แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กรณี เสธฯ อ้าย: A Strong Case of Leadership and Self-Deception

ที่มา ประชาไท



ถ้าเสธอ้ายเป็นแค่หัวหน้าฝ่ายการผลิตคนหนึ่ง เคยเกี่ยวข้องกับกรณีหัวหน้าคนงานทะเลาะกันจนยิงกันตาย แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งก็ออกมาทำ "ฟอร์ม" เรียกร้องให้คนงานช่วยกันทำให้ "โรงงานเป็นสีขาว" คนที่รู้ทันอย่างมากคงแค่หมั่นไส้และไม่ให้ความสำคัญอะไร

ดัง นั้น การหลอกตัวเอง หรือ self-deception ของเสธอ้าย จึงเป็นไปเพียง "พล็อต" เพื่อให้ตัวเองได้แสดงความเป็นผู้นำ มีที่ยืน แม้จะไม่มีใครยอมรับหรือถึงยอมรับก็เพียงแค่เปลือกนอก .. เขาชอบของเขาแบบนี้ .. แบบนี้ไม่เรียกว่า strong case เพราะ 1) แก้ไขได้ง่าย ถ้าอยากแก้ไข 2) ไม่ต้องแก้ไขก็ได้ เชิญบ้าไปคนเดียว แต่อย่าลืมตอกบัตรเข้างานก็แล้วกันถ้าอยากได้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท 55+
 
แต่การที่เสธอ้ายจู่ ๆ ก็กระโดดออกมาเป็น "โต้โผใหญ่" ชนิดข้ามคืน แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีวี่แววว่าจะเป็นแกนนำหรือเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องอะไร นอกจากการเป็นหัวหน้าวงเหล้าศิษย์เก่าเตรียมทหาร แสดงว่า 1) ต้องมีคน "ไขลาน" ให้เสธอ้ายเดินออกมา อย่างที่รู้ ๆ กัน เสธอ้ายไม่ใช่คนแรกที่ถูกไขลานให้เดินออกมา และ 2) ตอนนี้ไพ่เด็ด ๆ ในสต็อกของ “คนที่ไขลานเสธอ้าย” คงเริ่มจะหมดหน้าตักแล้ว ถึงได้ต้องงัดเอาคนที่ไม่มีทักษะเลยอย่างเสธอ้ายมารับจ้อบ
 
ที่บอกว่าเป็น strong case ก็เพราะ “คนที่ไขลานเสธอ้าย” 1) ยังคงถูกกักขังอยู่ในกล่อง (in the box) ของจินตนาการที่ว่า ตนเองมีพันธกิจสูงส่งที่ยังทำไม่สำเร็จ กล่าวคือ ยังคงเห็นว่า ตัวเองดี และคนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่น่าไว้วางใจ จะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติหรือเป็นศัตรูของคนไทย .. ความจริงมันก็แค่ “พล็อต” เล็ก ๆ ของผู้นำที่หลอกตัวเอง และ 2) ตัวเองถูกขังยังไม่เท่าไหร่ แต่กลับเอา “กล่อง” หรือ “เชื้อโรค” ของตัวเองไปติดต่อให้กับคนอื่นเป็นจำนวนมากอีกด้วย .. จนบ้านเมืองแทบไม่ต้องเดินหน้าไปไหน และประชาชนจะเลือกตั้งให้ใครมาเป็นผู้นำประเทศไม่ได้ ถ้าคน ๆ นั้นไม่ใช่คนที่ตัวเอง “ไว้วางใจ” หรือ “เลือกมากับมือ” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ระบอบประชาธิปไตยไม่มีความหมาย แต่ระบอบอัตตาธิปไตยต่างหากที่มีความหมาย

จะเห็นได้ว่า นี่คือตัวอย่างที่หนักหนาของ “ความหลงผิด” หรือ “การหลอกตัวเองของผู้นำ” ที่บ้องตื้นและไร้เหตุผล ซึ่งไม่เพียงแต่เป็น “กล่อง” ที่พันธนาการชีวิตตัวเองและสมุนบริวารไว้เท่านั้น หากยังเป็น “กล่อง” ที่หน่วงเหนี่ยว กักขังชีวิต และความรุ่งเรืองของคนทั้งประเทศกว่า 60 ล้านคนไว้อีกด้วย

