พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองในระบบเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จ แต่เขาไม่ใช่ “นักปฏิวัติสังคม” และพรรคเพื่อไทยก็ไม่ใช่พรรคปฏิวัติประชาธิปไตย คนเสื้อแดง จะต้องคาดหวังจากพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยตามสภาพความเป็นจริง ..
โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ฺ
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน"โลกวันนี้วันสุข"
ฉบับวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2556
นับแต่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 มวลชนคนเสื้อแดงได้ตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในระดับต่าง
ๆ กัน
นอกจากหวังให้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ นำประโยชน์มาสู่ประเทศชาติและประชาชนชาวรากหญ้าที่เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย
คนเสื้อแดงยังหวังว่า พรรคเพื่อไทยจะใช้อำนาจบริหารและเสียงข้างมากในสภาไปดำเนินงานทางประชาธิปไตย
เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการเข่นฆ่าประชาชนเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 เยียวยาผู้เสียหาย ช่วยเหลือผู้ที่ต้องคดีทั่วประเทศ
ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
ที่ผ่านมา
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำตามความคาดหวังของมวลชนคนเสื้อแดงได้เพียงบางส่วน
แม้จะช่วยเหลือผู้ที่ต้องคดีให้ได้ประกันตัวแล้วเป็นส่วนมาก
แต่อีกจำนวนหนึ่งก็ยังถูกจำขังอยู่ แม้จะมีการเยียวยาผู้บาดเจ็บล้มตายจากเหตุการณ์พฤษภาคม
2553 แต่การแสวงหาความจริงก็ยังไม่เกิดขึ้น
ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา
291 ให้ยกร่างใหม่ทั้งฉบับด้วยสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ล้มเหลวเมื่อพรรคเพื่อไทยยอมจำนนต่อศาลรัฐธรรมนูญที่อ้างมาตรา
68 เข้ามาก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติ
ทั้งหมดนี้
ประกอบกับ “แนวทางปรองดอง” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ท่าทีเอาอกเอาใจและปรนเปรอฝ่ายกองทัพ
การผลักดันพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติฉบับนิรโทษกรรมเหมาเข่ง
กระทั่ง คำพูดของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อ 19 พฤษภาคม 2555 ที่ประกาศ
“สละเรือไปขึ้นบก” ทั้งหมดนี้ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงจำนวนมากระแวงว่า
พรรคเพื่อไทยและอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยจะ “ทอดทิ้ง” ขบวนประชาธิปไตย
แม้
ในระยะหลัง
พรรคเพื่อไทยจะแสดงท่าทีกระตือรือร้นมากขึ้น เช่น
ปาฐกถาพิเศษของนายกรัฐมนตรีที่ประเทศมองโกเลีย
การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราและร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
การประกาศของสส.ฝ่ายรัฐบาลไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่แทรกแซงการแก้ไข
รัฐธรรมนูญรายมาตรา
เป็นต้น แต่ความระแวงของมวลชนเสื้อแดงบางส่วนต่อพรรคเพื่อไทยก็ยังคงอยู่
ความไม่พอใจต่อกรณีข้างต้นของมวลชนเสื้อแดงต่อพรรคเพื่อไทยและต่อ
พ.ต.ท.ทักษิณนั้น มีเหตุผล
แต่คนเสื้อแดงบางส่วนได้หันไปสู่ด้านที่สุดโต่งถึงกับสรุปว่า
พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยได้หักหลังขบวนประชาธิปไตยไปสยบสมคบกับพวกจารีตนิยมเรียบร้อยแล้ว
ทว่า ความไม่พอใจส่วนใหญ่นั้นเกิดจากการตั้งความหวังกับพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยเกินกว่าความเป็นจริง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
เป็นนักบริหารที่มีวิสัยทัศน์แหลมคมและกว้างไกล เมื่อเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ก็เป็นนักการเมืองและนักบริหารที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา
แต่ในทางธุรกิจ
เขาเติบโตมาด้วยเครือข่ายผลประโยชน์ต่างตอบแทนอันเหนียวแน่นกับราชการและกลุ่มทุนเก่า
แลกเปลี่ยนและเกื้อกูลผลประโยชน์ของทุนจารีตนิยม ในทางการเมือง
เขาเป็นนักการเมืองในระบบเลือกตั้งที่ต้องอาศัยกลไกเครือข่ายเงินทุนและกลุ่มก๊วนการเมืองต่าง
ๆ เช่นเดียวกับนักการเมืองในระบบเลือกตั้งทั่วทั้งโลก
สถานการณ์นับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
เป็นต้นมา
ไม่ใช่สถานการณ์ของการเมืองแบบเลือกตั้งปกติ
หากแต่เป็นสถานการณ์ปฏิวัติประชาธิปไตย ที่สองชนชั้น สองแนวทาง
ต่อสู้กันเพื่อตัดสินชะตากรรมอนาคตของประเทศไทยว่า
จะเป็นประเทศเผด็จการจารีตนิยมที่ล้าหลังหรือจะเป็นประเทศประชาธิปไตยเสรี
นิยมที่ก้าวหน้า
คุณสมบัติที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณประสบความสำเร็จทั้งทางธุรกิจและทางการเมืองในระบบเลือกตั้งปกติ
มิได้หมายความว่า เขาจะเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แหลมคมและชาญฉลาดภายใต้สถานการณ์ปฏิวัติประชาธิปไตย
ในทางตรงข้าม ภายใต้สถานการณ์ปฏิวัตินี้ ท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณต่อพวกจารีตนิยมออกจะไร้เดียงสาทางการเมือง
ไม่รับรู้บทเรียนทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่การปฏิวัติ 2475 ถึงปัจจุบันว่า พวกจารีตนิยมไม่เคยจริงใจกับใคร
ไม่เคยต่อรองกับใคร และยิ่งไม่เคยแบ่งอำนาจให้ใครทั้งสิ้น ทั้งเหี้ยมโหดอำมหิตและไม่เคยหยุดการทำลายล้างจนกว่าคนที่เขาเห็นว่า
เป็นศัตรู จะสูญสิ้นไปอย่างแท้จริง
ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เรียนรู้จากบทเรียนความล้มเหลวของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าในการเจรจาประนีประนอมกับพวกจารีตนิยม
และยังคงไว้ซึ่งความเพ้อฝันที่มีต่อชนชั้นจารีตนิยมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เชื่ออย่างว่างเปล่าว่า “ด้วยแรงกดดันอย่างช้า ๆ ฝ่ายจารีตนิยมจะยอมประนีประนอม”
และจะสามารถ “อยู่ร่วมกันอย่างสันติ” ได้ในที่สุด
พ.ต.ท.
