที่แล้ว 
เมื่อไหร่เราจะได้ผู้นำเป็นมนุษย์ 
เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์เสียที 
ดิฉันในฐานะจบการศึกษามาในด้านวิศวกรรมชีวภาพ 
ยืนยันว่า มนุษย์ต่างจากสัตว์ และมีมันสมองบางส่วนที่เป็นต่อม 
"มโนสำนึก" ซึ่ง ทำให้มนุษย์มีชีวิตรอดบนโลกได้ดีกว่าสัตว์ 
เพราะมโนสำนึกจะช่วยให้เข้าถึงแก่นแท้ที่มาที่เป็นมนุษย์ได้ 
และทำให้เกิดการปรับตัวในระดับสังคมได้ดีในโลกอนาคต
ที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่ง กันและกัน 
อย่างไรก็ตามดิฉันเสนอให้อ่านงานของ แมคเคียเวลลี ไว้ 
เพื่อเราประชาชนจะได้ชี้ว่าใครบ้างที่เป็นสาวกของเขา 
และช่วยชี้ทางสว่างให้เขาเหล่านั้นว่า หนทางของแมคเคียเวลลี 
ที่ดูถูกประชาชนและทรยศประชาชน เป็นหนทาง
ที่ไม่ประสบความสำเร็จ 
รวมทั้งเป็นหนทางที่สังคมตัดสินใจผิดพลาด 
และทำให้อนาคตของประเทศพร่ามัว 
เมื่อทุกท่านอ่านงานของแมคเคียเวลลีแล้ว 
ท่านต้องอ่านชีวประวัติจนถึงจุดจบของชีวิตเขาด้วย 
แมคเคียเวลลีเขียนงานนี้เมื่อชีวิตของเขาตกอับที่สุด 
ในยุคที่สังคมปราศจากภูมิคุ้มกันทางความคิด
และการศึกษาด้านทางการเมืองอย่าง ลึกซึ้ง 
สุดท้ายเขาต้องเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1527 ใน 
ขณะที่เขาหวังว่าจะได้นำผลงานอันบิดเบี้ยว
มารับใช้ผู้มีอำนาจในขณะนั้น 
และกลับมาใช้ชีวิตเสวยสุขดังเดิม 
แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ 


ดิฉันอยากบอกให้ทราบว่า 
ดิฉันเห็นนักการเมืองหลายคนมากที่บิดเบี้ยว 
ไม่ยึดโยงกับหลักการ และมีทีท่าจะ "ถอยหลบ" 
ให้กับอำนาจที่ไม่ชอบ 
เช่นการหลบกับดักแบบหมาจิ้งจอก 
มีแนวโน้มที่จะเนรคุณประชาชนและวีรชน
ที่ปูทางให้เขามีอำนาจในปัจจุบัน 
หากให้คนเหล่านี้นำประเทศในระยะยาว 
ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่สร้างประเทศที่ไร้แก่นกระพี้ 
เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณ 
ดิฉันอยากยกคำพูดของ มองเตสกิเออร์ 
นักปรัชญาในรุ่นถัดมา ค.ศ. 1748 ที่บอกว่าผู้ 
มีอำนาจในมือ ที่เป็นผลพวงจากการเมืองยุคเก่า 
มักจะใช้อำนาจในทางที่ผิด ทำให้สังคมเกิดการลดทอนอำนาจ
การตัดสินใจและมีความพยายามเพิ่มเติมระเบียบของ 
กฎหมายที่ไม่สามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ 
ดิฉันเห็นพัฒนาการอันเชื่องช้าของการเมืองไทย 
แบบก่อนยุคประชาธิปไตยจะเกิดแล้ว 
ก็ยิ่งมั่นอกมั่นใจว่าประชาชนส่วนมากได้เดินทางมาถูกต้องแล้ว 
สิ่งที่ทุกท่านจะช่วยได้คือรับทราบสถานการณ์ที่เป็นจริงในปัจจุบัน
และอย่าละทิ้งการปฏิรูปและยกระดับคุณภาพนักการเมือง 
ในขณะที่เรารณรงค์ประชาธิปไตย 
และผดุงความเป็นธรรม ในขณะเดียวกัน 
ในยุโรปนั้น หลังจากที่ แมคเคลเวลลี ตาย 
ประชาธิปไตยที่แท้จริงก็เกิด 
เมื่อ มองเตสกิเออร์ เสนอหลักการ 