ในทางกลับกัน สิ่งที่หลายคนไม่ค่อยจะตระหนักกันก็คือ แทนที่จะยอมให้ “กล่องเจ้าปัญหา” ทำร้ายสังคมไทยและนำไปสู่การเผชิญหน้ากันของคนหลากสี เรียนผูกก็ต้องมีเรียนแก้ .. กล่องความคิดหรือการหลอกตัวเองเช่นที่ว่า จะอันตรทานหายไปได้ในบัดดล ถ้าบังเอิญ “คนที่ไขลานเสธอ้าย” อยู่ ๆ ก็เกิดคิดขึ้นมาได้ว่า

ประการแรก ทักษิณมันเป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่ง ไม่ใช่ศัตรูไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรตรงไหน เพราะวัน ๆ มันก็คิดแต่เรื่องเงินทองผลประโยชน์ รวมทั้ง ถึงคนอย่างทักษิณถึงจะเป็นนักการเมือง อยู่ในวงจรอำนาจ แต่เขาก็เป็นได้แค่นักการเมืองแบบธุรกิจ ไม่ใช่แบบอุดมการ เพราะทักษิณไม่เคยพูดอะไรที่คล้่ายเหมา และไม่เคยทำอะไรเหมือนเลนิน ดังนั้น เรื่องที่ทักษิณจะไม่จงรักภักดี คิดเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเป็นระบอบสาธารณรัฐอะไร ล้วนเป็นไปไม่ได้ เป็นความหวาดระแวงที่เกินกว่าเหตุ

ประการที่สอง ความห่วงประเทศชาติว่าจะล่มสลาย จะตกอยู่ในมือของนักการเมืองขี้ฉ้อ เป็นความกังวลที่ปราศจากรากฐานและไร้มูลโดยสิ้นเชิง เพราะไม่มีใครยอมให้ประเทศชาติล่มสลายง่าย ๆ หรือไปตกในอุ้มมือของใครได้ เนื่องจากประชาชนฉลาด มีความตื่นตัว สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง และระบอบประชาธิปไตยโดยตัวของมันเอง ก็เอื้ออำนวยให้ประชาชนควบคุมผู้นำที่ตัวเองเลือกตั้งเข้ามาได้ ในทางกลับกัน ตัวเองควรทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ก็พอ

สรุป – ปัญหาผู้นำติดกับในกล่องของการหลอกตัวเองไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นกรณีที่ทำให้สังคมไทย ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางสังคม และการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมาหลายทศวรรษแล้ว โดยเฉพาะในระยะไม่กี่ปีมานี้ รากเหง้าของความขัดแย้งระหว่างสีเหลืองสีแดง และการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งติด ๆ กัน เช่น รัฐบาลทักษิณ-สมัคร-สมชาย รวมทั้งล่าสุด คือความพยายามที่่จะล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ ล้วนมีสาเหตุมาจากความล้มเหลว อ่อนแอ และการหลอกตัวเองของผู้นำในสังคมไทย ดังนั้น ผู้นำของสังคมต้องตอบคำถามต่อสามัญชนคนทั้งประเทศว่า ในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้นำของสังคม จะยังคงหลอกตัวเองแล้วใช้สิ่งนั้นเป็นแพล็คฟอร์มในการเอาชนะฝ่ายที่ตัวเอง คิดว่าอยู่ตรงกันข้าม เป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ หรือจะยอมหันมามองดูตัวเอง แล้วปลดเปลี้องพันธนาการทางความคิดที่ตัวเองและสมุนบริวารเป็นคนสร้างขึ้น เพื่อให้สังคมไทยได้วิวัฒน์ไปบนหนทางและครรลองของประชาธิปไตยต่อไปได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น