ทักษิณ
เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองในระบบเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จ
แต่เขาไม่ใช่
“นักปฏิวัติสังคม” และพรรคเพื่อไทยก็ไม่ใช่พรรคปฏิวัติประชาธิปไตย
คนเสื้อแดง
จะต้องคาดหวังจากพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยตามสภาพความเป็นจริง
ไม่ใช่จากความปรารถนาส่วนตัว
แต่
ถึงอย่างไร ทั้งพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยก็ยังเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
เพราะผลประโยชน์และความอยู่รอดระยะยาวของพวกเขาผูกติดอยู่กับชัยชนะของฝ่าย
ประชาธิปไตย
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของพวกเขาตราบปัจจุบัน โดยรวมแล้ว
ยังเป็นคุณต่อฝ่ายประชาธิปไตยและมีอิทธิพลไปบั่นทอนพวกจารีตนิยมอย่างมีนัย
สำคัญ
ขบวนประชาธิปไตยจะไม่มีทางเป็นขบวนอันยิ่งใหญ่ในวันนี้หากปราศจาก
พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย
มวลชนคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่ผิดหวังกับ
พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย ได้เสนอแนวทาง “ตั้งพรรคการเมืองของคนเสื้อแดง”
ขึ้นมาเพื่อต่อสู้ช่วงชิงประชาธิปไตยแทนพรรคเพื่อไทย แต่นี่เป็นข้อเสนอที่สุดโต่งและไร้เดียงสา
การ
ตั้งพรรคการเมืองตามแนวทาง “พรรคปฏิวัติ”
นั้นพ้นสมัยไปแล้วและไม่สอดคล้องกับลักษณะธรรมชาติที่เป็นเสรีนิยมของขบวน
ประชาธิปไตยคนเสื้อแดง
พรรคปฏิวัติเช่นนั้นมีแต่จะล้มเหลวและถูกปฏิเสธจากคนเสื้อแดงส่วนใหญ่
ส่วนการตั้ง “พรรคการเมืองเลือกตั้ง”
ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 ก็จะล้มเหลวในลักษณะเดียวกันกับ
“พรรคการเมืองใหม่” ของพวกพันธมิตรเสื้อเหลือง เพราะพรรคเลือกตั้งจะต้องมีทั้งเงินทุนและมีบุคลากร
ทั้งผู้นำพรรคและแกนนำ ที่สามารถดำเนินงานการเมืองในระบบเลือกตั้งระดับทั่วประเทศให้ได้ไม่แพ้พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์
แนวทางที่ถูกต้องคือ ขบวนคนเสื้อแดงยังจะต้องทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยต่อไปอย่างใกล้ชิด
ทั้งสนับสนุน ทั้งวิจารณ์ไปพร้อมกัน
ใช้พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยให้เป็นประโยชน์ ผลักดันให้พรรคเพื่อไทยดำเนินการต่อสู้ทางประชาธิปไตยอย่างเอาการเอางาน
วิจารณ์แนวโน้มอ่อนแอ โลเลของพวกเขาอย่างแข็งขัน ให้พวกเขาเป็นแนวรบสำคัญในรัฐสภาและฝ่ายบริหารภายในระบอบรัฐธรรมนูญ
2550
ขบวนคนเสื้อแดงจะต้องเข้าใจว่า
การได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น เป็นภาระหน้าที่หลักของประชาชน ชัยชนะเด็ดขาดเหนือเผด็จการนั้น
มิใช่ได้มาด้วยการใช้โวหารแล้วยกมือลงมติผ่านกฎหมายในรัฐสภา หากแต่จะต้องตัดสินในขั้นสุดท้ายด้วยการต่อสู้ของประชาชนบนท้องถนน
ในการนี้ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย
คือผู้ร่วมทางประชาธิปไตยที่สำคัญและขาดเสียมิได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น