การแบ่งแยกอำนาจที่สมดุล 
(The Separation of Power) 
การถ่วงดุลของอำนาจ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ 
จะทำให้ประชาชนได้รับความคุ้มครอง 
ขณะนี้ เป็นที่รู้ดีว่า ตามรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2550 
ตุลาการ มีอำนาจมาก จึงเกิดปัญหา 2 มาตรฐาน 
อย่างเด่นชัด พอจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ
เพื่อทำอำนาจทั้ง 3 ให้สมดุล 
คุ้มครองคนส่วนใหญ่ให้ได้อธิปไตย 
ก็เกิดกระบวนการขัดขวาง 
ส่วนคนที่อยู่หน้างาน ก็มีแนวโน้มจะบิดเบี้ยว 
เป็นสาวกแมคเคียเวลลี และในไม่ช้า ย่อมจะถูก 
มองเตสกิเออร์ ดูแคลน และขจัดออกไปในที่สุด 
ด้วยประชาชนจะเป็นผู้สร้างสมดุลอำนาจทั้ง 3 ขึ้นเอง 
โดยไม่ต้องรอการประชุมของเหล่าสาวกแมคเคียเวลลี 
ดิฉันอยากบันทึกไว้ว่าประเทศไทยไม่ได้สิ้นไร้ ไม้ตอก
อย่างปรากฎการณ์ที่นักการเมืองรุ่นพี่เขาสร้างไว้ 
มีคนรู้อยู่เหมือนกันว่าประเทศมีทางออก 
และอยากชี้ให้เห็นว่า นักการเมืองที่เป็นแบบแมคเคียเวลลี 
กำลังจะจากไปทีละรายทีละรายจากเวทีการเมือง 
เพราะหากไม่มีพวกเขาประเทศก็ไม่เสียหายอะไร 
ขณะนี้ประเทศเรากำลังปรับสมดุล และเข้าสู่ในยุค 200 ปีถัดมา 
และหากใครขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตย 
และแบ่งแยกอำนาจอย่างสมดุล 
ผู้นั้นก็จะตกยุคไปอีก เพราะขณะนี้โลกมาไกลกว่า
ความคิดนักการเมืองไทยมาได้ 500 ปีแล้ว 
ท่านคงเคยได้อ่านงานของ ดร. สตีเฟ่น โควีย์ บ้าง 
เรื่อง 7 อุปนิสัย ของผู้นำในโลกยุคใหม่ 
ยังมีงานของอีกหลายคนที่น่าสนใจ เป็นเรื่องใหม่ ๆ 
ที่เป็นวิวัฒนาการของโลก ซึ่งคนแต่ละคน 
สามารถพัฒนาภาวะผู้นำในตัวเองได้ 
เรากำลังจะพาให้ประเทศไทยรอดพ้นจากยุคมืด 
เมื่อ 500 ปีที่แล้ว ซึ่งทำได้ง่าย ๆ คือ 
หากท่านเห็นนักการเมืองเป็นแบบ แมคเคียเวลลี 
ท่านก็อย่าไปเลือก อย่าไปสนับสนุน 
ท่านควรจะ unfriend คน เหล่านั้น 
เพราะเขาไม่ได้เห็นประโยชน์ของโลกแห่งการสื่อสาร
ที่ทำให้เห็นอณูต่าง ๆ ของโลกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 
แต่กลับมีแนวโน้มที่จะพาให้สังคมไปสู่ความพร่ามัว 
ผลักให้ท่านเดาไม่ถูกว่าผู้นำของท่านมีอุปนิสัยอย่างไร 
แต่ที่แน่ ๆ หากมีอาการ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ขลาดเขลา 
หรือ เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว เหมือนทฤษฎีของแมคเคียเวลลี 
แล้วหละก็ ต้องขอบอกด้วยความปรารถนาดีว่า 
“แมคเคียเวลลีตายแล้ว และตายอนาจเสียด้วย" 
ดังนั้น นักการเมืองที่มีอุปนิสัยล้าหลังเช่นนั้น 
ก็คงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อประชาชนตื่นแล้ว
และพวกเขาเข้มแข็งมากกว่าจะเป็นปราการให้คนที่มีแต่ ร่างแต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น